Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1855
ไม่ว่าจะเป็นเส้นชีพจรทั้งเจ็ดหรือศิษย์ที่อาศัยอยู่ในทะเลโอสถ ทั้งหมดเป็นแค่จิ๊กซอว์เล็กๆ ที่สำนักมหาวิญญาณวางไว้เท่านั้น!
หากสำนักมหาวิญญาณดูแล ทะเลโอสถคงไม่ถูกหลอมไปง่ายๆ! ถึงแม้แคว้นมารเขียวจะทรงพลังก็ไม่อาจเทียบได้กับบรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณในด้านการพยากรณ์หรอก!
เป็นเพราะบรรพชนรุ่นแรกมาจากรั้วสำนักเดียวกันของราชครูคนปัจจุบัน ผู้สืบทอดเต๋าจากยุคโบราณ!
บรรพชนกระทิงเขียวไม่ได้มอบหินหยกให้แก่หวังหลินเพียงคนเดียว แต่ยังหินหยกทั้งหมดกับผู้อาวุโสสี่คนในสำนักมหาวิญญาณ!
หวังหลินวางหินหยกเอาไว้ ยืนขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าก่อนจะก้าวเดินออกจากภูเขาด้วยความสงบนิ่ง วินาทีที่เขาออกมา ทะเลเพลิงบนภูเขาจึงได้รวมกันด้านหลังก่อเกิดเป็นร่างแก่นแท้ มันค่อยๆ ผสานเข้ากับร่างกายและเลือนหายไป
เพียงก้าวคราเดียวหวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงเหาะเหินเข้าสู่ทางเข้าสำนักมหาวิญญาณ
ด้านหลังเป็นลำแสงหนึ่งสายมุ่งหน้าไปยังทางเข้าพร้อมกับหวังหลิน
ทั้งสองคนรวดเร็วมากแต่ลำแสงด้านหลังหวังหลินกลับผ่านเขาไปและมาถึงก่อนหนึ่งก้าวจนเผยเป็นชายวัยกลางคนชุดเขียว
ชายคนนี้ดูธรรมดา พลันหันกลับมามองหวังหลินที่กำลังเข้ามาถึง
ชายวัยกลางคนมองดูหวังหลินอย่างตั้งใจและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสหวัง ข้าลิ่วเหวินหลาน!”
หวังหลินร่อนลงมาถึงและมองมาที่ชายตรงหน้า
“ผู้อาวุโสลิ่ว ข้าไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไรนัก” ช่วงที่หวังหลินอยู่สำนักมหาวิญญาณเขาได้พบปะผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไปแล้ว นอกเหนือจากเหล่าเซียนเฒ่านี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเจอกับชายวัยกลางคนผู้นี้
“ฮ่าฮ่า ข้าประจำการอยู่ที่ห่างไกลและเพิ่งกลับมา เป็นธรรมดาที่ผู้อาวุโสหวังจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาข้านัก” ชายวัยกลางคนยิ้ม
ท่ามกลางการสนทนาของทั้งสอง มีลำแสงอีกสองสายโผล่ออกมาจากสำนักเผยเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ด้านสตรีคือหยานหลวนและส่วนบุรุษเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมเต๋า
“หยานหลวนขอคาระผู้อาวุโสลิ่ว ไม่คิดว่าผู้อาวุโสลิ่วจะมากับเราด้วย” หยานหลวนและลิ่วเหวินหลานรู้จักกันจึงทักทายด้วยรอยยิ้ม
“เป็นเกียรติที่มีผู้อาวุโสหยานหลวนและผู้อาวุโสซิ่วตงเต๋อไปกับข้า” หวังหลินเอ่ย
“ขอคารวะผู้อาวุโสลิ่ว” ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋าเผยท่าทีสงบนิ่งพลางคำนับฝ่ามือให้กับลิ่วเหวินหลาน จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขาดูเป็นคนเงียบๆ
หวังหลินมองทั้งสามคน คนที่อ่อนแอที่สุดคือเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ชายวัยกลางคนชื่อลิ่วเหวินหลานเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางซึ่งมีระดับบ่มเพาะเท่ากับราชันย์เทพสีรุ้งแต่กลับให้ความรู้สึกด้อยกว่าอย่างมาก!
แค่คนทั้งสามคนนี้ก็ถือว่าทรงพลังมากแล้ว เทียบกับระดับบ่มเพาะขั้นวิญญาณดับสูญระดับสูงสุดของหวังหลินนับว่าเทียบไม่ติดจริงๆ
ขณะที่หวังหลินกำลังสังเกตทั้งสามคน อีกสองคนนอกจากหยานหลวนก็สังเกตหวังหลินไปด้วย ช่วงเวลานี้หวังหลินได้รับชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากในสำนักมหาวิญญาณ
ซิ่วตงเต๋อมองมาที่หวังหลินและคิดกับตัวเอง ‘คนที่สามารถเข้าตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่เจ็ดและแปดถือว่าไม่ควรประเมินค่าต่ำไป!’
‘เขาออกมาจากทะเลโอสถได้อย่าปลอดภัยและยังทำให้เม็ดยาสวรรค์ระเบิดไปอีก ข้าไม่สามารถตัดสินเขาเพียงแค่ที่เห็นจากภายนอกได้…อีกทั้งเขายังกลับมาจากทะเลโอสถได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ!’ ลิ่วเหวินหลานมองหวังหลิน เขาก็กลับมาจากทะเลโอสถเช่นกันแต่เพราะมีเรือเมฆาของบรรพชนรุ่นแรกเข้าช่วย มันถือได้ว่าเป็นสมบัติลึกลับสุดยอดของบรรพชนรุ่นแรกและมีความเร็วเกินจินตนาการ
“เอาหละ ในเมื่อทุกคนก็มากันแล้ว งานของเราคือการมุ่งหน้าไปยังเส้นชีพจรแห่งที่สามของกระทิงสวรรค์และคุ้มกันการรุกรานของแคว้นมารเขียวที่นั่น การเดินทางครั้งนี้อาจจะรอดหรือมีใครเสียชีวิต ถือเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้…ทุกคนต้องระมัดระวัง!” ลิ่วเหวินหลานสูดหายใจลึกและคำนับฝ่ามือแก่อีกสามคน
หวังหลินขบคิดเงียบๆ หยานหลวนกับซิ่วตงเต๋อไม่ได้พูดอะไรนักและพยักหน้าเท่านั้น ทั้งสี่คนได้จากสำนักมหาวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว
อีกหลายกลุ่มแบบพวกเขาก็ได้ออกไปจากสำนักมหาวิญญาณ ทั้งหมดได้รับคำสั่งจากบรรพชนเพื่อคุ้มครองพื้นที่หลากหลายแห่ง!
ทั้งสี่คนนั้นเร็วมาก โดยเฉพาะลิ่วเหวินหลานที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาเคลื่อนร่างดุจสายฟ้า
ส่วนหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ ทั้งคู่ล้วนเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ดังนั้นจึงไม่ได้ช้ามากนัก
มีเพียงความเร็วของหวังหลินที่ไม่สามารถเทียบกับทั้งสามได้ในระยะยาว ดวงตาเขาส่องสว่างและเรียกอสูรยุงออกมานั่งบนหลังพร้อมทะยานออกไป
เมื่ออสูรยุงปรากฏ อีกสามคนต่างก็หันมามอง ทั้งหมดสังเกตได้ว่าเจ้าอสูรยุงตัวนี้ช่างพิเศษ
ลิ่วเหวินหลานยิ้มและเอ่ยถาม “อสูรของผู้อาวุโสหวังช่างมีความเร็วเทียบได้กับเซียนขั้นวิบากดับสูญ ข้าสงสัยจริงว่าผู้อาวุโสหวังไปได้มันมาจากที่ใด?”
เพียงแค่เขาเอ่ยขึ้น หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อก็เริ่มให้ความสนใจ
“ข้าได้มันมาจากบ้านเกิดของข้า” หวังหลินพูดเกริ่นและสงบนิ่ง
“โอ้? ข้าสงสัยเสียแล้วว่าบ้านเกิดของผู้อาวุโสหวังอยู่ที่ไหน” ลิ่วเหวินหลานดูสนอกสนใจ
“ผู้อาวุโสลิ่ว” หวังหลินขมวดคิ้วและมองลิ่วเหวินหลาน
ลิ่วเหวินหลานรู้สึกพูดผิดไปและยิ้มออกมา เขาหยุดถามและได้แต่พ่นลมหายใจอยู่ในใจ
ทั้งสี่คนเงียบไปตลอดทาง ผ่านไปเจ็ดวันลิ่วเหวินหลานสะบัดแขนนำหินหยกออกมา หลังจากมองใกล้ๆ จึงได้ชี้ไปด้านล่าง
“ที่นี่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่บรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณได้สร้างเอาไว้ มันสามารถเคลื่อนย้ายไปใกล้กับเส้นชีพจรแห่งที่สามได้ ปกติแล้วไม่ได้ใช้กันง่ายๆ แต่ข้าได้รับอนุญาตจากบรรพชนมาแล้วว่าให้ใช้ได้” หลังจากลิ่วเหวินหลานพูดขึ้นจึงพุ่งลงไป
ด้านล่างเป็นภูเขาแห่งหนึ่ง ลิ่วเหวินหรานทะยานเข้าสู่หุบเขาข้างในตามที่หินหยกบอก กลุ่มหวังหลินจึงตามกันไป
ครู่ต่อมาแรงกดดันได้แผ่กระจายออกมาจากหุบเขาและส่งเสียงดังสนั่นกึกก้อง แสงพร่าเลือนปะทุออกมากินเวลาชั่วโมงครึ่งก่อนจะหายไป
ณ ทุ่งยอดนภาซึ่งห่างออกไปอีกหลายเดือน อวกาศเกิดการบิดเบี้ยว ก้อนเมฆหมุนเป็นรูปก้นหอย แสงส่องสว่างแพรวพราวและมีกลุ่มทั้งสี่คนของหวังหลินปรากฏขึ้นทีละคน
เมื่อแสงหายไป หวังหลินหันกลับมายังทิศทางที่มีสำนักมหาวิญญาณ ดวงตาเผยความเคร่งขรึม
‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งนี้ช่างลึกซึ้ง…’ หวังหลินไม่ประหลาดใจที่แผ่นดินเซียนดารามีค่ายกลเคลื่อนย้าย แผ่นดินแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป หากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย แค่การเดินทางก็กินเวลานานมากเกินไปแล้ว
‘สงสัยเสียจริงว่าจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างแคว้นหรือไม่ หากมีอยู่มันคงเปิดใช้งานได้ยากมาก!’
หินหยกในมือหวังหลินแตกกระจายหลังจากนำออกมา แม้หวังหลินจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในหินหยกจึงสามารถทำให้เปิดใช้งานค่ายกลแบบนี้ได้ แต่เขามั่นใจว่าสำนักมหาวิญญาณไม่ได้มีมากนัก!
ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมค่ายกลเคลื่อนย้ายถึงใช้ได้ในยามวิกฤติเท่านั้น การใช้งานรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำนักเดียวจะรับมือไหว
ความจริงการคาดเดาของหวังหลินนั้นแม่นยำมาก สำนักมหาวิญญาณมีค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบนี้แต่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลสำหรับการเปิดใช้แต่ละครั้ง แม้สำนักมหาวิญญาณจะมีทรัพยากรจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถใช้จ่ายไปกับการเปิดใช้ค่ายกลมากกว่าร้อยครั้งในรอบหมื่นปีได้!
ทั้งสี่คนปรากฏตัวในเวลาเย็น ดวงอาทิตย์สีทองส่องประกายกระทบใบหญ้า ทำให้ทุ่งยอดนภาสวยงามในแบบของตัวเอง
“ที่นี่คือตำแหน่งของเส้นชีพจรแห่งที่สาม สำนักมหาวิญญาณได้วางไว้ใต้ดิน เหล่าเซียนจากสำนักใกล้เคียงน่าจะอยู่ที่นี่ รวมถึงเหล่าเซียนไร้สำนักด้วย” หลังจากลิ่วเหวินหลานเอ่ยขึ้น จึงก้าวทะยานและหายวับเข้าไปในพื้นดิน
หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อติดตามและหายตัวไป หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตามเข้าไปเช่นกัน
ทั้งสี่คนรีบทะยานผ่านพื้นดินเข้าไป ไม่นานจึงเห็นถ้ำยักษ์ที่ถูกขุดเป็นอุโมงค์ลึก แทนที่จะบอกมันว่าถ้ำมันกลับดูเหมือนวังขนาดใหญ่มากกว่า!
ด้านนอกวังแห่งนี้มีเขตอาคมป้องกันไว้หลายชั้น ถ้าไม่ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณและมีป้ายสิทธิ์ให้เข้าไปก็คงเข้ามาที่นี่ได้ยากมาก
ภายในวังขนาดใหญ่มีเซียนอยู่เกือบหมื่นคน ส่วนใหญ่มาจากสำนักใกล้เคียงหรือเซียนไร้สำนักที่อยู่ในบริเวณนี้ หลังจากได้รับคำสั่งจากสำนักมหาวิญญาณ พวกเขาจึงมารวมกันที่นี่
กลุ่มของหวังหลินเพิ่งจะเข้ามาใกล้ ฉับพลันได้ยินเสียงหัวเราะระเบิดดังออกมาจากในวัง ลำแสงสามสายเข้ามาใกล้ ปรากฏเป็นชายชราสามคนเข้าคำนับฝ่ามือ
“พี่ลิ่ว ในที่สุดท่านก็มา ดูเหมือนเราไม่ได้เจอกันมาพันปีได้แล้ว!”
“น้องโจว หลังจากได้รับคำสั่งจากบรรพชน ข้าก็รีบเร่งมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ถือเป็นเรื่องดีที่ยังไม่มีเซียนแคว้นมารเขียวมาถึง” พอลิ่วเหวินหลานพบกับชายชรา เขาก็ยิ้มและเริ่มสนทนา
ผู้อาวุโสอีกสองคนคำนับฝ่ามือให้หยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ ดูเหมือนพวกเขาเคยเจอกันและดูสุภาพอย่างมาก
ผู้อาวุโสทั้งสามคนเพียงพยักหน้าให้หวังหลินเพราะระดับบ่มเพาะไม่คู่ควรให้ชายตามองนัก
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง ระดับบ่มเพาะของชายชราทั้งสามคนไม่ได้แย่นัก มีสองคนอยู่ในขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลาง ส่วนชายชราแซ่โจวที่กำลังคุยกับลิ่วเหวินหลานมีระดับบ่มเพาะสูงกว่านิดหน่อยซึ่งอยู่ราวๆ ด่านวิบากแก่นแท้ด่านที่หกถึงเจ็ด เท่ากับตู้ฉิง
“พวกท่านคงเคยเจอผู้อาวุโสหยานหลวนและผู้อาวุโสซิ่วไปบ้างแล้ว นี่คือผู้อาวุโสหวังเพิ่งเข้าร่วมสำนักมหาวิญญาณ เขาสามารถช่วยเราต่อสู้กับแคว้นมารเขียวได้!” ลิ่วเหวินหลานชี้มาที่หวังหลินและแนะนำตัวให้กับทั้งสามคน
ใกล้เคียงยังมีคนจากสำนักอื่นจำนวนมาก ทั้งหมดมองมาที่กลุ่มลิ่วเหวินหลานด้วยความเคารพ
หลังจากได้ยินการแนะนำของลิ่วเหวินหลาน ทั้งสามคนถึงกับตกตะลึงและมองมาที่หวังหลิน พวกเขาคิดว่าหวังหลินเป็นแค่ศิษย์แต่ผลออกมาเป็นผู้อาวุโสเสียนี่
ทั้งหมดคำนับฝ่ามือและยิ้มให้ด้วยความสุภาพยิ่งขึ้น แต่ต่อจากนั้นกลับเมินเฉยหวังหลินเพื่อไปพูดคุยกับหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อแทน