Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1856
ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่เป็นที่ยอมรับในโลกแห่งเซียน ระดับบ่มเพาะของหวังหลินไม่สูงมากพอจึงไม่มีเหตุผลที่ทั้งสามคนจะมาใส่ใจหวังหลิน คนอื่นๆ ก็ตัดสินแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา
หวังหลินไม่สนใจ เขามองไปรอบๆ และออกมาอย่างเงียบๆ เพื่อหาถ้ำสำหรับบ่มเพาะ
ลิ่วเหวินหลานเยาะเย้ยในใจ สายตากวาดผ่านมายังแผ่นหลังของหวังหลิน
‘เพื่อประโยชน์ต่อสำนักมหาวิญญาณ ข้าถึงกับอยู่ในทะเลโอสถและเปลี่ยนรูปร่างของข้าเป็นเซียนไร้สำนักเพื่อดึงดูดความสนใจของแคว้นมารเขียว ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าพันปี…’
‘ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้แคว้นมารเขียวไม่เกิดข้อสงสัยและอยากรุกรานแคว้นกระทิงสวรรค์ตามแผนที่บรรพชนวางไว้…ข้าทำทั้งหมดนี้แต่บรรพชนกลับไม่ยอมมอบวิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ให้ข้า มันมีสิทธิ์อะไรถึงได้ไป!?’
ลิ่วเหวินหลานเยาะเย้ยในใจ ทันใดนั้นหวังหลินหันกลับมาสบสายตาเขา
ลิ่วเหวินหลานมีสีหน้าดังเดิม เขายิ้มเบาๆ และพยักหน้าให้หวังหลิน
หวังหลินมองลิ่วเหวินหลานอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับมาเลือกถ้ำแห่งหนึ่งก่อนจะหายตัวไป
ท่ามกลางกลุ่มทั้งสามของลิ่วเหวินหลาน หลานหยวนเข้าใจหวังหลินมากที่สุด นางไม่ลืมว่าหวังหลินนั้นน่ากลัวแค่ไหน ระหว่างทางนางสังเกตถึงความขัดแย้งที่คุกรุ่นอยู่ภายใน
หลังจากทุกคนเริ่มการสนทนา ชายชราทั้งสามจึงได้ชวนลิ่วเหวินหลานและพรรคพวกให้เข้าไปในห้องโถงใหญ่แต่ไม่ได้พูดถึงถึงหวังหลินเลย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าในสายตาแต่ละคนนั้นหวังหลินไม่มีค่าพอและเทียบไม่ได้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลาน
ทั้งหกคนจึงมุ่งหน้าเข้าวังด้วยรอยยิ้ม ลิ่วเหวินหลานนั้นเหมือนเดิมราวกับลืมไปว่าหวังหลินยังมีตัวตนอยู่
หลังจากทั้งหกคนจากไป ผู้คนรอบสำนักอื่นๆ จึงกระจัดกระจาย พอคนของสำนักมหาวิญญาณได้มาถึง ค่ายกลรอบทุ่งยอดนภาก็เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์
เสียงดังกังวาล ม่านพลังขนาดหลายแสนลี้ยืดยาวออกไปทั่วทุ่งยอดนภาและยังไกลออกไปอีก
ขณะเดียวกันเหล่าเซียนจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ก็ได้มาถึงเส้นชีพจรที่เหลืออีกหกแห่ง การมาถึงของแต่ละกลุ่มได้ทำให้ค่ายกลรอบชีพจรเปิดใช้งานขึ้นเช่นกัน
เป็นผลให้ เมื่อเส้นชีพจรทั้งหมดเจ็ดสายเปิดใช้ค่ายกล ม่านขนาดยักษ์จึงแผ่กระจายไปทั่วเส้นชีพจรที่เหลืออีกหกสายด้วยเช่นกัน
ม่านพลังปรากฏขึ้นทั้งหมดเจ็ดแห่ง พวกมันเชื่อมต่อกันเป็นม่านพลังขนาดยักษ์ปกป้องแคว้นกระทิงสวรรค์จากทะเลโอสถ!
ม่านพลังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากเซียนมากกว่าแสนคนและหนากว่าแสนลี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะเข้ามาได้ แม้แต่บรรพชนกระทิงเขียวก็ยังผ่านเข้าไปได้ยากยิ่ง!
ต้องกล่าวว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก! นั่นเป็นเพราะนอกจากพลังล้วนๆ จากค่ายกลเอง ยังมีพลังอำนาจจากกระทิงสวรรค์เข้าไปด้วย!
เส้นชีพจรทั้งเจ็ดของกระทิงสวรรค์กำลังถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ถูกสร้างขึ้นมา มันได้ทำหน้าที่อันสำคัญ!
นอกจากเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์เหล่านี้แล้ว ยังมีสายเพลิงปฐพี 72 สายที่กำลังถูกคุ้มกันจากคนของสำนักมหาวิญญาณและสำนักเล็กๆอีก สายทั้ง 72 นี้รวมกันเป็นพลังงานอันไร้ขอบเขตและเป็นพลังปราณสวรรค์ใช้เกื้อหนุนเส้นชีพจรทั้งเจ็ดอีกด้วย!
ทั้งหมดนี้คือการป้องกัน แต่สำนักมหาวิญญาณจะเตรียมการหลายปีเพียงป้องกันได้อย่างไร? ยังมีเซียนอีกกลุ่มที่ทำหน้าที่สังหาร!
ถ้ำจำนวนนับไม่ถ้วนรอบวังที่อยู่ใต้ดินมีเซียนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในใจทุกคนมีความรู้สึกอึดอัดใจ พวกเขารู้ว่ามหาสงครามกำลังจะเริ่ม
หากเซียนจากแคว้นมารเขียวต้องการทะลวงม่านพลังเข้ามา พวกนั้นจะต้องเข้าทำลายเส้นชีพจรทั้งเจ็ด การจะทำเช่นนั้นได้จะต้องใช้เซียนจำนวนมากเข้ามาโจมตี
อีกไม่นานท้องฟ้าอันสงบนิ่งของทุ่งยอดนภาจะเต็มไปด้วยเซียนจากแคว้นมารเขียว
หยานหลวนเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะเพื่อรักษาตัวเองให้อยู่สภาวะพร้อมรบเต็มที่ ซิ่วตงเต๋อและลิ่วเหวินหลานก็เช่นกัน แต่พวกเขาเลือกวังแทนที่จะเป็นถ้ำ เพราะด้วยสถานะอันสูงส่งแล้วยังถือว่าเป็นกองกำลังหลักในการปกป้องที่นี่
ความจริงท่ามกลางเซียนนับหมื่นมีเพียงสี่คนที่อยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น แม้จะมาจากสำนักเล็กๆหรือเซียนไร้สำนัก แต่สถานะของแต่ละคนก็สูงส่งเช่นกัน พวกเขาถูกเชิญชวนเข้าไปในวังเพื่อเป็นกองกำลังสุดท้ายในการต่อสู้นี้!
หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำเล็กๆ อย่างสงบ มีหลายถ้ำอยู่รอบตัวเขาซึ่งรวมถึงชายชราที่จำหวังหลินไม่ได้ แต่หวังหลินจำเขาได้
ชายชราคนนี้คือคนที่พูดคุยกับหวังหลินในทุ่งยอดนภา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปในวังได้ เขาทำได้แค่เลือกถ้ำด้านนอกเท่านั้น
ความจริงด้วยตำแหน่งของหวังหลินก็สามารถเลือกวังก็ได้ถ้าเขาต้องการ แต่หวังหลินไม่ได้สนใจ หากเขาเลือกวังคงถูกคนอื่นนินทาลับๆ การอยู่ที่นี่อย่างสงบจะดีเสียกว่า
ขณะที่นั่งบ่มเพาะอย่างช้าๆ สัมผัสวิญญาณแผ่กระจายออกมา ใช้โอกาสนี้หลอมร่มสีฟ้าและต้นกำเนิดวิญญาณให้มีระดับความกลมกลืนมากขึ้น
เขายังนำเขตอาคมเข็มทิศออกมาให้แผ่ระยะไปทั่วทุ่งยอดนภา ของชิ้นนี้ช่างลึกลับมาก กระทั่งลิ่วเหวินหลานที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดที่นี่ก็ไม่สามารถจับสังเกตได้
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่วัน นอกจากเสียงจากการบ่มเพาะแล้วไม่มีเสียงอื่นใดในวังและถ้ำรอบๆ เลย
หวังหลินพลันลืมตา วินาทีนั้นเข็มทิศเบื้องหน้าเกิดการสั่นไหว เส้นสีเขียวพลันปรากฏขึ้นมาในแผนที่ของทุ่งยอดนภา
เส้นสีเขียวนี้เกิดขึ้นจากจุดสีเขียวนับไม่ถ้วน จุดสีเขียวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเข้ามา
‘พวกนั้นมากันแล้ว!’ หวังหลินจ้องมองเข็มทิศ ดวงตาเปล่งประกาย เขาจะทำตามสัญญาสามอย่างที่ให้ไว้กับสำนักมหาวิญญาณให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็จะออกไปจากที่นี่ มุ่งหน้าสู่สำนักตงหลินและไปยังเผ่าบัญชาโบราณ!
เมื่อหวังหลินตรวจจับการมาถึงของเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวได้ ลิ่วเหวินหลานลืมตาและเผยสายตาเย็นเยียบ
“เหล่าสหายเซียน พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้มาถึงแล้ว!” น้ำเสียงดังกึกก้องผ่านวังอันใหญ่โต
กลิ่นอายการบ่มเพาะได้หายไป เหล่าเซียนทั้งหมดลืมตาตื่น
พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญเช่นหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อเองก็สังเกตบางอย่างได้ จิตสังหารจึงแผ่กระจายออกมา
เสียงหวีดหวิวดังไปทั่วทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนมากกว่าหมื่นคนทะยานขึ้นไปเหนือทุ่งหญ้า ปกคลุมท้องฟ้าดวงตะวัน!
ท่ามกลางเซียนนับหมื่น มีอยู่หกคนที่เร็วที่สุด
ในหกคนนั้นมีบุรุษสี่คนและสตรีสองคน ทั้งหมดสวมชุดหรูหราและมีระดับบ่มเพาะชั้นยอดในแคว้นมารเขียว! บุรุษสองในสี่เป็นชายชราที่มีระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลางซึ่งเป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพนี้ ทั้งยังมากกว่าเซียนอีกหมื่นคน!
ที่เหลืออีกสี่คนเป็นขั้นวิบากดับสูญระดับต้น
ทั้งหกคนพุ่งทะยานมาตรงหน้า กองทัพที่เหลือติดตามพวกเขามา ปกคลุมน่านฟ้าในทุ่งยอดนภา จิตสังหารแผ่กระจายดุจก้อนเมฆสีดำปกคลุมพื้นที่
“พี่จาง เราสองคนร่วมมือกันแล้วมาดูกันว่าพลังของเจ็ดชีพจรกระทิงสวรรค์จะแน่สักแค่ไหน” ชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลางมองสหายร่วมกองทัพด้วยรอยยิ้ม
“พี่จ้าวมีความคิดเป็นเลิศ ข้าได้ยินว่าค่ายกลนี้สามารถก่อกำเนิดวิญญาณกระทิงสวรรค์ได้ ข้าอยากเห็นว่าหน้าตากระทิงสวรรค์จะมีหน้าตาเช่นไร!” ชายชราแซ่จางยิ้มและพยักหน้า ด้วยระดับบ่มเพาะของแต่ละคนจึงมองออกและคงไม่ตายได้ง่ายๆ ในมุมมองของพวกเขา การเข้าบุกนี้เป็นแค่หมากกระดานเกมหนึ่ง
มองจากมุมหนึ่งพวกเขาเก่งยิ่งกว่าหลิวเหวินหลานแต่ก็ยังห่างชั้นอยู่ช่วงใหญ่กับราชันย์เทพสีรุ้ง แม้ระดับบ่มเพาะจะคล้ายกันแต่ความกล้าบ้าบิ่นและความสงบนิ่งยังขาดอยู่ค่อนข้างเยอะ
เพียงเอ่ยปาก ทั้งสองยกแขนขวาขึ้นมาสร้างผนึกก่อนจะชี้ไปที่ทุ่งหญ้า พื้นดินส่งเสียงดังสนั่น ก้อนเมฆซ้อนกันหลายชั้นปรากฏขึ้นกลายเป็นยักษ์ขนาดแสนฟุตพุ่งทะยานออกไป
ในท้องฟ้ามีแสงสีดำคล้ายกับฉีกอวกาศให้เปิดออก กระบี่เหินสามเล่มปรากฏขึ้นมาและมีควันสีดำพวยพุ่ง หญ้าทั้งหมดบนพื้นเหี่ยวแห้งราวกับพลังชีวิตถูกดูดซับไปจนหมด
กระบี่ทั้งสามเล่มพุ่งทะยานไปพร้อมกับยักษ์
แต่ขณะที่กระบี่สามเล่มและยักษาเข้าไปใกล้ สายหมอกไร้ขอบเขตจากทุ่งยอดนภาได้แผ่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงร้องคำรามของกระทิงดังออกมาจากสายหมอก ไม่นานนักมีหมอกจำนวนมากก่อตัวเป็นรูปร่างกระทิงสวรรค์ มันส่งเสียงคำรามอันน่าตกตะลึงเข้าหายักษาและกระบี่ทั้งสามเล่ม
เพียงเสียงคำรามดังกึกก้อง กระทิงสวรรค์พลันระเบิด สายหมอกแผ่กระจายเข้าหาเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวอย่างรวดเร็ว!
ขณะเดียวกันลึกลงไปใต้ดิน ลิ่วเหวินหลานส่งเสียงคำรามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมด ตามข้าไปเข่นฆ่าพวกมัน ในค่ายกลหมอกนี้เรามีพลังไม่จำกัดและสามารถดึงพลังจากสายหมอกมาได้อย่างอิสระ!” สิ้นเสียงคำราม ลำแสงเจ็ดสายพุ่งออกไปพร้อมกับลิ่วเหวินหลานและหายวับเข้าไปในสายหมอก
บนพื้นดินนั้นสายหมอกปกคลุมเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเหล่าเซียนเกือบหมื่นคนที่อยู่ใต้ดินจึงทะยานออกไป
สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้น!
หวังหลินอยู่ในกลุ่มเซียนเหล่านั้น เขาสงบนิ่งและผสานเข้ากับสายหมอกทันที สายหมอกจะขัดขวางสัมผัสวิญญาณของเซียนจากแคว้นมารเขียว ทว่าสำหรับพวกเขาเหล่าเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ สายหมอกที่เข้าไปในร่างจะหล่อเลี้ยงและบำรุง!
…………………………………………………….