Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1859
ร่างของหลิวจื่อหยวนแตกสลายห่างจากหวังหลินไปพันฟุตภายใต้กำปั้นของเขาและตกลงกระแทกกับพื้น วิญญาณดั้งเดิมบิดเบี้ยวและแตกสลายเบื้องหน้าการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของหวังหลิน
มีเพียงศีรษะที่ถูกพลังอันแข็งแกร่งดึงกลับมาและหวังหลินคว้าจับเอาไว้ หลังจากเก็บไว้ หวังหลินก็เลือนหายไป
เพียงชั่วจังหวะที่หวังหลินหายตัวไป ทั่วทั้งสนามรบก็เงียบกริบ เสียงกรีดร้องโหยหวนของหลิวจื่อหยวนก่อนตายดังกึกก้องไปทั่วทุงยอดนภา!
ชายชราแซ่จางตัวสั่นเทาและถอยหนีโดยไม่สนใจการต่อสู้กับลิ่วเหวินหลาน ด้านลิ่วเหวินหลานหรี่ตาแคบพร้อมกับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนตายของหลิวจื่อหยวนเช่นกัน
“เซียนขั้นวิบากดับสูญตาย??”
“หลิวจื่อหยวน!!” ชายชราแซ่จางรีบถอยและมาถึงจุดที่หลิวจื่อหยวนตาย เขาเห็นกองเลือดเนื้อตรงนี้และหรี่ตาลง ตัวเขารู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลิวจื่อหยวนกับจ้าวสำนักเต๋ามาร เรื่องนี้ทำให้จิตใจเขาสั่นไหว
ชายชราแซ่จ้าวที่กำลังต่อสู้กับพวกหยานหลวนนั้นก็ล่าถอยออกมาด้วยเช่นกัน ขณะที่กลุ่มหยานหยวนกำลังสั่นไหวกับเสียงกรีดร้อง เขาได้มาถึงจุดที่หลิวจื่อหยวนตายด้วยเช่นกัน
“หลิวจื่อหยวน…ตาย?”
เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นทั้งสามคนจากแคว้นมารเขียวต่างก็รีบถอย แต่ละคนสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ทุกคนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนตายของหลิวจื่อหยวนต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เซียนขั้นวิบากดับสูญสิ้นชีพ!!”
“เสียงนั่น…เสียงนั่นฟังดูเหมือนผู้อาวุโสหลิว!!”
“เซียนขั้นวิบากดับสูญได้ตายไปแล้ว!!”
เสียงโกลาหลดังขึ้นมา การตายของเซียนขั้นวิบากดับสูญถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก!
“ถอย!” ชายชราแซ่จางเผยสายตาเย็นเยียบ แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและรีบจากไป นำคนด้านข้างเขาติดตามไปด้วย
ลิ่วเหวินหลานไม่ได้ไล่ตาม เขามองอีกฝ่ายที่กำลังถอยและขบคิด
‘คนที่ตายต้องมีสถานะพิเศษ…แต่ใครเป็นคนฆ่าเขา?’
ซิ่วตงเต๋อกวาดสายตาผ่านไปและขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าใครสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของฝ่ายศัตรู แต่เขาตกตะลึงมาก
‘สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญในเวลาสั้นๆ แค่นั้น เขาเป็นใครกัน!?’
มีเพียงหยานหลิวที่หรี่ตาแคบ นางพอจะได้เบาะแสบางอย่างและมือขวาจึงเกิดอาการสั่นเทา
‘เขา…’
ขณะที่เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญล่าถอย เหล่าเซียนที่เหลือหลายพันคนของแคว้นมารเขียวต่างก็ล่าถอยด้วยสายตาหวาดกลัว
“กลับวังใต้ดิน สร้างการป้องกันที่แน่นหนา ศัตรูจะต้องโจมตีระลอกที่สองแน่นอน เราจะต้องป้องกันอยู่ในสายหมอกและห้ามไล่ตามออกไป!” ลิ่วเหวินหลานสะบัดแขนเสื้อและมองไปรอบๆ
‘จะเป็นใครได้บ้าง…’ เขาก้าวเท้าพลางขบคิดและผสานเข้ากับพื้นดิน
หลังจากนั้นไม่นานเหล่าเซียนของแคว้นกระทิงสวรรค์ทั้งหมดจึงเข้าสู่พื้นดินตามกันไป
เซียนเกือบหมื่นเข้าสู่สนามรบบนทุ่งหญ้า แต่เหลือกลับมาไม่ถึงสี่พันคน ทั้งสี่พันกลับเข้าสู่ถ้ำของตัวเองอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมตัวต่อสู้ครั้งถัดไป
หวังหลินกลับมาพร้อมกับเหล่าเซียนหลายพันคนนี้เช่นกัน ใบหน้าซีดเซียว ถึงแม้การต่อสู้กับหลิวจื่อหยวนจะสั้นแต่กลับยากยิ่ง เขาคำนวณทุกอย่างรวมไปถึงตอนที่จะโจมตี ปฏิกิริยาตอบโต้ ใช้โอกาสตอนที่พลังปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายเหลือน้อยนิดและใช้ค่ายกลหมอกเข้าช่วยเหลือ
ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดนี้เท่านั้นจึงจะทำให้เขาสามารถสังหารหลิวจื่อหยวนลงได้ กระนั้นเขาเองก็บาดเจ็บด้วยเช่นกัน ความเจ็บปวดผุดออกมาจากหน้าอกเป็นระลอกและเขาต้องฟื้นฟูให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
‘นี่แค่เซียนขั้นวิบากดับสูญคนแรก…พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญช่างสังหารได้ยากเย็นเกินไป!’ หวังหลินขบคิด ถ้าไม่มีค่ายกลกระทิงสวรรค์ที่นี่ เขาคงไม่สามารถสังหารได้สำเร็จ
ไม่มีใครสังเกตว่าเขาฆ่าหลิวจื่อหยวน หวังหลินคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว ความจริงตอนที่เขาโจมตีได้ลดขนาดเขตอาคมเข้ามารอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้หลิวจื่อหยวนหลบหนีไปด้วย ซึ่งเขตอาคมนี้แม้จะมีสัมผัสวิญญาณของคนอื่นกวาดเข้ามาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
แม้เขาจะใช้วิชาต้นกำเนิดวิญญาณเพื่ออัญเชิญบรรพชนลำดับเก้าของสำนักมหาวิญญาณออกมาก็ไม่มีใครภายนอกสังเกตเห็น
นอกจากนี้หวังหลินมีความลับมากมายและวิธีการไม่ให้คนอื่นรู้ เป็นธรรมดาที่จะวางเขตอาคมเอาไว้เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นชัดเจนเกินไป
ตอนนี้เซียนทุกคนที่อยู่ใต้ดินกำลังคาดเดาว่าใครเป็นคนสังหารศัตรูขั้นวิบากดับสูญ!
ลิ่วเหวินหลาน หยานหลวนและเซียนขั้นวิบากดับสูญที่เหลืออีกสี่คนอยู่ในวังพร้อมกับชายชราสามคนที่ประเมินหวังหลินต่ำไปก่อนห้านี้
ชายชราทั้งสามเต็มไปด้วยอาการตกใจ พวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่มีคนสามารถสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ หากลิ่วเหวินหลานทำลงไปก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แม้จะเป็นหนึ่งในเซียนขั้นวิบากดับสูญคนอื่นก็ยังถือว่ายอดเยี่ยม แต่นี่เห็นได้ชัดว่าคนที่สังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญของแคว้นมารเขียวไม่ใช่พวกเขา เช่นนั้นจะเป็นใครกันได้เล่า?
“ข้ามองเห็นไม่ชัด ช่วงการต่อสู้เซียนแซ่หลิวได้ถอยออกไปเพื่อกลืนกินเม็ดยา จากนั้นก็เกิดเสียงต่อสู้ดังออกมา”
“ข้าพยายามใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบแต่มีเขตอาคมอยู่ตรงนั้น เมื่อส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปมันกลับเป็นภาพพร่ามัวและเห็นไม่ชัดเจน”
“ข้าพยายามตรวจสอบเช่นกันแต่ก็ไม่พบอะไร”
เหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญสามคนจากสำนักใกล้เคียงล้วนพูดด้วยสายตาสงสัยและหวาดกลัว สงสัยว่าใครเป็นคนสังหารศัตรูและกลัวว่าการสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญที่ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นั้นจะต้องมีพลังมากแค่ไหน!
เซียนที่ผ่านด่านวิบากแก่นแท้ไปเก้าด่านและบรรลุด่านวิบากดับสูญกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานและไม่มีวันตาย! ที่ไม่มีวันตายก็เพราะอายุขัยยาวนานเท่าความเก่าแก่ของจักรวาล ที่บอกว่าไร้เทียมทานเพราะสังหารได้ยากยิ่งที่สุด!
“มันเป็นใคร…” หนึ่งในสามชายชราที่ไม่ได้บรรลุขั้นวิบากดับสูญซึ่งมองข้ามหวังหลินกำลังพึมพำ
“ดูเหมือนจะมีผู้เก่งกาจซ่อนตัวอยู่ในเหล่าเซียนที่นี่…” ลิ่วเหวินหลานสอดสายตาผ่านไปยังฝูงชน เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครที่นี่สามารถสังหารเซียนในระดับเดียวกันในชั่วเวลาสั้นๆ ได้
ขณะที่กวาดสายตาผ่านไปเขาพลันคิดถึงคนผู้หนึ่ง รูม่านตาหรี่แคบลงทว่าเขากลับล้มเลิกความคิดนี้ฉับพลัน
‘เป็นเขาไปไม่ได้ เขาไม่สามารถทำได้!’ ลิ่วเหวินหลานคิดเกี่ยวกับหวังหลิน
“ก็ดี ในเมื่อคนผู้นี้ไม่แสดงตัว พวกเราไม่จำเป็นต้องไปค้นหา ดีต่อเราซะอีก บางทีเขาจะเผยตัวในอีกไม่นาน!” ลิ่วเหวินหลานมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ซิ่วตงเต๋อขมวดคิ้วและพูดขึ้น “หรือว่าคนที่โจมตีไม่ได้อยู่ที่นี่และแค่ผ่านทางมา…”
พอพูดเช่นนี้ทุกคนพลันเริ่มคิดถึงสิ่งที่ลิ่วเหวินหลานคิดอย่างละเอียดและถือว่ามีโอกาสเป็นไปได้ อีกทั้งเขาก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่นี่ทำได้นอกจากเขา
เหตุการณ์เดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นด้านนอกสายหมอกรอบๆ ทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวกำลังบ่มเพาะกันอย่างเงียบๆ ใจกลางกลุ่มมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนกำลังสอบสวนเรื่องการตายของหลิวจื่อหยวน
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียนขั้นวิบากดับสูญจะเกิดการตายในการต่อสู้กับแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นคนตายแต่กลับไม่รู้ว่าใครทำ!” ชายชราแซ่จางมีท่าทีมืดมนและโกรธเกรี้ยวแต่ยังมีความกลัวปะปนอยู่ด้วย เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้จ้าวสำนักเต๋ามารโกรธเกรี้ยวแค่ไหน จ้าวสำนักได้ปิดผนึกสัมผัสวิญญาณและปิดด่านบ่มเพาะไปหลายปีแล้ว
“ตัวตนของผู้อาวุโสหลิว…” เซียนขั้นวิบากดับสูญบางส่วนที่อยู่กลุ่มเดียวกับหลิวจื่อหยวนได้เอ่ยเสียงกระซิบแต่ไม่ได้พูดจนจบ
ชายชราแซ่จ้าวถอนหายใจ “นอกจากเรื่องตัวตน พวกเจ้าคิดจริงจังหรือไม่ว่ามีอะไรผิดพลาด มันเกิดเรื่องแบบนี้ในชั่วเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร?”
“ผู้อาวุโสหลิวถอยออกไปกินเม็ดยา เราถูกสายหมอกขัดขวางจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่เสียงการต่อสู้เริ่มกระชั้นขึ้นหลังจากนั้นและเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปไหม้ การต่อสู้ก็จบลง…”
“ข้าไม่สามารถส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปได้เพราะมีม่านเขตอาคมขัดขวางบริเวณ…”
“แต่ข้าสัมผัสได้ว่าผู้อาวุโสหลิวนำสมบัติออกมาและอัญเชิญวิญญาณอาฆาต…” ทั้งหมดเริ่มบอกสิ่งที่ตัวเองจำได้
“ผู้อาวุโสจ้าว ข้าค้นพบอยู่หนึ่งเรื่อง…” สตรีคนหนึ่งซึ่งไม่ได้พูดมานานพลันเอ่ยออกมา
นางคือหนึ่งในสี่คนที่ต่อสู้ไปกับหลิวจื่อหยวน นางดูลังเลและเมื่อชายชราแซ่จ้าวมองเข้ามาจึงกัดฟัน
“สิ่งที่ป้องกันไม่ให้ใช้สัมผัสวิญญาณ นอกจากสายหมอกแล้วยังมีเขตอาคมอีกแห่ง เขตอาคมนั้นควรจะเป็น…เขตอาคมแยกมารแห่งสำนักเขตอาคมมาร!”
“ข้าเคยเจอเขตอาคมนี้มาก่อน มันไม่ผิดแน่!” หลังนางเอ่ยขึ้นทุกคนก็เงียบเสียง สายตาจับจ้องมาที่ชายชราแซ่จ้าว
ชายชราแซ่จ้าวเป็นคนที่มาจากสำนักเขตอาคมมาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่จากแคว้นมารเขียว!
ชายชราแซ่จ้าวดวงตาส่องสว่างขึ้นและเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้เก่งเรื่องเขตอาคมแยกปิศาจและไม่คุ้นเคยนัก ดังนั้นข้าจึงไม่ได้สังเกต…แต่ในเมื่อเจ้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าเพิ่งนึกออกอยู่หนึ่งเรื่อง…”
“ช่วงระหว่างเกิดความโกลาหลในทะเลโอสถ หลังจากสำนักเขตอาคมมารของข้าเข้าไปตรวจสอบและได้รับการรายงานจากสายลับ คนที่ซ่อนตัวในทะเลโอสถคือผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณชื่อหวังหลิน…และเข็มทิศแบ่งเขตอาคมได้หายไปในทะเลโอสถนั้น! พอเอาไปอ้างอิงกับศูนย์เขตอาคม เข็มทิศนั้นไม่ได้ถูกทำลาย!” ขณะที่ชายชราแซ่จ้าวเอ่ยขึ้นเขามองไปยังส่วนลึกของทุ่งยอดนภา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ดูเหมือนเขาคือคนที่สังหารผู้อาวุโสหลิว! แม้ไม่ได้ทำก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง!”
“หวังหลิน…” จิตสังหารผุดขึ้นมาในสายตาของชายชราแซ่จาง เขาต้องฆ่าคนผู้นี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถทนรับความโกรธเกรี้ยวของจ้าวสำนักได้