Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1861
ชายชราแซ่โจวไม่เคยคิดว่าหวังหลินคู่ควร แม้หวังหลินจะเป็นผู้อาวุโส ระดับบ่มเพาะกลับต่ำชั้นเกินไป เขาประเมินว่าหวังหลินใช้เส้นสายเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้อาวุโสมาครอบครอง
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรในสำนักที่มีอยู่ทั่วแผ่นดินเซียนดารา คนที่มีระดับบ่มเพาะต่ำต้อยหลายคนมีตำแหน่งรั้งเป็นผู้อาวุโส พวกเขาไม่ได้มีค่าต่อสำนักและเป็นแค่การแสดง
เมื่อคนแบบนี้เข้าสู่สนามรบก็จะเผยธาตุแท้ออกมา ชายชราแซ่โจวมองข้ามคนแบบนี้ แม้ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้าแต่เผยออกมาทางคำพูด
‘ข้าไม่เห็นเขาจะทำความดีความชอบอันใดในการรบมาก่อน แต่ผู้อาวุโสลิ่วสั่งให้เขาไปลาดตระเวน ต้องมีความหมายแอบแฝงอยู่เป็นแน่…ข้ากลัวว่าคนในสำนักมหาวิญญาณไม่ชอบเขาจนแม้แต่คนที่มีสถานะสูงส่งอย่างผู้อาวุโสลิ่วทนไม่ไหว’ ชายชราแซ่โจวคิดขึ้นมาพลางยืนอยู่นอกประตูถ้ำของหวังหลิน
เขาเก่งด้านการอ่านสถานการณ์ หวังหลินผู้นี้แยกตัวออกมาจากในวังและถูกบังคับให้เลือกถ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่ามีปัญหามากมาย
คำพูดเย็นชาดังเข้าไปในถ้ำและถึงหูของหวังหลิน หวังหลินพลันลืมตาด้วยความสงบนิ่ง ซึ่งความสงบนิ่งแบบนี้ช่างเป็นเรื่องน่ากลัว
เขาซ่อนร่างและผสานเข้ากับความมืด แม้แต่ผมสีขาวยังถูกย้อมด้วยสีดำ
“ผู้อาวุโสหวัง เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?” ชายชราแซ่โจวขมวดคิ้ว เขายืนอยู่นอกถ้ำมากกว่าสิบลมภายใจ แต่ถ้ำนั้นหวังหลินมีท่าทีเหมือนเขาตายด้านและไม่ตอบสนองอะไรเลย
ท่าทีสำคัญตัวเองแบบนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ เขาไม่รอให้หวังหลินตอบกลับมาก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงดังสนั่นจนเกิดรอยร้าวแผ่กระจายไปถึงส่วนประตูถ้ำของหวังหลิน
ปัง!
ประตูถ้ำพังทลาย
ทุกคนที่ชายชราแซ่โจวเรียกออกไปลาดตระเวณจะออกมาทักทายเขาอย่างสุภาพ พอเห็นท่าทีไม่แยแสของหวังหลิน เขาจึงไม่พอใจ
เมื่อประตูถ้ำพังทลาย ชายชราก้าวเดินเข้าไปด้วยลมหายใจเย็นเยียบ ขณะที่ก้าวเดินเขาพลันหยุดลง เขาเห็นหวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำ จ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
สายตาเย็นเยียบนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวถึงกับลืมหายใจ หยาดเหงื่อปกคลุมทั่วร่าง เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนลิ่วเหวินหลานจ้องมอง โลหิตไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาทำลายถ้ำของข้า?” หวังหลินถามอย่างสงบ มิอาจบอกได้ว่าโกรธเกรี้ยวหรือเป็นสุข เขาเดินเข้าไปหาชายชรา
ชายชราแซ่โจวถึงกับหัวใจบีบรัด วินาทีที่เขาเดินเข้าไปในถ้ำจึงรู้สึกเหมือนไม่ได้มองมาที่เซียนแต่เป็นอสูรดั้งเดิมที่กำลังตื่นจากนิทรา ไม่เพียงแต่ร่างกายเขาจะสั่นเทา ยังรวมไปถึงวิญญาณดั้งเดิมด้วย
นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้นแต่กลับทำให้เขาหวาดกลัวจริงๆ
พอหวังหลินก้าวเดินเข้ามาใกล้ ชายชราแซ่โจวถึงกับหน้าซีด ถอยเท้ากลับไปโดยไม่รู้ตัว เพียงไม่กี่ก้าวก็ออกมาจากถ้ำ ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกโชก
ชายชราแซ่โจวดวงตาหรี่แคบและร้องออกมา “หวัง…ผู้อาวุโสหวัง เจ้า…เจ้าจะทำอะไร!?”
หวังหลินไม่ได้พูดและเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ร่างกายค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืด เรือนผมสีขาวเผยออกมา ชายชราแซ่โจวเริ่มหัวใจเต้นถี่รัว
เสียงหัวใจเต้นรวดเร็วจนบดบังเสียงทั้งหมดในใจเขา ราวกับหัวใจต้องการพุ่งออกมาจากหน้าอกและแตกสลาย
ความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวมีแววตาหวาดกลัวและแทบไม่เชื่อ
หวังหลินหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราแซ่โจว เขาจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่ง
สายตาและท่าทางเช่นนี้ทำให้ชายชราแซ่โจวรู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง ความคิดจิตใจขาวโพลนไปหมด
“เป็น…เป็นผู้อาวุโสลิ่วเหวินหลาน…” เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ชายชราแซ่โจวก็ไม่สามารถทนรับแรงกดดันได้ไหว เขารู้สึกว่าหากไม่ตอบออกมา วิญญาณดั้งเดิมคงบุบสลายและตายภายใต้สายตาของหวังหลิน
หลังเอ่ยปากออกมา สายตาหวังหลินข้ามผ่านชายชราไปยังวังที่หรูหราที่สุด ที่ตรงนั้นคือตำแหน่งที่ลิ่วเหวินหลานอยู่
พอหวังหลินมองเข้าไป ลิ่วเหวินหลานคล้ายกับสังเกตบางอย่างได้และลืมตาขึ้น สายตาดุจประสานกับสายตาหวังหลิน
ชายชราแซ่โจวไม่กล้าหายใจ แม้แรงกดดันเบื้องหน้าได้หายไปแล้วแต่ความรู้สึกหวาดกลัวกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจลืมไปได้
‘คนผู้นี้ไม่ได้ใช้เส้นสายเพื่อกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณแน่นอน!! ระดับบ่มเพาะของเขา…ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง!!’ ชายชราแซ่โจวถึงกับหน้าซีด ตอนที่หวังหลินมองมาราวกับกระบี่จิตสังหารชี้มาที่หน้าผากเขา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม
เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาไม่ควรไปฟังคำพูดของลิ่วเหวินหลานว่าให้ไปล่วงเกินคนน่ากลัวเช่นนี้
หวังหลินเลื่อนสายตาออกไปจากวังในหลายวินาทีถัดมา เขาสะบัดแขนด้วยท่าทีสงบนิ่งและก้าวเดินผ่านชายชราแซ่โจวออกไป แต่ขณะที่เดินผ่าน มือขวาตบลงบนไหล่ของชายชราอย่างลวกๆ
“คนที่ทำลายถ้ำของข้าจะต้องตาย! ในเมื่อเจ้าล่วงเกินข้าก่อนและถูกคนอื่นปั่นหัวมา เจ้าไม่ถึงกับตายแต่ยังต้องโดนลงโทษ! พรุ่งนี้เมื่อข้ากลับมา ข้าอยากเห็นว่าประตูถ้ำถูกซ่อมแซมเสร็จแล้ว” หวังหลินเคลื่อนร่างและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังหลินไม่ได้ปฏิเสธการลาดตระเวน ในเมื่อลิ่วเหวินหลานมอบหมายงานให้ทำ หากเขาปฏิเสธคงมีอีกหลายงาน
หลังจากหวังหลินจากไป ชายชราแซ่โจวถึงกับสั่นเทาและกระอักโลหิต ใบหน้าซีดขาวทันที ร่างกายอ่อนยวบ ดวงตายังคงความหวาดกลัว
เขาเคลื่อนร่างออกไปไกลเพื่อหาประตูใหม่ให้กับถ้ำและซ่อมแซมก่อนที่หวังหลินจะกลับมา
ทว่าขณะที่ชายชรากำลังจะจากไป เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูเขา “สหายเซียนโจว มาที่นี่สักประเดี๋ยว” เสียงนี้ทำให้เขาต้องหยุด สีหน้าท่าทางขมขื่น
เพราะเสียงนี้เป็นของลิ่วเหวินหลาน
“ทำไมท่านถึงให้ข้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องท่านทั้งสอง…” ชายชราแซ่โจวถอนหายใจ ในเมื่อลิ่วเหวินหลานเรียกตัวเขาก็จำเป็นต้องไป เขาพลันยิ้มอย่างขมขื่น ยกเลิกการซ่อมแซมประตูถ้ำและทะยานเข้าหาวังอย่างช่วยไม่ได้ เขาหวังว่าจะมีเวลาพอให้ซ่อมแซมมันหลังจากออกมาจากวังของลิ่วเหวินหลาน ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าคิดว่าจะเกิดผลอะไรขึ้นตามมา
ร่างหวังหลินท่องทะยานผ่านพื้นดินขึ้นไปสู่ทุ่งหญ้าด้านบน ไม่นานนักเขาจึงปรากฏตัวใต้แสงจันทรา
แสงจันทรารุนแรงจนทำให้ทุ่งยอดนภากลายเป็นสีเงินในช่วงก่อนเที่ยงคืน ทว่าเมื่อหวังหลินปรากฏตัว แสงกลับอ่อนลงและถูกซ่อนหลังก้อนเมฆครึ้มสีดำจนพื้นดินมืดมิด
หวังหลินก้าวไปบนทุ่งหญ้าอย่างเงียบเชียบ เสียงใบหญ้าพัดอ่อนไหวและชัดเจนยิ่งยามค่ำคืน
ไม่นานนักแสงจันทราทั้งหมดได้ถูกก้อนเมฆสีดำปกคลุม ทั้งอาณาเขตเปลี่ยนเป็นความมืด ร่างหวังหลินซ่อนไปความมืดอีกครั้งและพร่าเลือน
สายลมเปียกชื้นพัดเข้ามาและผ่านไปบนพื้นดิน พัดเสื้อผ้าและเส้นผมของหวังหลินให้ปลิวไสว แต่ในความมืดนี้ทั้งหมดกลับเลือนลาง
หวังหลินเดินไปบนทุ่งหญ้าพร้อมกับคิดถึงลี่มู่หวาน เขาสัมผัสกับมือขวาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเศร้า ที่นั่นคือที่ที่มีมิติเก็บของและลี่มู่หวานยังคงหลับใหล
พอสัมผัสกับมือขวา เขารู้สึกถึงอุ่นไอจากมือราวกับสัมผัสลี่มู่หวาน
ชั่วเวลาไม่เกินสามพันปีทั้งยาวนานแต่ก็สั้นมากเช่นกัน ดุจสายลมได้พัดผ่านทุ่งหญ้ามาตั้งแต่ยุคอดีต
หวังหลินถอนหายใจเสียงดัง ก้าวเดินไปบนทุ่งหญ้าบนแผ่นดินอันแปลกหน้า บางทีเพราะอาการบาดเจ็บของเขายังไม่ฟื้นฟู ในใจจึงเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว
ข้าอบอุ่นโลกด้วยเปลวเพลิงเพื่อให้เจ้าไม่หนาวเหน็บ
ข้าสั่นคลอนโลกด้วยสายฟ้าเพื่อให้เจ้าได้ยินเสียงของข้า
ข้าเดินข้ามผ่านเส้นทางอันยาวไกลเพื่อตามหาลมหายใจของเจ้า
ข้าเข้าสู่มรรคาแห่งเต๋ามารเพื่อเข่นฆ่า ฝืนชะตาสวรรค์ สังหารทวยเทพ ล้มล้างฟ้าดินและยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าผู้เป็นที่รักเพื่อทำให้เจ้าลืมตา
หวังหลินมองในความมืดอันห่างไกลและเดินอย่างเงียบเชียบ
เขาเสมือนความมืดมิดยามกลางคืนเพราะความมืดนี้สามารถปิดบังความเปล่าเปลี่ยวของเขาได้ ในความมืดนั้นคนอื่นไม่สามารถมองเห็นความโดดเดี่ยวของเขาได้ด้วย
ในใจทุกคนมีกล่องหนึ่งกล่อง กล่องนี้มีความทรงจำเอาไว้ ความทรงจำที่ว่าเป็นได้ทั้งรสหวานและรสขม
คนบางคนสูญเสียกล่องนี้ไปพร้อมกับตัวเองและตามหาไม่เจอ
คนบางคนล็อคมันเอาไว้ ไม่ต้องการเปิดและไม่ยอมให้คนอื่นได้สัมผัส
คนบางคนมักจะถือกล่องเอาไว้ในมือ และบอกคนอื่นเพื่อไม่ให้ลืมสิ่งนี้
คนบางคนฝังกล่องไว้ใต้ดินและรอคอยวันเวลา…เมื่อดอกไม้เบ่งบาน ความงดงามของดอกไม้จะเผยโฉมไปด้วย
ในกล่องมีความรักของคนผู้หนึ่ง ถ้วยแห่งความหวานและน้ำรสขม…
“กล่องของข้ายังอยู่ดี…” หวังหลินพึมพำ ในความมืดมิดไม่อาจมองเห็นความเหงา ไม่อาจเห็นความอ้างว้าง ไม่อาจเห็นความโดดเดี่ยว…ของหวังหลิน