Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1862
การลาดตระเวณเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่หวังหลินคุ้นชินไปแล้ว เขาชินกับการเดินตัวคนเดียว ซุกซ่อนในความมืด และมองไปยังพื้นที่อันไร้ขอบเขตเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ
แสงจันทราถูกก้อนเมฆสีดำปิดบังแต่ก็ไม่ได้ปิดไปเสียหมด ราวกับมันกำลังนำทาง หวังหลินมองแสงจันทราแค่เศษเสี้ยวนั้นและค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป
ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางคืน ก้อนเมฆเริ่มก่อตัวมากขึ้น ไม่นานจึงเกิดเสียงฟ้าร้อง สายลมพัดเข้ามา เสียงน้ำหลั่งไหลออกมาจากทุกทิศทาง
จากนั้นฝนก็เริ่มตก
หวังหลินหยุดก้าวเดินและไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝน เขาสะบัดแขนปรากฏเข็มทิศเขตอาคมขึ้นในมือ เข็มทิศแสดงอย่างชัดเจนว่ามีจุดสีเขียวมากกว่าสิบจุดกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
หวังหลินดวงตาส่องสว่างและล่าถอยทันที เขาล่าถอยไปมากกว่าหมื่นฟุตด้วยความรวดเร็วและเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นหยุดมองเข็มทิศในมือพร้อมกับดวงตาที่ส่องสว่าง
จุดสีเขียวบนเข็มทิศเปลี่ยนทิศทางตามหวังหลิน พวกมันดูเหมือนสังเกตได้ว่าหวังหลินเปลี่ยนตำแหน่งและพุ่งเข้ามาใกล้ๆ
ขณะเดียวกันบนเข็มทิศมีอีกสามทิศทางรอบตัวหวังหลินที่เป็นกลุ่มสีเขียวมากกว่าสิบจุด พวกมันดูเหมือนกำลังล้อมกรอบและตีวงแคบลง
‘นี่คือจุดประสงค์ของลิ่วเหวินหลาน’ ตอนที่หวังหลินออกมาจากวัง เขาเข้าใจแผนของลิ่วเหวินหลานแล้ว ลิ่วเหวินหลานสงสัยในตัวหวังหลิน ดังนั้นจึงส่งหวังหลินออกมาเพื่อดูว่าสามารถล่อพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวได้หรือไม่
แม้หวังหลินเลือกที่จะไม่ออกมาก็ได้ แต่ด้วยนิสัยของหวังหลินที่มักจะซ่อนตัว บางครั้งการถอยเพื่อไปต่อนับว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า
‘หากข้าเป็นลิ่วเหวินหลาน ข้าคงผนึกทางเข้าสู่วังทุกเส้นทาง!’ หวังหลินก้าวลงบนพื้น เกิดเป็นพลังตีกลับไม่ให้เขากลับสู่วังใต้ดิน
หวังหลินเยาะเย้ยพลางจ้องมองจุดสีเขียวเกือบร้อยจุดในเข็มทิศ ดวงตาวูบวาบเป็นจิตสังหาร
คนพวกนี้ออกมาเพื่อสังหารหวังหลิน แต่ไม่รู้ว่าที่หวังหลินออกมาก็เพื่อรีบจบภารกิจที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้
‘สองในสี่ทิศมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง…อีกสองทิศเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น…ตั้งแต่ที่หลิวจื่อหยวนตาย แคว้นมารเขียวก็เหลือเซียนขั้นวิบากดับสูญอยู่หกคน ตอนนี้พวกเขาส่งห้าคนนี้ออกมา ดังนั้นต้องรู้แล้วว่าข้ามีเข็มทิศและเดาว่าข้าสังหารหลิวจื่อหยวน!’ หวังหลินก้าวไปทางขวา เกิดเป็นระลอกคลื่นและหายตัวไป
ทั้งสี่ทิศของทุ่งยอดนภามีเซียนมากกว่าสิบคนพุ่งทะยานมาหาหวังหลิน ชายชราแซ่จ้าวและชายชราแซ่จางต่างก็มีท่าทีมืดมน
อีกสองทิศเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ทั้งสองเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่นำกำลังคนมากกว่าสิบคนเข้ามาหาหวังหลิน
ขณะเดียวกันห่างจากที่นี่ออกไปไกล เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นอีกคนรวมถึงเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวหลายพันคน นางนั่งอยู่ที่นี่พร้อมกับเข็มทิศมายาตรงหน้าเพื่อเผยให้เห็นตำแหน่งที่ตั้งเข็มทิศของหวังหลินได้ชัดเจน นางออกคำสั่งและแจ้งเตือนทุกคนถึงตำแหน่งของหวังหลิน
สายฟ้าดังลั่นอยู่ในท้องฟ้า สายฝนกระหน่ำเทลงมา การเข่นฆ่าเริ่มขึ้นท่ามกลางสายฝน!
ฉวี่เต๋อข่ายคือเซียนไร้สำนักของแคว้นมารเขียวและบรรลุไปถึงขั้นวิบากดับสูญระดับต้น นี่เป็นขีดจำกัดแล้วและเขาคงไม่สามารถปีนป่ายขึ้นไปได้อีกเว้นแต่จะเจอโชควาสนาครั้งใหญ่
เขาได้รับเชิญจาสำนักมารเต๋าให้เข้าร่วมการต่อสู้กับแคว้นกระทิงสวรรค์ เขาได้รับสัญญาว่าจะมีผลประโยชน์ให้มหาศาล ดังนั้นจึงเข้าร่วมกองทัพเพื่อทำลายเส้นชีพจรแห่งที่สาม
ตอนนี้เขากำลังนำพาเซียนมากกว่าสิบคนไปด้วยกัน ในกลุ่มนี้มีอยู่สามคนที่เป็นเซียนขั้นที่สาม คนที่แข็งแกร่งสุดคือขั้นแก่นแท้ดับสูญระดับกลางเท่านั้น
ที่เหลือส่วนใหญ่อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ พวกเขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยมีฉวี่เต๋อข่ายนำทาง
ระหว่างทางฉวี่เต๋อข่ายระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง การตายของหลิวจื่อหยวนได้ทำให้เขาตกตะลึงครั้งใหญ่ พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญนั้นสังหารได้ยากยิ่ง แต่เมื่อสองวันก่อนหลิวจื่อหยวนกลับเสียชีวิต
เรื่องนี้ทำให้ในใจเขาเกิดความตื่นตัวครั้งใหญ่จนต้องระมัดระวัง ทว่ากลับมีความตื่นเต้นในความระมัดระวังนี้ด้วย
ความตื่นเต้นนี้ออกมาจากคำสัญญาของชายชราแซ่จาง ก่อนจะจากมา
“หากใครสังหารหวังหลินได้ ข้าสัญญาว่าจะให้จ้าวสำนักอนุญาตให้เข้าบ่อสวรรค์ได้หนึ่งพันปี!” ฉวี่เต๋อข่ายตื่นเต้นยิ่ง
ลือกันว่าตอนที่บรรพชนเทพได้ทำการแยกแกนพลังของแมงป่องมาร มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้น แกนพลังได้แตกสลายเป็นส่วนเล็กๆจนก่อเกิดหลุมทั้งห้าขึ้นทั่วแคว้นมารเขียว หลุมทั้งห้าเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังมาร การบ่มเพาะข้างในจะให้ประโยชน์มากมาย
ฉวี่เต๋อข่ายซึ่งมีระดับบ่มเพาะติดอยู่ที่เดิมมานาน นี่เป็นโอกาสที่เขาใฝ่ฝัน ไม่ว่ามันจะเพิ่มระดับบ่มเพาะหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องลองดู
‘หวังหลิน หากข้าสังหารเจ้า ข้าก็จะได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ ระหว่างเราไม่มีข้อบาดหมางอะไรกันแต่เจ้าต้องตาย!’ ฉวี่เต๋อข่ายเลียริมฝีปาก แววตาเยือกเย็น
ขณะที่จิตสังหารผุดขึ้นมา ในใจเขาเกิดความรู้สึกตกตะลึง พอกำลังจะหันกลับมา พลันมีเสียงกรีดร้องดังลั่น
ศีรษะของสิบคนสุดท้ายในกลุ่มที่ไม่ได้บรรลุขั้นที่สามกำลังหลุดออกจากบ่า โลหิตชะโลมไปทั่วทุกที่ วิญญาณดั้งเดิมทุกคนแตกสลาย
ฉวี่เต๋อข่ายเห็นเพียงร่างสีขาวก้าวเดินออกมาจากความมืดและถือกระบี่โลหิต ร่างนั้นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันแปลกประหลาด เพียงกระบวนท่าเดียว สิบคนได้เสียชีวิตทันที
หลังจากสังหารไปสิบคน หวังหลินสงบนิ่งและล่าถอยพร้อมเลือนหายไป
ฉวี่เต๋อข่ายหรี่ตาและเต็มไปด้วยความตกตะลึง หวังหลินรวดเร็วเกินไปจนน่ากลัว แต่ขณะเดียวกันเขาก็ตื่นเต้นไปด้วย
“หวังหลิน!!” ฉวี่เต๋อข่ายถอยกลับโดยไม่ลังเล เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปยังท้องฟ้า
ดอกไม้มายาอันงดงามพลันปรากฏขึ้นในคืนมืดมิดและฝนพรำ มันกินพื้นที่กว่าครึ่งท้องฟ้า ถึงแม้จะดูงดงามแต่หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าดอกไม้สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก!
จังหวะที่ดอกไม้ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า หวังหลินมีแววตาเย็นเยียบ ทางขวาตอนนี้เหลืออยู่ห้าคน นอกจากเซียนขั้นวิบากดับสูญแล้ว ไม่มีใครเลยในสี่คนนี้ที่คู่ควรให้เขาสนใจ
ทั้งสี่คนร่างกายสั่นสะท้านและล่าถอยทันที แต่ความเร็วกลับเทียบไม่ได้กับหวังหลิน หวังหลินเคลื่อนร่างและเกิดเป็นแสงสีแดงกะพริบวาบ กระบี่โลหิตกลายร่างเป็นมังกรโลหิตพุ่งทะยานออกไป สองคนที่โดนสัมผัสถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
หลังจากสังหารไปสองคน เข็มทิศในร่างหวังหลินแจ้งเตือนให้รู้ว่ามีอีกสามกลุ่มกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา เหล่าเซียนเฒ่าขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสามคนกำลังมุ่งหน้ามาด้วยความเร็วสูงสุด
ด้วยความเร็วเท่านี้คงต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อมาถึง
ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่ออกมาจากกลุ่มและมุ่งหน้ามาหาเขา
‘ครึ่งชั่วโมง…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและพุ่งเข้าหาฉวี่เต๋อข่าย ตอนนี้ฉวี่เต๋อข่ายส่งสัญญาณดอกไม้ เขาตั้งใจว่าตั้งแต่ที่พบหวังหลินจะทำการรั้งเอาไว้เพื่อให้ได้รับความดีความชอบครั้งใหญ่
ฉวี่เต๋อข่ายเยาะเย้ย เขาไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขณะที่หวังหลินพุ่งเข้ามา ฉวี่เต๋อข่ายยกแขนขวาและปล่อยมือลงทันที
เพียงปล่อยมือลง ได้สร้างผนึกอย่างรวดเร็วเกือบหนึ่งล้านผนึก ก่อเกิดเป็นสิงโตตัวยักษ์ขนาดพันฟุต ส่งเสียงคำรามพร้อมกระโจนเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินไม่เคยเจอการสร้างผนึกด้วยความเร็วแบบนี้มาก่อน วิชาประหลาดของฉวี่เต๋อข่ายช่างรวดเร็วยิ่ง
เจ้าสิงโตร้องคำรามพลางพุ่งใส่หวังหลิน เกิดแสงโลหิตกะพริบวูบวาบและเสียงดังกึกก้อง คลื่นยักษ์กระจายไปบนพื้นดิน สายฝนในท้องฟ้าพังทลายเป็นวงกว้าง พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นพื้นที่ไร้สายฝนไปชั่วขณะ
ฉวี่เต๋อข่ายเพิ่งใช้วิชาออกไปแต่ไม่หยุดชะงัก เขาถอยไปสามก้าว แขนขวาพลันกดลงบนพื้นดิน ช่วงการเคลื่อนไหวสั้นๆ ฝ่ามือได้สร้างผนึกเกือบสี่ล้านแบบด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนกและกดลงเข้ากับพื้นดิน
พื้นดินสั่นสะเทือนกลายเป็นมนุษย์โคลนตัวยักษ์สี่ตัวปรากฏออกมาบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งเข้าหาหวังหลินไปพร้อมกับเจ้าสิงโต
เพียงหวังหลินทะยานออกมาจากสิงโต มนุษย์โคลนทั้งสี่ได้พุ่งเข้ามาโดยไม่ให้เขาได้มีโอกาสฟื้นพลัง
แม้หวังหลินเคยเจออันตรายหลายอย่างมาในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจออะไรแบบนี้
‘ความเร็วการร่ายนั่นมันอะไรกัน ฝ่ามือรวดเร็วได้ขนาดนี้เชียวหรือ?!’ หวังหลินหรี่ตาลง ขณะที่มนุษย์โคลนสี่ตัวเข้ามา เขาเห็นฉวี่เต๋อข่ายถอยไปสามก้าว แขนซ้ายเคลื่อนไหวสร้างผนึกเกือบห้าล้านครั้ง ผนึกได้เปลี่ยนกลายเป็นก้านธูปหนึ่งดอก เขาจับมันเอาไว้และชี้มาที่หวังหลิน
จิตใจหวังหลินสั่นสะท้าน พลังลึกลับเข้าสู่ความคิด
หลังจากนั้นไม่นาน ควันจากก้านธูปได้เปลี่ยนกลายเป็นอสูรคล้ายวาฬ มันอ้าปากและกำลังจะกลืนกินหวังหลิน