Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1867
แสงโลหิตกระพริบวาบ กระบวนท่านี้ใช้ระดับบ่มเพาะของหวังหลินทั้งหมดและใช้พลังบัญชาโบราณโดยไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย
ในฝั่งแดนเทพของแผ่นดินเซียนดารา หวังหลินระมัดระวังในการใช้พลังบัญชาโบราณมาก เขาไม่ต้องการให้คนจดจำเขามากเกินไปเพราะจะทำให้เคลื่อนไหวที่นี่ได้ยากขึ้น
อีกทั้งเขาก็เป็นบัญชาโบราณตั้งแต่ต้นและไม่ใช่คนของฝั่งเทพ เขาจะต้องระมัดระวังขณะที่อยู่ในแดนเทพไปด้วย
แต่ในหินมิติ หวังหลินไม่ต้องกังวลมากเกินไปนัก เพียงกระบี่ฟันลงไป ร่างเงาบัญชาโบราณขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลัง ร่างเงาสวมชุดเกราะและเปล่งกลิ่นอายโบราณ
แสงโลหิตฟาดฟันตัดผ่านช่องว่างระหว่างตะเกียงและศีรษะของฉวี่เต๋อข่าย วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายกระอักแก่นต้นกำเนิดออกมา วิญญาณดั้งเดิมเหี่ยวเฉา ตะเกียงเหนือศีรษะถูกพลังรุนแรงโจมตีใส่จนกระเด็นถอยออกไป เปลวเพลิงข้างในมอดดับทันที
“ข้าไม่ยอม!!” ฉวี่เต๋อข่ายส่งเสียงคำรามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หวังหลินจะสะบัดแขนเสื้อส่งกระบวนท่าโจมตีอันรุนแรง จากนั้นหวังหลินก็เก็บวิญญาณของฉวี่เต๋อข่ายกลับเข้าไปในมิติเก็บของ
หลังจากเสร็จทั้งหมดนี้ หวังหลินร่างสั่นสะท้านและกระอักโลหิต ร่วงลงจากท้องฟ้าและนั่งหลับตาเพื่อประคองตัวเองทันที
ราชายุงบินวนรอบพื้นที่และคอยคุ้มกัน ส่วนหุ่นเชิดเย่ซื่อเคลื่อนไหวด้วยท่าทางประหลาดและพุ่งออกไปไกล มันกลับมาพร้อมกับถือแขนข้างหนึ่งไว้
แขนข้างนี้ชุ่มไปด้วยโลหิต มันคือแขนของฉวี่เต๋อข่าย พอจ้องแขนข้างนี้เจ้าหุ่นเชิดเย่ซื่อเต็มไปด้วยดวงตาสับสน แต่ไม่นานนักสายหมอกโผล่ออกมาจากร่างกายมันและห่อหุ้มเอาไว้
เวลาผ่านไปสามวันในพริบตาเดียว ช่วงระหว่างนี้เจ้าราชายุงคุ้มกันหวังหลินโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทุกอย่างนิ่งเงียบไร้สิ่งใดแปรปรวน
พอใกล้จบวันที่สาม หวังหลินลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาสังหารเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นไปสองคนในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นจึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
‘ตอนนี้สองแล้ว ยังเหลืออีกแปด…’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาคว้าไปยังอากาศว่างเปล่า ศีรษะหนึ่งลอยเข้าสู่มือเขาอย่างรวดเร็ว ศีรษะนี้เป็นของฉวี่เต๋อข่าย ดวงตาไร้วิญญาณนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
หลังจากจ้องมองศีรษะของฉวี่เต๋อข่ายเพียงชั่วครู่ หวังหลินจึงเก็บไปพร้อมกับศีรษะของหลิวจื่อหยวน
‘สมบัติตะเกียงนั้นประหลาดมาก…’ หวังหลินขบคิดพลางมองออกไปไกลและสะบัดแขนเสื้อ ตะเกียงไร้แสงลอยเข้าหาเขา
หวังหลินพ่นแกนพลังงานไปล้อมรอบตะเกียงและค่อยๆ หลอมมันอย่างช้าๆ เปลวเพลิงข้างในตะเกียงถูกจุดขึ้นอีกครั้งและเรืองแสงอ่อนๆ
ด้วยแก่นแท้เขตอาคมของหวังหลินจึงมองทะลุสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สมบัติป้องกันชิ้นนี้เรียบง่าย มันไม่มีพลังในการโจมตีแต่การป้องกันนับว่าแข็งแกร่ง
ตราบใดที่เปลวเพลิงข้างในตะเกียงไม่ดับไป วิญญาณดั้งเดิมของผู้ใช้จะไม่ตาย! ซึ่งสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณดั้งเดิมไปด้วยเหมือนกับการเติมยาเข้าไปในวิญญาณดั้งเดิม มันจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างช้าๆ
หากหลอมเข้าไปในร่างกายและทำให้เป็นเครื่องมือป้องกันวิญญาณดั้งเดิม แสงอ่อนๆ สามารถห่อหุ้มร่างกายและทำให้ร่างกายมีการป้องกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น
‘ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ฉวี่เต๋อข่ายคงเอาชีวิตรอดในการโจมตีรอบสองได้ยากมาก…’ หวังหลินอ้าปากและสูดเอาตะเกียงเข้าไป ตะเกียงเข้าไปปรากฏข้างวิญญาณดั้งเดิม จากนั้นร่างกายหวังหลินจึงถูกห่อหุ้มด้วยแสงของตะเกียงแบบอ่อนๆ
ความรู้สึกอบอุ่นปรากฏขึ้นในใจหวังหลิน เขาสูดหายใจลึกและเผยแววตาตื่นเต้น
“การต่อสู้ครั้งนี้คุ้มค่า! สิ่งสำคัญที่สุดคือความลับเรื่องการร่ายวิชาได้อย่างรวดเร็ว หากข้าทำความเข้าใจได้ พลังของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล!” หวังหลินต่อสู้กับฉวี่เต๋อข่ายจึงรู้ว่าการร่ายวิชาได้อย่างรวดเร็วนั้นน่ากลัวแค่ไหน ด้วยความเร็วระดับนั้นตราบใดที่มีโอกาส เขาสามารถทำให้ศัตรูเสียเปรียบได้อย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายคงโดนวิชาโจมตีโดยไม่มีโอกาสตอบโต้
ดวงตาหวังหลินถึงกับส่องสว่างและสะบัดแขนขวา วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายที่อ่อนแอยิ่งและบาดเจ็บสาหัสพลันปรากฏขึ้นในฝ่ามือ
ดวงวิญญาณดั้งเดิมหลับตาอยู่ราวกับตกอยู่ในอาการสาหัส มันหดขนาดลงเหลือเพียงแค่สามนิ้ว นอนอยู่บนฝ่ามือหวังหลินอย่างเงียบเชียบ
หวังหลินจ้องมองวิญญาณดั้งเดิมและบีบอย่างรุนแรง! เขาใช้วิชาค้นวิญญาณซึ่งปกติแล้วการค้นเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากเนื่องจากความแตกต่างด้านระดับบ่มเพาะ ต้องทำให้ฉวี่เต๋อข่ายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้นจึงจะทำให้หวังหลินใช้วิชาได้อย่างอิสระ
ความทรงจำทั้งหมดของฉวี่เต๋อข่ายถูกค้นไปโดยไม่เกิดอาการต่อต้าน
ฉวี่เต๋อข่ายมีชีวิตมายาวนานดังนั้นการค้นหาวิชาในความทรงจำของเขาจึงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
หวังหลินลืมตาขึ้นมาหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง สายตาเต็มไปด้วยความยินดี
‘เคล็ดเร่งความเร็ว!! ฉวี่เต๋อข่ายบังเอิญไปเจอโชควาสนาครั้งใหญ่ในชีวิต อุกกาบากก้อนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าและเขาค้นพบสิ่งที่แกะสลักเอาไว้อย่างซับซ้อน หลังจากบ่มเพาะไปจึงได้รับเคล็ดการร่ายด้วยความรวดเร็วอันน่ากลัวเช่นนี้…’ หวังหลินเปิดฝ่ามือ วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายสั่นเทาและเริ่มแตกสลายอย่างช้าๆ คล้ายกับว่าสามารถแตกดับได้ทุกเวลา
แต่หลังจากผ่านไปสักพักมันกลับไม่แตกสลายและมีแสงน่ากลัวกะพริบขึ้นมาแทน มันเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่ออกมาจากความไม่ยินยอมก่อนตาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หวังหลินต้องหรี่ตาแคบลงคือความอาฆาตถึงจุดหนึ่งและค่อยๆ ลดระดับลงพอประมาณ วิญญาณดั้งเดิมของฉวี่เต๋อข่ายไม่สูญสลายอีกแล้วและลืมตาขึ้นช้าๆ
นาทีที่ลืมตาและสบสายตากับหวังหลิน หวังหลินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้านและตกอยู่ในภวังค์ ฉวี่เต่อข่ายในฝ่ามือเขาพลันลอยออกไปไกล
แต่หวังหลินฟื้นคืนกลับมาในเวลาไม่นาน ดวงตาเผยแสงประหลาดไปพร้อมกับความรู้สึกไม่เชื่อสายตา
‘วิญญาณผีปรากฏขึ้นแล้ว!!’ หวังหลินบ่มเพาะวิชามายาทับซ้อน ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องวิญญาณและวิธีสร้างมันเป็นอย่างดี มันไม่เกี่ยวกับระดับบ่มเพาะและหาได้ยากยิ่ง!
หนทางเดียวในการสร้างขึ้นมาสักดวงคือใช้วิธีจากสำนักมหาวิญญาณ แต่คุณภาพจะต่ำมาก ส่วนใหญ่ทำได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับกลาง
เขาเข้าใจดีว่าคนตายหรือพวกสัตว์ที่สามารถสร้างร่างภูติผีของตัวเองได้ถือเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่สำหรับคนที่บ่มเพาะวิชามายาทับซ้อน
หวังหลินหัวใจเต้นเร็วขึ้น เขาไล่ตามหลังวิญญาณผีที่เกิดจากฉวี่เต๋อข่าย รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายออกมาได้
วิญญาณผีไม่สามารถหลบหนีจากหวังหลินไปได้เลย หวังหลินถึงกับสังหารเขาได้ตอนที่มีชีวิต ดังนั้นแค่วิญญาณที่ตายไปแล้วเขาจะกลัวได้อย่างไร
หวังหลินกลับมาในเสี้ยววินาที ในมือถือวิญญาณภูติผีที่กำลังดิ้นรน
หวังหลินเก็บวิญญาณไว้ในมิติเก็บของ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างมหาศาล
จากนั้นสูดหายใจลึกและศึกษาเคล็ดวิชาเร่งความเร็วที่ได้มาจากความทรงจำของฉวี่เต๋อข่าย เคล็ดวิชานี้เป็นเส้นทางที่ล้ำลึกมากและสามารถทำให้ร่ายวิชาด้วยความเร็วสูงอย่างน่ากลัว
จุดสำคัญคือการเปิดเส้นชีพจรเซียนทั้งเก้าเส้นในร่างกาย ทุกเส้นจะทำให้เพิ่มความเร็วในการร่ายขึ้นอย่างมหาศาล
ฉวี่เต๋อข่ายเปิดเส้นชีพจรเซียนไปทั้งสิ้นเจ็ดเส้น!
จริงๆ แล้ว ที่เรียกเคล็ดเร่งความเร็วนั้นมันคือวิธีพิเศษในการใช้ผนึกเพื่อเพิ่มอัตราเร่งความเร็วในการใช้วิชา
‘ผนึกวิญญาณดั้งเดิมในร่างกายเพื่อสร้างเป็นวังวน…ทำไมถึงรู้สึกว่าสามารถใช้กับกับวิชาของเผ่าบัญชาโบราณได้ด้วย…’ หวังหลินกำลังศึกษาเคล็ดเร่งความเร็ว ความคิดนี้จึงผุดขึ้นมาในใจ
ยิ่งเขาศึกษายิ่งเกิดความคิดนี้กระจ่างชัด ท้ายที่สุดจึงตั้งมั่นว่าเคล็ดนี้ไม่ได้เฉพาะกับวิชาของพวกเซียนเท่านั้น ถ้าใช้กับร่างบัญชาโบราณจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกขั้น!
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวิญญาณดั้งเดิมมาลอง…’ หวังหลินขบคิดพลางจดจำเคล็ดเร่งความเร็วและทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จากนั้นยืนขึ้นสะบัดแขนขวา พื้นดินสั่นเทาและน้ำเต้าหล่นเข้าไปในฝ่ามือ วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงส่วนใหญ่ยังอยู่ดี สมบัติชิ้นนี้ไม่ได้เสียหายมากนัก
หวังหลินยังเก็บร่มสีฟ้าออกมาพร้อมกับราชายุงด้วย ส่วนเย่ซื่อที่ผสานเข้ากับแขนของฉวี่เต๋อข่ายไปเรียบร้อยก็ได้ถูกเก็บกลับเข้าไปในมิติเก็บของของหวังหลิน
หลังเสร็จเรื่องราวทั้งหมด หวังหลินเผยแววตาเย็นเฉียบ
‘ถึงเวลากลับไปแล้ว…’ ร่างกะพริบวูบวาบและหายวับไปจากมิติแห่งนี้
เจ็ดวันผ่านไปแล้วแต่ยังมีจิตสังหารอยู่บนทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนที่เอาตัวรอดได้ทั้งหมดต่างก็มีระดับบ่มเพาะสูงส่งจนฆ่าได้ยากขึ้นและการกวาดล้างยิ่งกินเวลายาวนาน
ด้านในสายหมอก เหล่าเซียนทั่วไปแทบจะบ้าคลั่งจนตาแดงฉานไปหมดแล้วเนื่องจากร่ายวิชาหลายอย่างอยู่ข้างใน เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนต่อสู้กับกลุ่มของลิ่วเหวินหลานพร้อมทั้งเซียนขั้นวิบากดับสูญอีกหลายคน
ห่างออกไปไม่ไกล เซียนสตรีขั้นวิบากดับสูญระดับต้นที่เหลืออยู่สองคนจากแคว้นมารเขียวกำลังต่อสู้กับหยานหลวนและซิ่วตงเต๋อ
พลังอำนาจของแคว้นมารเขียวถูกลดทอนลงไปอย่างมากหลังจากสูญเสียเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นไปสองราย เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนยิ่งถูกแรงกดดันมากขึ้นเนื่องจากเผชิญหน้ากับคนที่มากกว่าเดิม
หลายวันต่อมาเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนจึงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ทั้งสองจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป