Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1879
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสี่คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหนีขึ้นไปบนอากาศ ทั้งสี่มองหน้ากันเองและหลบหนีกันไปคนละทิศคนละทางโดยไม่ลังเล
ขณะที่กระจายกันไป ทั้งสี่วิธีที่ต่างกัน สองในสี่นำสมบัติออกมา หนึ่งนั้นคือกระเรียนกระดาษสีเขียว อีกคนเป็นพู่กันสีขาว
ทั้งสองนั้นยืนอยู่บนสมบัติของตัวเองและทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ส่วนอีกสองคนที่เหลือ หนึ่งในนั้นกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมา แสงสีเขียวห่อหุ้มรอบกาย เขาผสานเข้ากับโลหิตและเคลื่อนที่ออกไปในพริบตาถึงหมื่นลี้
คนสุดท้ายสร้างผนึก ร่างกายเริ่มหมุนกลายเป็นพายุทอร์นาโดสูงจรดฟ้าดิน เขารีบทะยานออกไปไกล
ทั้งสี่คนใช้วิธีที่แตกต่างกันแต่รวดเร็วยิ่ง ชั่วจังหวะที่หวังหลินปรากฏตัวบนพื้นดิน ทั้งสี่ได้หายวับไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
แต่หวังหลินจะปล่อยให้หนีไปได้อย่างไร? เขาจะทำเงื่อนไขที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้เขาไว้ให้เสร็จสิ้นด้วยคนทั้งสี่คนนี้ ตอนนี้แววตาหวังหลินกะพริบวูบวาบและก้าวทะยานออกไป
ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้องและเขาหายวับในทันที
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งเบื้องหน้าผู้ส่งสาส์นที่เปลี่ยนร่างเป็นพายุทอร์นาโด เขาสะบัดแขนขวาโจมตีด้วยสายฟ้า!
เพียงการโจมตีนี้ โลกดังสนั่น ฝ่ามือหวังหลินกลายเป็นสายฟ้าพร่าเลือนและก่อเกิดก้อนสายฟ้าขนาดยักษ์ ตรงขอบสายฟ้ามีลวดลายจำนวนมากดูน่าตกตะลึง
ก้อนสายฟ้าเข้ากระแทกใส่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวที่เปลี่ยนกลายเป็นพายุทอร์นาโดอย่างรวดเร็ว
ทอร์นาโดพังทลายทันทีที่ปะทะกับสายฟ้า ลวดลายของสายฟ้าได้กลายเป็นตาข่ายห่อหุ้มผู้ส่งสาส์นมารเขียวที่หวาดกลัวคนนั้นไป
เสียงสายฟ้าดังแตกร้าวกึกก้อง ผู้ส่งสาส์นมารเขียวกระอักโลหิตและร้องไห้ เขาถูกตาข่ายสายฟ้าห่อหุ้มและฟุบลงบนพื้น
ฉากเหตุการณ์นี้มองไกลๆ ช่างดูน่าตกตะลึง ตาข่ายสายฟ้าเสมือนใยแมงมุมห่อหุ้มรอบผู้ส่งสาส์นมารเขียวเอาไว้และปิดผนึกเขาอย่างสิ้นเชิง
หลังจากหวังหลินใช้ตาข่ายสายฟ้า ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย กลิ่นอายจากร่างกายเริ่มไม่มั่นคง หวังหลินเข้าใจดีว่านั่นเป็นสัญญาณว่าเกราะวิญญาณกำลังสูญเสียความสามารถของมัน
ผู้ส่งสาส์นมารเขียวถูกปิดผนึกด้วยตาข่ายสายฟ้าจนไม่มีทางที่เขาจะทะลวงออกไปได้ หวังหลินก้าวต่อไปทางตะวันตกโดยไม่ลังเล
พริบตาเดียวเขาก็หายตัวไป
ทางด้านตะวันตกของทุ่งยอดนภา ผู้ส่งสาส์นมารเขียวอีกคนกำลังนั่งอยู่บนกระเรียนกระดาษพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด เขาใช้ความเร็วสูงสุดหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
จากมุมมองเขานั้นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่างน่าหวาดกลัวเกินไป พวกเขามาที่นี่เพื่อทำงานที่บรรพชนมอบให้สำเร็จ นั่นคือการสังหารหวังหลิน
แต่ถึงจะเกิดเรื่องบังเอิญและหวังหลินได้เกราะวิญญาณมาครอบครอง พวกเขาก็ไม่กลัว อีกทั้งก็ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์อยู่บ้างว่ามันมีเวลาจำกัด
แต่ตอนที่เขาเห็นหวังหลินใช้วิชาแห่งศรัทธา เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าหวังหลินไม่ใช่ง่ายอย่างที่คิด!
‘วิชาแห่งศรัทธาที่มหาชั้นฟ้าสามารถใช้ได้ เขา…เขาสามารถใช้ได้ด้วย…เรื่องนี้สำคัญมาก ข้าต้องหนีไปรายงานแก่บรรพชนให้ได้!’
แต่ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ รูม่านตาพลันหรี่แคบ เบื้องหน้ามีระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้อง หวังหลินสวมเกราะดำก้าวเดินออกมา
“อยู่นี่!” หวังหลินเผยแววตาเย็นเยียบ หลังจากก้าวออกมา แก่นแท้ทั้งแปดได้เปลี่ยนไปเป็นเส้นแปดสายรวมกันในฝ่ามือจนกลายเป็นก้อนขนาดเท่ากำปั้น
เขากำลังใช้ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเพื่อบังคับแก่นแท้ด้วยกำลังและโยนแก่นแท้เข้าใส่ผู้ส่งสาส์นมารเขียว
ก้อนเล็กๆ ที่สร้างจากแปดแก่นแท้พุ่งทะยานเข้าหาผู้ส่งสาส์นมารเขียวอย่างเงียบเชียบ
สีหน้าผู้ส่งสาส์นมารเขียวพลันเปลี่ยนไป ฝ่ามือรีบสร้างผนึกขึ้นมาต้านกับท้องฟ้า!
“มารเขียวแทรกร่าง!” น้ำเสียงแหลมเล็กและน่าขนลุก แสงสีเขียวโผล่ออกมาจากร่างและปะทะกับก้อนแก่นแท้
หวังหลินเคลื่อนทะยานไปข้างหน้า แสงโลหิตกะพริบวาบ เขาฟาดกระบี่โลหิตลงไปด้วยระดับบ่มเพาะสูงสุด!
แสงสีเขียวรอบผู้ส่งสาส์นถึงกับพังทลาย แสงโลหิตปรากฏขึ้นกลางหน้าผาก ร่างกายถูกผ่าเป็นสองส่วน วิญญาณดั้งเดิมถูกทำลายไปพร้อมกับร่างกาย
กระบี่โลหิตในมือหวังหลินสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่การฟาดฟันนี้กระบี่โลหิตได้ดูดซับโลหิตส่วนหนึ่งมาจากผู้ส่งสาส์นและมันถึงกับส่งเสียงหึ่งๆ
มันสังหารเหล่าเทพไปมากมายหลายคนแล้ว นับตั้งแต่ที่มันตกไปอยู่ในมือหวังหลิน นี่คือระดับบ่มเพาะสูงที่สุดที่มันได้สังหาร!
วินาทีที่ผู้ส่งสาส์นมารเขียวตาย ภาพมายาของกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลิน มันส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้นราวกับกำลังดีใจที่หวังหลินสังหารผู้ส่งสาส์นมารเขียวได้
พอวิญญาณกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้น มันสูดอากาศเข้า ควันสีเขียวจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของผู้ส่งสาส์น มันเปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างแมงป่องและพยายามดิ้นรนอยู่เล็กน้อยก่อนจะโดนกระทิงสวรรค์กลืนกิน
หวังหลินตกตะลึงแต่ไม่ได้หยุดชะงักเพียงจังหวะเดียว เขายกเท้าขึ้นและเลือนหายไป
ตรงไปทางเหนือ ผู้ส่งสาส์นที่กำลังหนีด้วยวิชาหลบหนีโลหิตกำลังกระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง เขารวดเร็วยิ่งจนพร่ามัว พริบตาเดียวก็ไม่เห็นร่องรอยเขาแล้ว
จังหวะที่หวังหลินปรากฏตัว เขาเห็นแต่เพียงภาพพร่ามัวและจากนั้นหายไปจากสายตา เมื่อหันกลับมา ผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนกลายเป็นจุดสีเขียวที่กำลังเลือนหายไป
ระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญของหวังหลินเริ่มไม่มั่นคงมากขึ้น มันกำลังส่งสัญญาณว่ากำลังกลับไปยังขั้นวิบากแก่นแท้
หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลันจ้องมองทิศทางที่ผู้ส่งสาส์นคนที่สามหนีไป เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปทางนั้น
“หยุด!”
เสียงคำรามดังออกมาจากปากหวังหลิน เพียงเท่านี้โลกจึงมืดลงราวกับพลังลึกลับได้พุ่งเข้ามาแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงผู้ส่งสาส์นคนที่สามที่ได้หนีหวังหลินไปไกลแล้ว
ร่างกายเขาสั่นเทาและหยุดชะงักอยู่ที่หนึ่ง
นาทีที่เขาหยุดลง แสงโลหิตกะพริบวาบและมีกระบี่โลหิตผ่านเข้าไป
ปัง!
ร่างผู้ส่งสาส์นแตกสลาย วิญญาณกระทิงสวรรค์ปรากฏขึ้นรอบตัวหวังหลินเพื่อกลืนกินควันสีเขียวที่ผู้ส่งสาส์นปลดปล่อยออกมา
เขาผนึกไปหนึ่งคน สังหารไปสองคน กลิ่นอายของหวังหลินตกลงมาสู่ขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่สามถึงสี่อย่างรวดเร็ว หวังหลินมองไปยังทิศใต้ที่ผู้ส่งสาส์นคนสุดท้ายหนีไป หลังจากขบคิดเพียงเล็กน้อย เขาจึงยอมละทิ้งการไล่ล่าคนสุดท้าย พุ่งไปหาผู้ส่งสาส์นคนแรกที่โดนผนึกแทน
ครู่ต่อมา กระทิงสวรรค์ส่งเสียงคำรามอย่างตื่นเต้นเนื่องจากมันไปถึงผู้ส่งสาส์นคนแรกที่โดนผนึก มันกลืนกินควันสีเขียวจากผู้ส่งสาส์นทั้งสามคนและดูเหมือนควันสีเขียวนั้นเป็นอาหารหล่อเลี้ยงมันอย่างมหาศาล
แสงจากกระบี่โลหิตยิ่งส่องสว่างมากยิ่งขึ้นหลังจากสังหารผู้ส่งสาส์นขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสามคนไป อักขระโบราณจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนด้ามกระบี่หลายตัวอักษร
อักขระตัวอักษรไม่ใช่สำหรับเซียนแต่เป็นเหล่าบัญชาโบราณ!
ระดับบ่มเพาะของหวังหลินตกลงมาสู่ขั้นแก่นแท้ระดับปลาย หวังหลินก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อยและมุ่งหน้าเข้าสู่วังใต้ดิน
ระหว่างทางระดับบ่มเพาะของเขาตกลงอีกครั้งไปที่แก่นแท้ดับสูญระดับกลาง พอถึงทางเข้าสู่วังใต้ดิน ระดับบ่มเพาะจึงกลับสู่ปกติ ขั้นวิญญาณดับสูญระดับปลาย
เกราะกระทิงสวรรค์ดูเหมือนหลอมละลายและเปลี่ยนกลับเป็นเส้นใยสีดำนับไม่ถ้วนห่อหุ้มรอบกาย ท้ายที่สุดมันได้รวมตัวกันอยู่ทางขวาของใบหน้าจนกลายเป็นรอยสักกระทิงสวรรค์สีดำ
รอยสักกะพริบวูบวาบทำให้หวังหลินดูแปลกประหลาดมาก
วินาทีที่เขาเข้ามาในวังใต้ดิน ฝ่าเท้าสั่นสะท้าน ความรู้สึกอ่อนแอผุดขึ้นออกมาจากร่างกายราวกับเขาสูญเสียระดับบ่มเพาะและกลายเป็นคนธรรมดา
เหล่าเซียนนับพันรวมถึงกลุ่มของหยานหลวนได้มองเข้ามาด้วยสายตากระวนกระวาย พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก จึงได้รอคอยผลลัพธ์อยู่ที่นี่
“พวกเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคน หนีไปได้สองและตายไปสาม…” หวังหลินไม่รู้ว่าชายชราแซ่จ้าวมีร่างอวตารหรือไม่ เพราะหวังหลินไม่ได้เข้าไปใกล้มากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอ่ยถึง
“เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้น ตายไปสองคน!”
“นอกจากนั้นแล้วพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวตายไปทั้งหมด!” หวังหลินกล่าวประโยคสุดท้ายก่อนจะหน้าซีดเผือดและทะยานกลับสู่ถ้ำของตัวเอง เขาอัญเชิญหุ่นเชิดเย่ซื่อออกมาและปิดผนึกถ้ำด้วยเขตอาคมอย่างสมบูรณ์ จากนั้นนั่งลงและกระอักโลหิต
เขาไม่สนใจเสียงเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากพูดออกไป เหล่าเซียนทั้งหมดต่างขบคิดพลางมองมายังถ้ำของหวังหลินด้วยความตกตะลึงปนอึ้ง
“เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์…ช่างทรงพลัง…”
“นี่คือพลังอำนาจของเกราะวิญญาณ…”
ไม่เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทุกคนขบคิดอย่างเงียบๆ และจากนั้นกระจายตัวออกไป กลุ่มของหยานหลวนมองมาที่ถ้ำของหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนเช่นกันก่อนจะกลับสู่ถ้ำของตัวเองเพื่อเริ่มฟื้นฟู เพราะพวกเขาบาดเจ็บในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปเจ็ดวัน!