Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1880
ช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ วังใต้ดินเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง คนบางส่วนได้ออกมาจากวังใต้ดินและขึ้นสู่บนพื้น พวกเขามองทุ่งยอดนภาที่ดูเหมือนกลับตาลปัตรและถึงกับตะลึงงัน
พวกเขานึกย้อนไปถึงสามประโยคที่หวังหลินพูดเอาไว้ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะ ตอนนี้จึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อทุ่งยอดนภาจนเกิดความหวาดหวั่น
แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่หวังหลินพูดเป็นความจริงทั้งหมด
นอกจากนี้บนทุ่งยอดนภาไม่เหลือเซียนจากแคว้นมารเขียวแม้แต่คนเดียว คำพูดของหวังหลินปรากฏขึ้นในใจทุกคน
หยานหลวนออกมาบนพื้นดินเช่นกันและมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวลึกๆ ระดับบ่มเพาะของนางสูงส่งมากดังนั้นจึงมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น จากสายตาของนางแล้ว มีประทับฝ่ามือขนาดใหญ่อยู่ในทุ่งยอดนภา!
อย่างไรก็ตามบางอย่างที่อยู่ในประทับฝ่ามือก็พลาดได้ง่ายๆ
‘มีการสังหารรุนแรงเกิดขึ้นที่นี่เมื่อเจ็ดวันก่อน…’ หยานหลวนขบคิด
ซิ่วตงเต๋อยืนอยู่ข้างหยานหลวนและมองรอบด้านด้วยสายตาซับซ้อน
“ผู้อาวุโสหวังจะต้องพุ่งทะยานไปไกลได้แน่นอน ข้ากลัวว่าอีกไม่กี่ปีเราคงต้องพูดกับเขาด้วยความเคารพเสียแล้ว” ซิ่วตงเต๋อถอนหายใจ
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนจึงเกือบครบหนึ่งเดือนที่มีการสังหาร ช่วงเวลานี้มีเซียนบางคนกระจายกันออกไปยังชายขอบทุ่งยอดนภาเพื่อดูว่ามีเซียนจากแคว้นมารเขียวหลงเหลืออยู่หรือไม่
แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่พบสิ่งใด
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตามที่หวังหลินบอกไว้ก่อนจะปิดด่านบ่มเพาะ หนีไปได้เพียงไม่กี่คน ส่วนที่เหลือล้วนตายกันหมด
เปลวเพลิงแห่งสงครามยังคงคุกรุ่นอยู่บนแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่สถานที่สงบเงียบแบบทุ่งยอดนภานั้นหาได้ยากยิ่ง ไม่มีคำสั่งใหม่ออกมาจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถออกไปไหนได้ พวกเขาได้แต่เฝ้าระวังเส้นชีพจรแห่งที่สามเท่านั้น
แม้วันคืนในแต่ละวันจะน่าเบื่อ เซียนคนหนึ่งได้ค้นพบสมบัติที่เสียหายบนทุ่งยอดนภา มีหลายสิ่งหลายอย่างดูน่าสนใจ เหล่าเซียนจึงได้ออกไปตามหาสมบัติและของเหลือจากพวกเซียนที่ตายมากขึ้น
ทว่าส่วนใหญ่ถูกวิชาของหวังหลินทำลายไปเกือบหมด แม้จะมีบางส่วนเหลืออยู่แต่เสียหายไปจนแทบใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นก็พอมีค่าอยู่บ้าง
ชีวิตรูปแบบนี้เป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับเหล่าเซียน ไม่เกิดการสังหารและไม่ตาย และเพราะพวกเขาต่อสู้ร่วมกันจึงคุ้นเคยกันแม้จะเป็นคนแปลกหน้า
อย่างไรก็ตามบรรยากาศแบบนี้พลันหายไปทันทีเมื่อกลับไปยังวังใต้ดิน ทุกคนที่กลับมาต่างก็เงียบและมองไปยังถ้ำที่ดูธรรมดายิ่งแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนั้นคือถ้ำที่หวังหลินปิดด่านบ่มเพาะ
เหล่าเซียนรวมถึงกลุ่มของหยานหลวนทั้งหมดต่างก็เงียบอยู่ในวังใต้ดิน ราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนหวังหลินเข้า
การต่อสู้ของหวังหลินและสามประโยคของเขาได้ทำให้เหล่าเซียนเกิดความหวาดกลัวและเคารพขึ้นมา
กาลเวลาเริ่มไหลผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน
ชั่วเวลาสามเดือน ทั่วทั้งทุ่งยอดนภาถูกเหล่าเซียนค้นจนทั่วจนไม่เหลืออะไรอีก แต่หวังหลินก็ยังไม่ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ
วันหนึ่ง เซียนหลักร้อยบนทุ่งได้สร้างพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ค้นพบบนทุ่ง ทันใดนั้นมีเสียงพึมพำดังออกมาไกล
เสียงนี้ทำให้สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปมหาศาล ทั้งหมดยืนขึ้น ความสบายใจที่ผ่านมาสามเดือนได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยท่าทีสุขุมและเคร่งขรึม
เสียงพึมพำไม่ได้ออกมาจากทุ่งยอดนภาแต่ห่างออกไปไกลกว่า กระนั้นก็ยังทำให้ที่นี่เคร่งครัดขึ้นมา
เสียงอึกทึกแผ่กระจายอยู่เหนือทุกคนและเปล่งความรู้สึกคล้ายโลหิตและความดุร้ายที่ไม่อาจมองเห็นแต่สัมผัสได้ มันกวาดผ่านมาและแผ่กระจายออกไปไกล
เหล่าเซียนนับร้อยบนพื้นดินถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือทำไมถึงมีเสียงนี้ขึ้นมา บางส่วนเห็นกระทิงสวรรค์ตรงสุดขอบโลก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตและกำลังส่งเสียงคำรามอย่างโหยหวน
เสียงคำรามที่แผ่กระจายออกมาคือเสียงคำรามของกระทิงสวรรค์ ที่มันส่งเสียงอย่างต่อเนื่องแบบนี้เป็นเพราะกระทิงสวรรค์กำลังหนีอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตามมีคนไม่ถึงสิบคนเห็นภาพพร่าเลือนนี้และทั้งหมดต่างก็ไม่ปริปาก
ขณะที่เสียงคำรามกวาดผ่านเข้ามา มันได้ห่อหุ้มไปทั้งทุ่งยอดนภา เหล่าเซียนในวังใต้ดินลืมตาตื่นและมีท่าทีเปลี่ยนไป ทั้งหมดพุ่งทะยานขึ้นสู่พื้นดินและมองไปบนท้องฟ้า จากนั้นจึงตกตะลึง
กลุ่มของหยานหลวนพุ่งทะยานออกมาจากวังและมีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขามองถ้ำที่หวังหลินอยู่และจากนั้นมุ่งหน้าไปยังพื้นดิน
ทำให้เหลือเพียงหวังหลินคนเดียวที่อยู่ในวังใต้ดิน ช่วงเวลาสามเดือนนี้เขาสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว เขากำลังระงับอาการบาดเจ็บภายในจากการต่อสู้หลายครั้ง ตอนนี้มันสงบลงแล้ว เขาจึงเริ่มฟื้นฟูตัวเอง
ช่วงเวลสามเดือนหวังหลินพาตัวเองให้คุ้นเคยกับเกราะวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และย่อยสิ่งที่เข้าใจมาตอนที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น
ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขา เขาจดจำมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลเมื่อระดับบ่มเพาะสูงขึ้น
ช่วงเวลาสามเดือนนี้ หวังหลินยังคงศึกษาวิชาแยกราตรีของตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีเกราะวิญญาณ แยกราตรีจึงไม่ได้เป็นวิชาแห่งศรัทธาอีกต่อไป
วินาทีที่เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทุ่งยอดนภา หวังหลินตื่นจากการบ่มเพาะเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือน ความเจ็บปวดบาดลึกออกมาจากหน้าอกและแผ่กระจายไปทั่วร่างจนเขาถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ
รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้าด้านขวาเริ่มเผาไหม้และเปล่งความรู้สึกโกรธเกรี้ยวและเศร้าหมอง
ความเศร้าออกมาจากวิญญาณกระทิงสวรรค์!
หวังหลินจิตใจสั่นเทา เขาได้ยินเสียงร้องและจึงมองไปยังพื้นดิน ภาพทัศนวิสัยพร่าเลือนและดูเหมือนจะเห็นภาพบางอย่างได้
มันเป็นเทือกเขามากมายและมีเหล่าเซียนหลายพันคน หลังจากดิ้นรนต่อสู้ไปหลายเดือนเหล่าเซียนพวกนี้จึงตายไปเหลือเพียงหลักร้อย ท่ามกลางพวกเขามีคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำเต็มยศ และเปล่งกลิ่นอายของวิญญาณกระทิงสวรรค์
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากกระทิงสวรรค์เหมือนหวังหลินและเป็นคนที่ได้รับงานให้คุ้มครองเส้นชีพจรหนึ่งในเจ็ดแห่ง
หวังหลินเฝ้าดูคนผู้นี้ออกไปสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดเขาก็ถูกมือสีแดงตกลงมาจากท้องฟ้าใส่คราเดียวถึงเก้าครั้ง เกราะรอบตัวเขาแตกสลายและเขาตายทันที
มือสีแดงสั่นเทาและเปลี่ยนกลายเป็นชายชราผมแดง เขามีท่าทีมืดมนและยืนอยู่ในอากาศราวกับราชาแห่งฟ้าดิน เขาถูกเหล่าเซียนจากแคว้นมารเขียวด้านล่างเทิดทูนทั่วหล้า!
หวังหลินไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของเขาจากภาพที่เห็นได้ แต่จากที่เห็นนั้นชายชราคนที่สังหารคนสวมเกราะวิญญาณนั้นต้องหมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาสูงลิ่วเป็นแน่!
หลังจากเซียนสวมเกราะวิญญาณตายไป ทั่วทั้งเทือกเขาจึงพังทลายและแตกสลาย เทือกเขามากมายกลายเป็นหลุมแห่งความตาย
ม่านพลังของเจ็ดเส้นชีพจรได้พังทลายไปส่วนหนึ่ง มันจึงไม่สมบูรณ์อีกต่อไป!
ภาพทัศนวิสัยของหวังหลินมืดลงและเขาตื่นขึ้น ขบคิดเงียบๆ ชั่วขณะ สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเห็นได้ มีเพียงคนที่ครอบครองเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เจอ
หนึ่งในเจ็ดเส้นชีพจรกระทิงสวรรค์ได้พังทลายลงแล้ว
ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่เสียงคำรามรุนแรงนี้จะหายออกไปไกล
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้เซียนทั้งหมดในทุ่งยอดนภารู้สึกว่ามีบางอย่างแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น หลายคนต่างคาดการณ์เอาไว้แต่ทั้งหมดรู้สึกเช่นกันว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิด
สองเดือนให้หลัง เหล่าเซียนในทุ่งยอดนภาจึงไม่ผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะเสียงคำรามเมื่อสองเดือนก่อนได้เกิดขึ้นอีกสองครั้ง!
เสียงคำรามสามครั้งได้ทำให้เกิดแรงกดดันทับใส่จิตใจทุกคนอย่างมหาศาล
เจ็ดวันถัดมา ลำแสงสายหนึ่งเข้ามาใกล้ทุ่งยอดนภา ลำแสงนี้พุ่งทะยานมาถึงเหนือวังใต้ดินอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนร่างเป็นชายชราชุดดำที่มีสภาพย่ำแย่
เขาไม่ได้มาจากสำนักมหาวิญญาณ เขามาจากสำนักกุ้ยยี่!
“เส้นชีพจรแห่งที่สามของทุ่งยอดนภา จงฟังคำสั่งนี้! ข้าถูกสั่งการมาจากคำสั่งวิญญาณจากสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ จงออกไปจากที่นี่ทันทีและล่าถอยไปหนึ่งล้านลี้เพื่อรวมตัวกันที่ภูเขาเทียนหลวน จะมีคนอยู่ที่นั่นเพื่อต้อนรับพวกเจ้า จงถือคำสั่งนี้และรีบจากไปให้เร็ว!!”
“ผู้เป็นเจ้าของเกราะวิญญาณของเส้นชีพจรแห่งที่สาม ข้าโอวหยางเจิน ขออนุญาตเข้าพบ!!” ชายชรายืนอยู่บนท้องฟ้าและดูกระวนกระวายแต่ไม่ลืมที่จะทำตัวเคารพ นอกจากนี้คนที่ได้ครอบครองเกราะวิญญาณก็คู่ควรต่อการทำความเคารพ!
ขณะที่เขาคำนับฝ่ามือ หวังหลินพลันลืมตาขึ้นมาในถ้ำ เขาหายวับไปและปรากฏตัวอยู่ด้านนอกเพื่อเจอกับชายชรา
พอชายชราได้เห็นหวังหลินจึงตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของเกราะวิญญาณจะมีระดับบ่มเพาะเท่านี้ แต่ก็ไม่กล้าประเมินหวังหลินต่ำไป อีกทั้งการสามารถปกป้องที่นี่ได้นั่นหมายความว่าหวังหลินมีบางอย่างพิเศษ
“เส้นชีพจรแห่งแรก แห่งที่สองและแห่งที่เจ็ดได้ถูกแคว้นมารเขียวทำลายแล้ว เจ้าของเกราะวิญญาณทั้งสามคนสิ้นชีพ…โอวหยางมาตามคำสั่งเพื่อรายงานต่อเจ้าของเกราะวิญญาณของเส้นชีพจรแห่งที่สามให้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปยังสำนักกุ้ยยี่ทันทีด้วยเรื่องแผนการลับสุดยอด!!”