Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1882
“พี่หวัง!” ท่าทีขี้เกียจของชายหนุ่มเลือนหายไป กลิ่นอายเปลี่ยนไปทันที ระเบิดระดับบ่มเพาะรุนแรงออกมาและหัวเราะเสียงดัง
เขาพุ่งทะยานมาข้างหน้าและเข้าประชิดหวังหลินทันที
มือขวายกขึ้นดุจคมกระบี่ แสงสีทองระเบิดออกมาจากมือและเปลี่ยนกลายเป็นกระบี่สีทองฟาดฟันเข้าใส่หวังหลิน!
กระบี่เล่มนี้มีพลังอำนาจมากพอจะแยกสวรรค์และทำให้โลกเปลี่ยนสีสัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีทอง พลังปราณสวรรค์บริเวณใกล้เคียงทั้งหมดรวมตัวกันราวกับกระบี่ทองเล่มนี้มีพลังอำนาจใจการกลืนกินโลกแห่งนี้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เซียนที่ติดตามหวังหลินรวมถึงชายวัยกลางต้องมีท่าทีเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พวกเขาถอยหนีออกมาด้านข้างหวังหลินโดยไม่ลังเล
ถังเจียหรี่ตาพลางจ้องมองร่างของชายหนุ่มที่มีแขนขวาเป็นคมกระบี่ ร่างนั้นทับซ้อนกับร่างในความทรงจำของนางทันที
“หากข้าไม่ใช้งานเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์ ข้าคงไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านั้นได้!” ถังเจียเป็นเพียงเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่แปด เมื่อนางสามารถผ่านด่านที่เก้าไปได้ นางจะสามารถกลายเป็นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นได้อย่างแท้จริง!
ยังมีชายชราที่นั่งอยู่ใต้นาฬิกา เขาพลันลืมตาขึ้นมามอง ระดับบ่มเพาะลึกล้ำและเปล่งกลิ่นอายของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางออกมา เขาใกล้เคียงกับราชันย์เทพสีรุ้งในตอนที่มีพลังเต็มเปี่ยม!
หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิม เมื่อกระบี่ทองอยู่ห่างไม่เกินร้อยฟุต ดวงตาพลันเปล่งประกายและจ้องมองชายวัยกลางคน เขายกแขนขวาขึ้นมาชี้ไปข้างหน้า
เพียงแค่การชี้ ทั่วทั้งโลกหยุดชะงักราวกับพลังประหลาดทำให้โลกเป็นหินซึ่งรวมถึงกฎ พลังปราณรอบกระบี่สีทอง และทุกจังหวะของชายหนุ่ม!
กระบี่ทองเสมือนโดนแผ่นดินถล่มใส่และแตกหักโดยไม่ได้โจมตีหวังหลินเลยแม้แต่น้อย! ชั่วจังหวะที่ชายหนุ่มแข็งค้าง หวังหลินยืนอยู่บนพื้นที่จัตุรัสด้านล่างนาฬิกาอย่างสงบนิ่ง
ถังเจียเห็นแบบนี้จึงทำให้จิตใจสั่นเทา นางมองไปยังหวังหลิน ดวงตาเผยแสงประกายลี้ลับ
ส่วนชายชราขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาขมวดคิ้วและชำเลืองมองหวังหลิน
วิชายับยั้งอยู่ได้เพียงไม่นาน ชายหนุ่มฟื้นคืนการเคลื่อนไหวของตัวเองออกมา เผยรอยยิ้มขมขื่นพลางแสงสีทองรอบตัวเขาหายไป เขามองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนและเผยรอยยิ้มจริงใจ
“เราไม่ได้เจอกันมาหลายปี พี่หวังไม่ทำให้ผิดหวัง…ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน”
ชายหนุ่มผู้นี้คือหยุนยี่เฟิงแห่งสำนักกุ้ยยี่!
“เจ้าสามารถเปลี่ยนวิธีการทักทายข้าในอนาคตได้หรือไม่?” หวังหลินขมวดคิ้วและมองหยุนยี่เฟิง
หยุนยี่เฟิงร่อนลงมาข้างหวังหลินและหัวเราะ พอเห็นหวังหลินเขาจึงรู้สึกมีความสุข ย้อนกลับไปยังเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำ ทั้งสองเป็นทั้งศัตรูและสหาย มันดูซับซ้อนและทำให้เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์
นอกจากนี้แล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในโลกถ้ำไปหลายหมื่นปี
“พี่หวัง หลังจากข้าออกมาจากถ้ำ ข้าได้ใช้พลังของสำนักเพื่อค้นหาท่านทันที แต่ข้ากลับไม่พบอะไรเลย ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะปรากฏตัวทันทีแบบนี้ ข้ามีความสุขมากและต้องการสานต่อการต่อสู้ของเราเป็นธรรมดา” หยุนยี่เฟิงกล่าวอย่างจริงใจพลางอ้าแขนไปหาหวังหลิน
หวังหลินหยุดชะงักและมองหยุนยี่เฟิง จากนั้นสักพักจึงเดินเข้าไปกอด
หยุนยี่เฟิงมีความสุขมาก เขาดึงหวังหลินมาด้านข้างและพูดกันต่อไป
ทว่าจังหวะนั้นมีน้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องออกมาจากโถงใหญ่เบื้องหน้า
“ทุกคนอยู่ที่นี่กันแล้ว…”
หยุนยี่เฟิงหยุดลงมองดูหวังหลิน สีหน้าท่าทางพลันเคร่งเครียดและยืนตรงอย่างเคารพทันที
“คนที่พูดอยู่คือจ้าวสำนักของสำนักกุ้ยยี่ ขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย”
หวังหลินได้ยินเสียงของหยุนยี่เฟิง เขาไม่ได้ทำเสียงเอะอะอันใดพลางมองโถงใหญ่ที่ดูเหมือนอสูรตัวยักษ์
“พวกเจ้าสามคน จงเอ่ยนามให้ข้า” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องอีกครั้ง
ถังเจียมีท่าทีเคร่งขรึมและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถังเจีย สำนักซิ่วเฉิน!”
“ขอบเมฆา เซียนไร้สำนัก!” ชายชรายืนขึ้นและคำนับฝ่ามือไปทางโถงใหญ่
“หวังหลิน สำนักมหาวิญญาณ!” หวังหลินเอ่ยขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ เขาสังเกตได้ว่าตอนที่เอ่ยเสียงดังกึกก้องเบื้องหน้า มีเขตอาคมที่มองไม่เห็นเข้าห่อหุ้มบริเวณเพื่อไม่ให้มีใครด้านนอกได้ยิน
สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงคือการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งนี้ถูกขัดขวางไปด้วยจนไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่นี่ได้ นี่ไม่ใช่เขตอาคมเฉพาะตัวแต่เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลปกป้องทั้งสำนัก
“เส้นชีพจรกระทิงสวรรค์สามในเจ็ดแห่งถูกทำลายไปแล้วและผู้ส่งสาส์นกระทิงสวรรค์เสียชีวิตไปสามคน…พวกเจ้าสี่คนป้องกันเส้นชีพจรและทำความดีความชอบไว้อย่างใหญ่หลวง!”
“หลังจากพูดคุยกับสำนักมหาวิญญาณ คนที่ทำผลงานได้ดีควรจะได้รับรางวัล!” น้ำเสียงทรงอำนาจเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับมีชีวิตอยู่มานานจนหลงลืมเวลา
“ขอบเมฆา!” น้ำเสียงดังกึกก้อง
“ขอรับ!” ชายชราชื่อขอบเมฆาพลันก้าวออกมา
“เจ้าป้องกันเส้นชีพจรแห่งที่สี่และทำผลงานได้เป็นอย่างดี ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสของกองกำลังโลหะและมอบสมบัติเกราะธาตุโลหะให้เจ้า!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องและมีลำแสงสีทองพุ่งออกมา มันเปล่งจิตสังหารรุนแรงห่อหุ้มบริเวณนี้
แสงสีทองหยุดลงด้านข้างชายชราและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะสีทองเปล่งแรงกดดันน่ากลัว ขอบเมฆาไม่สงบนิ่งอีกแล้วและตื่นเต้นมาก
“ขอบคุณท่านจ้าวสำนัก!” ขอบเมฆาสูดหายใจลึกและคำนับฝ่ามือให้กับห้องโถงใหญ่ ชั่วจังหวะที่เขาโค้งตัว แสงสีทองเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยสีทองเข้าไปในร่างกาย
“ถังเจีย!” น้ำเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องอีกครั้ง
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่หกและทำผลงานได้เป็นอย่างดี ข้าจะยอมให้สำนักซิ่วเฉินของเจ้าขยายตัวออกไปได้สามเท่า เปิดรับศิษย์เพิ่มมากขึ้นสามเท่าและได้ทรัพยาการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นสามเท่า ข้าจะมอบสมบัติเป็นเกราะธาตุวารีของสำนักกุ้ยยี่ให้เจ้าด้วย!”
ลำแสงสีฟ้าลอยออกมาจากโถงหลักและเปลี่ยนกลายเป็นทะเลทั่วพื้นที่ มันกวาดเข้ามาห่อหุ้มถังเจีย เข้าไปในร่างกายนางผ่านรูขุมขน ร่างถังเจียสั่นเทา แววตาสงบนิ่งเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
นางโค้งตัวและเอ่ยอย่างเคารพ “ขอบคุณ ท่านจ้าวสำนัก”
“หยุนยี่เฟิง!”
หยุนยี่เฟิงเคร่งเครียดและก้าวทะยานออกมาโค้งตัว
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่สี่และทำผลงานได้เป็นอย่างดี เพราะเจ้ามีเกราะธาตุของสำนักอยู่แล้ว ข้าจะสอนหนึ่งในสี่วิชาของข้าให้เจ้าและมอบสมบัติสวรรค์ของข้าให้ด้วย มีดล่าวิญญาณ!” เพียงแค่เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ลำแสงสองสายทะยานออกมาจากโถงหลัก หนึ่งนั้นคือหินหยกและอีกหนึ่งคือมีดที่ดูแปลกประหลาด มันมีหนามเก้าแห่งเปล่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัว
“ขอบคุณ ท่านจ้าวสำนัก!” หยุนยี่เฟิงตื่นเต้นพลางรับของทั้งสองชิ้นและโค้งคำนับให้กับห้องโถงหลัก
“หวังหลิน!” น้ำเสียงทรงอำนาจหยุดกึกชั่วขณะก่อนจะเอ่ยดังขึ้นอีกครั้ง
หวังหลินมองโถงหลักด้วยความสงบนิ่งและก้าวเดินออกไป
“เจ้าคุ้มกันเส้นชีพจรแห่งที่สามและทำผลงานได้เป็นอย่างดี…ข้าจะมอบเกราะธาตุเพลิงให้เจ้า!” ลำแสงเพลิงทะยานออกมาจากห้องโถงหลักผ่านอากาศและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะพุ่งใส่หวังหลิน
“รางวัลได้ตอบแทนไปแล้ว ตอนนี้ข้าจะอธิบายภารกิจลับสุดยอด!” น้ำเสียงดังกึกก้อง หยุนยี่เฟิงต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่หลังจากมองห้องโถงแล้วเขาจึงขบคิดเงียบๆ
ทั้งสามคนได้สองรางวัล แต่มีเพียงหวังหลินที่ได้เพียงรางวัลเดียว
หยุนยี่เฟิงไม่ใช่คนเดียวที่เกิดความสงสัย ถังเจียและชายชราต่างก็มองหวังหลินและสังเกตเห็นปัญหานี้ได้
ขอบเมฆามีระดับบ่มเพาะสูงส่งและมีนิสัยมืดมน ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับเขาจึงไม่สนใจ เขาถอนสายตาและไม่ตั้งคำถามอีก
ถังเจียมีความประทับใจแย่ๆกับหวังหลินและไม่สนใจอยู่แล้ว
“ภารกิจของเจ้าคือ…” น้ำเสียงดังกึกก้อง แต่ก่อนที่จะพูดจบนั้น แววตาหวังหลินกะพริบเย็นเยียบ
“เดี๋ยว!” หวังหลินจ้องมองโถงหลักและก้าวออกไป ขัดขวางการอธิบายของจ้าวสำนักกุ้ยยี่
พอหวังหลินพูดออกมา หยุนยี่เฟิงมีท่าทีเปลี่ยนไปและส่งสัญญาณให้หวังหลิน ถังเจียเองก็มองหวังหลินเช่นกัน นางไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดขึ้นมาตอนนี้
แม้แต่ขอบเมฆาก็ยังหันมามองหวังหลิน
“ภารกิจของเจ้าคือมุ่งหน้าไปที่แคว้นมารเขียว ลอบเข้าไปในอารามมารเขียวและทำลายรูปปั้นมารเขียวเพื่อให้วิญญาณมารเขียวบาดเจ็บสาหัส เมื่อเสร็จสิ้น พวกเจ้าสี่คนจะถือว่าทำคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้แก่แคว้นกระทิงสวรรค์!” เสียงนั้นไม่สนใจคำพูดหวังหลินอย่างสิ้นเชิงและอธิบายภารกิจลับต่อไป
หลังจากเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ขอบเมฆาและถังเจียมีท่าทีเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่หยุนยี่เฟิงได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน
การเข้าไปแคว้นมารเขียวเป็นเรื่องอันตรายเกินไป หากทำอะไรผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจไม่ได้กลับมาอีกเลย
“โดยพื้นฐานแล้วแคว้นมารเขียวในตอนนี้แทบจะว่างเปล่า ส่วนเหล่าบรรพชนของแคว้นมารเขียว จะมีคนไปยับยั้งพวกเขาให้เอง…ตอนนี้ภารกิจได้ชี้แจงแล้ว หวังหลินเจ้ามีอะไรอยากพูดหรือไม่?” น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งและเชื่องช้าราวกับมีไม่กี่เรื่องที่สามารถสั่นคลอนได้