Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1885
กระทิงสวรรค์พุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์อย่างบ้าคลั่ง ขอบเมฆามีระดับบ่มเพาะสูงมากจากเกราะวิญญาณ แต่หลังจากกระทิงสวรรค์พุ่งเข้าใส่ดวงอาทิตย์ ระดับบ่มเพาะของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว มันตกลงมาจากขั้นวิบากดับสูญระดับปลายสู่ระดับกลาง
เขาใช้วิชาออกไปโดยสละเกราะวิญญาณเพื่อทำลายวิชาแยกราตรี!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา กระทิงสวรรค์ปะทะเข้ากับดวงอาทิตย์และเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอย่างรวดเร็ว หวังหลินกระอักโลหิต เมื่อแยกราตรีพังทลาย เขาจึงกระเด็นกลับมาหลายพันฟุต
ส่วนขอบเมฆานั้นดูเหมือนบ่มเพาะมาหลายพันปีและล่าถอยพร้อมกับโลหิตไหลจากมุมปากเท่านั้น ทว่าหวังหลินจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร? หวังหลินไม่สนอาการบาดเจ็บของตัวเองและพุ่งเข้าหาขอบเมฆา เขาจะใช้โอกาสที่เกราะวิญญาณของอีกฝ่ายหายไปเพื่อสังหารขอบเมฆา
ถังเจียขบคิดเงียบๆ และไม่โจมตีอีก นางช่วยแทนน้องสาวเท่านั้น ตอนนี้นางมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนอธิบายไม่ถูก จากนั้นจึงหายวับออกไปไกล
หวังหลินพุ่งเข้าประชิดขอบเมฆาด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม เขายกแขนขวาขึ้นมาชกใส่ขอบเมฆาด้วยพลังบัญชาโบราณ ทำให้ขอบเมฆากระเด็นกลับไปและกระอักโลหิต
หวังหลินร่างสั่นเทาไปเช่นกันแต่กัดฟันแน่นและพุ่งทะยานอีกครั้ง
ทั้งสองโจมตีหลายครั้ง ขอบเมฆาเกิดแววตาหวาดกลัวขึ้นมา เขาเคยเจอคนบ้ามาก่อนแต่ไม่เคยเจอคนบ้าแบบหวังหลินที่ทำทุกอย่างเพื่อสังหารอีกฝ่ายโดยไม่สนใจตัวเอง
ขณะที่หวังหลินและขอบเมฆากำลังต่อสู้กัน ห่างออกไปอีกหลายพันฟุตมีมือยักษ์สีดำข้างหนึ่งปรากฏขึ้นและยื่นเข้ามาหาที่นี่
หวังหลินมีท่าทีเปลี่ยนและล้มเลิกการสังหารขอบเมฆา ใต้ฝ่าเท้าเกิดระลอกคลื่นเสียงดังกึกก้องและผสานเข้ากับโลกจนหายตัวไป
ฝ่ามือยักษ์สีดำเข้ามาใกล้และดึงขอบเมฆากลับเข้าสู่สำนักกุ้ยยี่
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่นานนัก พื้นที่ระยะพันลี้ทั่วบริเวณเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นผงปกคลุมจำนวนมาก เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเศษก้อนหินสีดำมีควันลอยอย่างต่อเนื่อง
ห่างออกไประยะทางสองเดือนเหนือภูเขาแห่งหนึ่งมีระลอกคลื่นส่งเสียงดังกึกก้อง หวังหลินก้าวออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด เขายืนขบคิดอยู่ตรงนั้นอยู่สักพัก
ชั่วขณะต่อมาจึงหันไปรอบๆ ท่าทีดูมืดมัว
‘แคว้นกระทิงสวรรค์ ถึงเวลาต้องไปแล้ว…’ หวังหลินถอนหายใจ มองลงไปและตกตะลึง
เขาคุ้นเคยกับที่นี่เหมือนเคยมาครั้งก่อน ที่นี่คือตำแหน่งที่ตั้งของสำนักเจ็ดเต๋า
หวังหลินเดินทางมาโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้กำหนดสถานที่ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะมาที่นี่
พอมองสายหมอกสีดำรอบๆภูเขาด้านล่าง หวังหลินจึงถอนหายใจ พุ่งทะลุเข้าไปในสายหมอกและตรงเช้าหาสำนักเจ็ดเต๋า
ไม่นานนักหวังหลินจึงเห็นตำหนักส่วนหนึ่งที่เปล่งกลิ่นอายทรุดโทรมในภูเขา หวังหลินร่อนลงใจกลางลานกว้างด้านนอกห้องโถงหลัก หินส่วนใหญ่ที่นี่ได้รับความเสียหายและเต็มไปด้วยใบหญ้า เขานั่งลงมองสำนักเจ็ดเต๋า ความรู้สึกมืดมนในใจค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น
อีกความรู้สึกหนึ่ง ที่นี่คือบ้านเขา
หวังหลินหลับตาและนั่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เขาเก็บเกราะวิญญาณไปนานแล้ว เนื่องด้วยสภาวะอ่อนแอตอนนี้จึงปลดปล่อยหุ่นเชิดเย่ซื่ออกมาคุ้มกัน
เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา หวังหลินลืมตาขึ้นมามองสำนักเจ็ดเต๋า ครั้งแรกที่เขามาเพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น นี่เป็นครั้งที่สองและเขาเกิดความรู้สึกซับซ้อนเรื่องการออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์ หวังหลินจึงได้เดินเข้าไปในสำนักเจ็ดเต๋า
เขาเดินผ่าสิ่งก่อสร้างทุกแห่งและทุกที่ที่เคยมีศิษย์ในสำนักอาศัยอยู่
ท้ายที่สุดเขาก็ได้เดินเข้าไปในโถงหลักของสำนักเจ็ดเต๋า ตรงนั้นมีบัลลังก์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นของราชันย์เทพสีรุ้ง
พอมองห้องโถงอันเงียบสงัด โต๊ะและเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง มันจึงให้ความรู้สึกกำลังบุบสลาย
หวังหลินยืนจ้องมองอยู่นาน เขาหลับตาคล้ายกับสัมผัสตัวตนของโลกถ้ำ ทันใดนั้นเกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา
เขาคิดถึงโลกถ้ำ คิดถึงทุกคนที่นั่น
ราวกับสามารถมองเข้าไปในโลกถ้ำได้ มองเห็นสตรีงดงามเรือนผมยาวกำลังยืนอยู่บนหน้าผา มองมาที่ท้องฟ้าสีดำราวกับมองดวงตาหนึ่งคู่ตรงนั้น
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตาและก้าวเดินออกไปจากอาราม เขายืนอยู่ในสำนักเจ็ดเต๋าคนเดียว ท่าทีของหวังหลินค่อยๆ หมองหม่น
เขายังต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย
‘ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ช่วงสามเดือนนี้! การเปลี่ยนแปลงนั้นอาจส่งผลให้เปลี่ยนของรางวัลของข้า…หรือบังคับให้ข้าหนีไป…แต่พวกเขาก็ให้ข้าหนีมาได้…’
‘ส่วนสำนักมหาวิญญาณ…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างคล้ายกับจะเข้าใจได้แล้วแต่ไม่ชัดเจน เขายกแขนขวาขึ้นมาเปิดฝ่ามือ เจ้าคนตัวเล็กขนาดสามนิ้วปรากฏขึ้นมา
จากนั้นมันก็คุกเข่าลงและคำนับหวังหลินสามครั้ง!
หวังหลินจิตใจสั่นเทาและปิดฝ่ามือ การทำนายของเขาพร่ามัวและไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ แต่มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
“เรื่องของรางวัลมันมีเหตุผลในตัวเอง ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง หากหวังหลินไม่รีบตกลง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าข้าได้ออกไปแล้ว!”
ประโยคนี้มาจากเส้นผมของบรรพชนกระทิงสวรรค์ที่ได้ทิ้งไว้ให้กับจ้าวสำนักกุ้ยยี่
หวังหลินคิดประโยคนี้อย่างละเอียด วิชาเต๋าเนตรวิญญาณเกิดความพร่ามัวและมีแค่ประโยคนี้ขึ้นมาเท่านั้น ต้องมีความหมายบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
หวังหลินพึมพำอยู่หลายครั้ง ร่างกายพลันสั่นเทารุนแรงทันที เขามองขึ้นไปและดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
“เรื่องของรางวัลมันมีเหตุผลในตัวเอง ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง หากหวังหลินไม่รีบตกลง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าข้าได้ออกไปแล้ว!”
‘คำสุดท้ายของแต่วรรคคือ มี เปลี่ยนแปลง รีบ ไป!’
‘มีการเปลี่ยนแปลง รีบจากไป!’ หวังหลินสูดหายใจลึก ประโยคคือการแจ้งเตือนอย่างลับๆ ไม่สำคัญว่ามันอธิบายได้อย่างไรแต่นี่คือวิธีที่บรรพชนกระทิงสวรรค์ได้บอกให้หวังหลินหนีไป!
‘แม้แต่บรรพชนกระทิงเขียวยังต้องบอกเป็นนัย เขากังวลว่าข้าจะไม่เข้าใจจึงร่วมมือกับจ้าวสำนักกุ้ยยี่เพื่อให้ข้าได้รางวัลที่ไม่ยุติธรรมจนบังคับข้าออกมาจากแคว้นกระทิงสวรรค์…’
‘เมื่อข้าจากมา นั่นหมายความว่าข้าไม่สามารถพักอยู่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ได้และจะต้องจากไปให้เร็วที่สุด…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ เขารู้สึกว่ามีความลับยิ่งใหญ่กำลังปกคลุมแคว้นกระทิงสวรรค์และนี่คือเหตุผลที่มีการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน
ขณะเดียวกันหวังหลินก็คาดการณ์ว่าความลึกลับนี้เหมือนจะโยงใยกับแคว้นมารเขียว เขาสงสัยมาตลอดเวลาทั้งสองแคว้นทำสงครามกันด้วยเหตุผลอะไร…
หวังหลินคิดไปหลายอย่างแต่ก็เป็นแค่การคาดเดา หลังจากนั้นหวังหลินจึงมองออกไปไกลและเผยสายตามุ่งมั่น
“ช่างมันเถอะ ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะคิดไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลาต้องออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์…”
“อย่างไรก็ตามข้ากลัวว่าการออกไปจะไม่ใช่เรื่องง่าย ดูเหมือนจะมีอุปสรรคอยู่…หากข้าเดาถูก ส่วนใหญ่มาจากแคว้นมารเขียว!” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง เขากำลังจะจากไปแต่ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปและมองไปยังภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ พริบตาเดียวหวังหลินหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหวังหลินหายตัวไป หมอกเกิดการปั่นป่วนและมีร่างหนึ่งทะยานเข้ามาจากด้านนอก ร่างนี้ระมัดระวังมากและมองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครตามเขามาจึงรู้สึกโล่งอก เขาร่อนลงใจกลางสำนักเจ็ดเต๋า
“บัดซบ ข้าเจอปัญหาระหว่างทางและมาถึงช้าไปหลายวัน หวังว่าไม่ได้ล่าช้าเกินไปตามที่บรรพชนบอกเอาไว้…” ร่างนั้นมองไปรอบๆอย่างเคร่งเครียด จากนั้นเขาก็พบมุมหนึ่งและกำลังจะนั่งลง
อย่างไรก็ตามจังหวะเดียวกันมีเสียงหนึ่งดังลอดออกมา
“ตู้ฉิง!”
เขาคือตู้ฉิง หลังจากได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจึงทะยานขึ้นสู่อากาศด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่นานความตระหนกนั้นเปลี่ยนเป็นความสุข!
“สหายเซียนหวังหลิน!” เขาได้ยินเสียงหวังหลิน
หวังหลินขมวดคิ้วและปรากฏตัว เขามองไปที่ตู้ฉิงที่ไม่ได้เจอมาแล้วสักพักและจึงเอ่ยขึ้นถาม
“ใครบอกให้เจ้ามาที่นี่?”
“ผู้อาวุโสหวัง เป็นบรรพชนกระทิงเขียวของสำนักมหาวิญญาณได้พบข้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาบอกให้ข้ามาส่งบางอย่างให้ท่านตั้งแต่สามวันที่แล้ว” ตู้ฉิงรีบมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินและยื่นมืออกไป ก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
ก้อนหินนี้ดูธรรมดามาก ตู้ฉิงใช้เวลาตลอดทางเพื่อนค้นหาเบาะแสจากมันแต่ก็ไม่พบอะไร แต่เขาจำได้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวมีท่าทีเคร่งเครียดแค่ไหนจนเขารู้สึกว่ามันคือสมบัติแน่นอน
หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลางนำหินสีดำมาดู รูม่านตาหรี่เล็กลง เขาสัมผัสกลิ่นอายวิชาเต๋าเนตรวิญญาณจากมันได้