Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1887
หิมะและสายลมหนาวเย็นพัดผ่านในค่ำคืน หลังจากตรวจพบว่ามีเมืองอยู่ หวังหลินก้าวเดินเข้าเมืองโดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องการมาที่นี่
‘บางทีข้าอาจกำลังค้นหาความรู้สึกของการเป็นคนธรรมดา…’ หวังหลินก้าวเดินเข้าไปในหิมะจนเกิดเสียง เกล็ดหิมะอันหนาวเย็นหล่นลงกระทบใบหน้า
เขาเดินจากเมืองด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ทิ้งรอยเท้าเอาไว้แต่มันก็ถูกหิมะปกคลุมอย่างรวดเร็ว
พอถึงอีกด้านของเมือง หวังหลินมองกลับมา ระหว่างทางเขาเห็นทั้งเมืองมีแสงนับหมื่นแห่งส่องสว่างจากทุกมุมบ้าน
อย่างไรก็ตามกลับไม่มีความรู้สึกอบอุ่น เขาเสมือนรอยเท้าที่โดนหิมะปกคลุม เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับที่นี่
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่หวังหลินเกิดความรู้สึกอธิบายไม่ได้เช่นนี้ เขาเข้าใจอย่างหนึ่งว่าในขณะที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจะค่อยๆ สูญเสียฟางเส้นสุดท้ายของการเป็นคนธรรมดา
หวังหลินรู้มาว่าการเปลี่ยนตัวเองกลับเป็นคนธรรมดานั้นมีขีดจำกัดอยู่ที่สามครั้ง หลังจากผ่านครั้งที่สามไปจึงถือเวลาต้องตัดออก! มันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เขาต้องการพักผ่อนในเมืองและเฝ้าดูชีวิตของคนธรรมดาแต่กลับไม่สามารถเอาจิตใจลงไปเต็มที่ได้อีกแล้ว
“จิตใจข้าไม่สงบนิ่งอีกแล้วใช่หรือไม่…” หวังหลินมองไปยังหิมะในท้องฟ้า ยืนอยู่ข้างประตูอย่างโดดเดี่ยว ปากยังคงพึมพำกับตัวเอง
“ตอนนี้ข้ามีแปดแก่นแท้…อีกแค่หนึ่งแก่นแท้ก็จะบรรลุขั้นแก่นแท้ดับสูญ หลังจากนั้นข้ามั่นใจว่าจะสามารถผ่านด่านวิบากแก่นแท้ทั้งเก้าได้อย่างรวดเร็ว…บางทีจิตใจข้าอาจไม่สงบนิ่ง แต่ข้ารู้ว่าสักวันหนึ่งมันจะสงบนิ่งและข้าจะสามารถรู้แจ้งได้…”
หวังหลินเข้ามาแต่จากไปด้วยความรู้สึกทุกข์ ราวกับเขาได้สูญเสียบางอย่างและไม่สามารถค้นหามันเจอ
‘นี่คือราคา…ราคาของความแข็งแกร่ง…’ หวังหลินก้าวเดินผ่านประตูเมืองอย่างเงียบงัน ใบหน้าเผชิญกับสายลมจนเขาเดินห่างออกไปจากเมืองช้าๆ
แสงนับหมื่นส่องอยู่ด้านหลังเขาและเปล่งความอบอุ่น หวังหลินรู้สึกถึงความอบอุ่นแต่ไม่สามารถแตะต้องมันได้
เสียลมหวีดดังลอดผ่านหิมะจนค่อยๆ กลายเป็นเสียงเพลงแห่งสายลมและหิมะที่อยู่กับร่างดันโดดเดี่ยวของหวังหลิน
ไม่กี่เดือนต่อมาในทะเลโอสถซึ่งพังทลายไปแล้ว ที่นี่กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีร่องรอยแห่งชีวิต มีเพียงความอ้างว้างและความตาย
หวังหลินปรากฏตัวอยู่ในท้องฟ้าเหนือทะเลโอสถ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามาที่นี่
ขณะที่หวังหลินก้าวเดินผ่านทะเลโอสถ เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไป ยิ่งไปใกล้แคว้นมารเขียวมากขึ้นยิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม ผ่านไปหนึ่งเดือนหวังหลินจึงได้ก้าวเข้าสู่แคว้นมารเขียว เขาสัมผัสกลิ่นอายมืดมนที่กำลังห่อหุ้มทั่วทั้งแคว้นได้
กลิ่นอายนี้มีความกระหายเลือดและเย็นเยียบรั่วไหลออกมา แม้แต่เซียน อสูรหรือคนธรรมดาที่เกิดขึ้นบนแคว้นแห่งนี้ยังแฝงความชั่วร้ายตามธรรมชาติ
แผ่นดินของแคว้นมารเขียวแตกต่างอย่างมากจากแคว้นกระทิงสวรรค์ มีภูเขาเพียงไม่กี่ลูก ส่วนใหญ่พื้นที่มีแต่หนองบึงกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับมีตำนานน่ากลัวอยู่หลายเรื่อง แค่เดินเข้ามาก็ทำให้ขนลุกขนพองได้แล้ว
หวังหลินไม่ชอบแคว้นมารเขียวอย่างมาก
ในแคว้นมารเขียวไม่ได้มีเซียนทรงพลังเหลืออยู่มากนัก ที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นเซียนอ่อนแอที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหวังหลิน อย่างไรก็ตามเขายังคงประคองจังหวะเช่นเดิมเพื่อให้ใช้บิดมิติผ่านแคว้นมารเขียวต่อไป
เขาสัมผัสได้ว่าส่วนลึกภายในแคว้นมารเขียวมีพลังลึกลับสายหนึ่ง พลังนี้เต็มไปด้วยพลังมารอันมหึมา ตามแผนที่บนกระดองเต่า ที่นั่นคือตำแหน่งของอารามแมงป่องมารเขียว
แคว้นกระทิงสวรรค์ไม่ได้มีอารามกระทิงสวรรค์ อารามแบบนี้จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากจักรพรรดิ หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้
พลังมารรุนแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คน หวังหลินไม่ได้เข้าไปที่นั่นแต่เดินทางอ้อมไปยังชายแดนของแคว้นเมิ่งตู
เวลาผ่านไปหลายเดือนอย่างช้าๆ ช่วงระหว่างนี้หวังหลินเจอกับเซียนอยู่บ้างแต่ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ผ่านไปอีกหลายเดือนหวังหลินจึงปรากฏตัวที่ชายแดนของแคว้นมารเขียว
ตรงชายแดนสู่แคว้นเมิ่งตูมีเทือกเขาแห่งหนึ่งที่หาได้ยากในแคว้นมารเขียว มันทอดยาวและคล้ายจะเชื่อมต่อกับฟ้าดิน ผ่านเทือกเขานี้ไปเขาจะอยู่บนแผ่นดินของแคว้นเมิ่งตู
หวังหลินยืนอยู่ใต้เทือกเขา จ้องมองภูเขาที่สูงตระหง่านด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาสัมผัสถึงต้นตอพลังมารอันมหึมาตรงยอดเขาซึ่งควบแน่นเป็นแมงป่องสองตัว
พวกนั้นคือผู้ส่งสาส์นมารเขียวทั้งสองคน!!
ด้านหลังพลังมารทั้งสองมีปราณกระบี่ขนาดมหึมาตรงยอดเขา พอหวังหลินมาถึง พลังปราณกระบี่โบราณจึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างฟ้าดินพลางลอยตัวอยู่บนยอดเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินได้เผชิญกับพลังอำนาจที่สามารถหยุดเขาได้ในแคว้นมารเขียว เขาสัมผัสกลิ่นอายคุ้นเคยออกมาจากกระบี่เล่มนั้นได้
นั่นหมายความว่าหวังหลินตัดสินใจออกมาผ่านแคว้นมารเขียวเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากเขาไปทิศทางอื่นคงเจอกับอุปสรรคมากกว่านี้
“สามคน…ประเมินข้าไว้สูงมาก” หวังหลินก้าวเดินเข้าสู่ภูเขา วินาทีที่ก้าวเท้าออกไป กลิ่นอายมารเขียวทั้งสองจึงพุ่งออกมา พวกเขาเหมือนแมงป่องมารเขียวดุร้ายสองตัวที่กำลังพุ่งลงมาจากยอดเขาเข้าหาหวังหลิน
หลังจากนั้นไม่นาน เงากระบี่โบราณตรงยอดเขาส่งเสียงหึ่งอย่างรุนแรง มันกวาดออกไปและฟันลงมาตามร่างเงาเบื้องหน้า
โลกสั่นสะเทือนไปทั่ว พลังอำนาจของกระบี่เล่มนี้ดุจเข้ามาแทนที่แสงทุกอย่างในโลก ราวกับเป็นแสงในอวกาศ
หวังหลินกะพริบตาเย็นเยียบ รอยสักบนใบหน้าด้านขวาเรืองแสงขึ้นมา เปลี่ยนกลายเป็นเส้นด้ายสีดำนับไม่ถ้วนเข้าห่อหุ้มหวังหลินและเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะห่อหุ้มจนเหลือเพียงเรือนผมสีขาวและดวงตาเย็นเยียบ
หลังจากหวังหลินสวมเกราะวิญญาณ กลิ่นอายจึงระเบิดออกมาบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับต้นในทันที เขาก้าวออกไปประชิดแมงป่องมารเขียวตัวแรก
ก่อนที่หวังหลินจะได้โจมตี ผู้ส่งสาส์นมารเขียวเผยใบหน้าบ้าคลั่ง เขาไม่ได้ใช้วิชาอันใดออกมา ทันทีที่หวังหลินมาถึง ฝ่ามือกลับสร้างผนึกและชี้ตรงกลางหน้าผากตัวเอง
จากนั้นไม่นานมีกลิ่นอายน่าขนลุกโผล่ออกมาทั่วร่าง ผู้ส่งสาส์นขั้นวิบากดับสูญระดับกลางกลับเลือกทำลายตัวเอง!!
นี่เป็นการทำลายตัวเองโดยไม่ลังเล และเขาระเบิดร่างทันที!
การทำลายตัวเองของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางนั้นทรงพลังมากพอจนสั่นคลอนได้ทั้งแคว้นมารเขียว พลังนี้แม้แต่เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายยังต้องขมวดคิ้ว
ไม่รู้ว่ากินดีหมีหรือกินอะไรมา หลังจากผู้ส่งสาส์นคนแรกระเบิด อีกคนด้านหลังเขาก็เลือกทำลายตัวเองเช่นเดียวกัน!
การทำลายตัวเองของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสองคนนั้นสามารถทำให้เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายล่าถอยได้แล้ว!
พอผู้ส่งสาส์นระเบิดตัวเองไปสองคน หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเกิดวิกฤติอันรุนแรงขึ้นทันที วิกฤตินี้ไม่ได้มาจากพลังทำลายล้างตัวเอง แต่เป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งสองถึงตัดสินใจระเบิดตัวเอง!!
การต่อสู้ยังไม่ได้เริ่มต้นแต่กลับเลือกระเบิดตัวเองเช่นนี้ มันประหลาดเกินไป อีกทั้งด้านหลังทั้งสองคือเมฆาสูญสิ้นที่ควบคุมพลังปราณกระบี่ทรงพลัง ทั้งสามสามารถต่อสู้กับหวังหลินได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำลายตัวเองเลย!
มีบางอย่างผิดปกติ!
การจะสังเวยชีวิตของผู้ส่งสาส์นมารเขียวขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสองคน แคว้นมารเขียวต้องเกิดเรื่องบางอย่างและไม่อยากปล่อยหวังหลินออกไปจากที่นี่ง่ายๆ
เสียงดังสนั่นกึกก้อง หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา แขนขวายื่นออกไปดึงเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์ เพียงสะบัดแขนจึงเกิดแสงสีเหลืองน้ำตาลเข้าห่อหุ้มร่างกาย
หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินจึงระเบิดระดับบ่มเพาะเต็มกำลังและไม่ซ่อนกลิ่นอายบัญชาโบราณอีกต่อไป เมื่อกลิ่นอายบัญชาโบราณปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ร่างใหญ่ยักษ์ที่สามารถค้ำจุนโลกได้จึงปรากฏขึ้นมา
วินาทีที่ร่างนี้ปรากฏ ทุกคนภายในระยะหมื่นลี้จึงมองเห็นและเกิดเป็นพลังบัญชาโบราณแผ่กระจายออกเป็นระลอกคลื่น
ร่างเงาบัญชาโบราณส่งเสียงคำรามสู่ท้องฟ้า ห่อหุ้มร่างหวังหลินจากพลังทำลายล้างของผู้ส่งสาส์นทั้งสองคน
พลังทำลายล้างระลอกแรกพุ่งกระแทกใส่ร่างเงาบัญชาโบราณจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเงาสั่นเทาและเผยทีท่าว่ากำลังพังทลาย ตอนนั้นพลังทำลายล้างระลอกที่สองก็มาถึงแล้ว
เสียงดังกึกก้องสั่นสะเทือนสวรรค์ ร่างเงาบัญชาโบราณที่เพิ่มพูนพลังด้วยระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับต้นของหวังหลินกลับพลังทลายในทันที!
พอร่างเงาพังทลาย พลังทำลายล้างส่วนหนึ่งยังคงเหลืออยู่ พวกมันตกกระทบใส่เกราะชั้นแรกของหวังหลินซึ่งเป็นเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์