Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1888
พลังทำลายล้างอันน่ากลัวถูกร่างเงาบัญชาโบราณของหวังหลินต้านทานเอาไว้ รวมถึงร่างกายอันแข็งแกร่งและเกราะธาตุดินรูปทรงมนุษย์อันลึกลับ
แม้กระนั้นหวังหลินยังรู้สึกถึงวิญญาณดั้งเดิมกำลังสั่นเทา เขาถูกดันถอยกลับมาหลายหมื่นฟุตจนกระอักโลหิต พื้นที่บริเวณหน้าอกของเกราะธาตุดินเกิดรอยร้าวขนาดเท่าฝ่ามือแต่เกราะไม่ได้แตกสลาย
‘พวกมันต้องการทำร้ายข้าให้บาดเจ็บเพื่อ…ถ่วงเวลา!’ หวังหลินพยายามใช้บิดมิติ แต่พื้นที่บริเวณนี้โดนปิดผนึกไปแล้ว แม้จะมีเกราะวิญญาณก็ไม่สามารถข้ามผ่านภูเขาลูกนี้ไปได้
ขณะที่หวังหลินล่าถอย ปราณกระบี่ตามเข้ามาอย่างกระชั้นชิด มันสามารถผ่าโลกออกเป็นครึ่งส่วนด้วยกระบวนท่าเดียว
หวังหลินพลันเงยหน้าขึ้น มือขวาชกออกไปใส่กระบี่ การเผชิญกับเงากระบี่และวิชาที่ซับซ้อนแบบนี้ ใช้กำปั้นจะดีกว่า
เงากระบี่สั่นเทาและแตกสลายเสียงดังสนั่น แต่แขนขวาของหวังหลินเกิดอาการด้านชาและเกราะรูปร่างมนุษย์แตกร้าว
ปราณกระบี่พุ่งเข้าไปในร่างหวังหลินและกำลังจะระเบิดออกมาแต่หวังหลินฝืนระงับเอาไว้ เขาพุ่งเขาหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนยอดเขา
ชายหนุ่มจ้องหวังหลินด้วยท่าทีเย็นชา เขาคือเมฆาสูญสิ้น!
เมฆาสูญสิ้นยกกระบี่ขึ้นมาส่งกระบวนท่าที่สองออกไปกลายเป็นเงากระบี่ผ่าลงใส่หวังหลิน!
กระบวนท่านี้แข็งแกร่งกว่าของเดิมมากกว่าสามในสิบส่วน หวังหลินโยนกำปั้นออกไปพร้อมเสียงคำราม
ปราณกระบี่ครั้งที่สองพังทลายเสียงดังสนั่น เกราะธาตุดินบนแขนขวาของหวังหลินระเบิดไปพร้อมกัน
แต่หลังจากกระบวนท่าที่สองพังทลาย เมฆาสูญสิ้นปลดปล่อยกระบวนท่าที่สามและสี่ตามมาติดๆ!
ปราณกระบี่มหึมาทั้งสองพุ่งเข้าหาหวังหลิน หวังหลินตอนนี้อยู่ห่างจากเมฆาสูญสิ้นประมาณพันฟุต ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เมฆาสูญสิ้นหน้าซีดเล็กน้อย ตอนที่หวังหลินเข้ามาใกล้ เขากัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมา โลหิตเปลี่ยนกลายเป็นสีทองและเปลี่ยนกลายเป็นร่างเงากระบี่พุ่งใส่หวังหลิน
จากนั้นเขายกแขนขวาขึ้นมาทันที กระบี่โบราณเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์พลันปรากฏ เขาคว้าเอาไว้และกระโจนขึ้นสู่อากาศ ปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายตามหลังเงากระบี่เก้าเล่ม!
ตอนที่หวังหลินเห็นกระบี่โบราณปลดปล่อยกลิ่นอายทรงอำนาจ เขาสัมผัสถึงร่องรอยพลังมหาชั้นฟ้าออกมาจากมันได้!
กระบี่เล่มนี้เหมือนกับประทับสีทองของเขา มันคือสมบัติที่มหาชั้นฟ้าสร้างขึ้นด้วยการควบแน่นวิชา!
ขณะที่ร่างเงาทั้งเก้ากระบี่เข้ามาใกล้ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา เขากำลังจะหนีไป ใครก็ตามที่พยายามขัดขวางจะต้องอดทนต่อความโกรธเกรี้ยว เกราะบนแขนขวาพังทลายแต่เขายังมีแขนซ้าย!
แขนซ้ายกำหมัดและโยนกำปั้นออกไปใส่ร่างเงากระบี่ทั้งเก้า!
“มาดูกันว่ากระบี่เจ้าจะแหลมคมกว่าหรือเป็นกำปั้นข้าที่ทนทานกว่า!”
เสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วภูเขาจนก่อเกิดเป็นพายุพัดใส่อาณาบริเวณ เงากระบี่ทั้งเก้าพังทลายและปะทะกับแขนซ้ายหวังหลิน ทว่าพอเขาเข้าไปได้จนถึงระยะสองร้อยฟุต เมฆาสูญสิ้นกำลังจะปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายออกมา!
“สมบัติที่สร้างขึ้นจากวิชาของมหาชั้นฟ้า ข้าก็มีเช่นกัน!” หวังหลินไม่ได้ใช้แยกราตรี แม้ระดับบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นด้วยเกราะวิญญาณ เขาก็ไม่สามารถใช้ได้ถึงสองครั้งในคราเดียว
เขาต้องใช้ในช่วงวิกฤติที่สุด การต่อสู้กับเมฆาสูญสิ้นดูเหมือนยากแต่ก็ไม่มากพอให้หวังหลินต้องใช้แยกราตรี!
เขามองความคิดของเมฆาสูญสิ้นและผู้ส่งสาส์นทั้งสองออก การต่อสู้เพียงเพื่อถ่วงเวลาเขา
วินาทีที่หวังหลินเอ่ยเสียงดังกึกก้อง แขนขวายื่นออกไปปรากฏประทับสีทอง!
ประทับสีทองปะทะเข้ากับกระบี่โบราณ เกิดเสียงดังกึกก้องจนเมฆาสูญสิ้นกระอักโลหิตและดูอ่อนแรง กระบี่ในมือแตกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน เขากระเด็นกลับลงไปบนพื้นดิน
ประทับสีทองของหวังหลินเกิดรอยแตกร้าวลึกแต่ไม่ได้พังทลาย มันหมองหม่นลงและหวังหลินเก็บไป จังหวะที่สมบัติทั้งสองปะทะกัน คุณภาพของสมบัติและเหล่าวิชาไม่สำคัญเลย ปัจจัยสำคัญอยู่ที่จำนวนพลังแห่งศรัทธาที่พวกเขาใช้เพื่อสร้างสมบัติ
การสร้างสิ่งหนึ่งจากความว่างเปล่านับว่าเป็นเรื่องลี้ลับอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังแห่งศรัทธาจากกระบี่ของเมฆาสูญสิ้นยังด้อยกว่าประทับสีทองของหวังหลินอยู่หลายขุม!
หวังหลินยืนอยู่บนยอดเขาและจ้องมองเมฆาสูญสิ้นที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
โลหิตไหลออกจากปากเมฆาสูญสิ้นอย่างต่อเนื่อง เขามองหวังหลินและดูพ่ายแพ้
“ข้าแพ้…” เขาไม่ได้พูดถึงว่าหวังหลินสวมเกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์หรือพูดถึงสมบัติของมหาชั้นฟ้า แพ้ก็คือแพ้!
“แต่เจ้าก็แพ้เช่นกัน…” เมฆาสูญสิ้นพยายามลุกขึ้นมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อน
“เกราะวิญญาณของเจ้าใกล้จะหมดเวลาแล้ว พลังทำลายล้างและความพยายามของข้าเพียงแค่ถ่วงเวลาเจ้าไว้ชั่วครู่…เราไม่คิดว่าเจ้าจะผ่านทางมาที่นี่จริงๆ…”
เพียงแค่เมฆาสูญสิ้นพูดออกมา หวังหลินพุ่งเข้าหาอีกฝั่งของภูเขา เขาไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระ พอพุ่งออกมาจึงสะบัดแขน ลำแสงโลหิตทะลุทะลวงผ่านกลางหน้าผากเมฆาสูญสิ้นที่บาดเจ็บสาหัส
ไร้เสียงกรีดร้องและไม่มีอาการต่อต้าน กระบี่โลหิตแทงทะลุศีรษะของเมฆาสูญสิ้นและกลับมาหาหวังหลิน
เรื่องการตายของเมฆาสูญสิ้น หวังหลินไม่มีเวลาตรวจสอบว่าเป็นร่างดั้งเดิมหรือร่างอวตารหรือไม่ เขารู้สึกว่าเหตุการณ์วิกฤติกำลังคืบคลานเข้ามาและความรู้สึกนี้คล้ายกับตอนที่เจอกับฉุยต้าวครั้งแรก
หวังหลินกำลังมองจากเทือกเขามาที่ทะเลทรายไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่เห็นได้ทั่วไปในแคว้นเมิ่งตู แคว้นเกือบเจ็ดในสิบส่วนมักจะเป็นเช่นนี้
ลือกันว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มีเซียนต่างแดนคนหนึ่งมาที่นี่และพ่ายแพ้ต่อบรรพชนเทพ เซียนคนนั้นถูกผนึกไว้ที่นี่และมีพลังธาตุดินอันน่ากลัว หลังจากนั้นผืนแผ่นดินก็เป็นแบบนี้
คนผู้นั้นลือกันว่าแซ่ “เมิ่ง” พอผ่านไปอีกนานหลายปีจึงกลายเป็นแคว้นเมิ่งตู!
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแก่นแท้ปฐพี คล้ายกันกับแคว้นมารเขียวซึ่งเป็นแคว้นที่มีแก่นแท้ปฐพีเช่นกัน แมงป่องมารเขียวนั้นเป็นอสูรดุร้ายที่อาศัยอยู่ในพื้นดิน
อย่างไรก็ตามมันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายมารจนยากจะสังเกตได้
ข่าวลือเหล่านี้ถูกบันทึกอย่างละเอียดไว้ในกระดองเต่าที่มอบให้แก่หวังหลิน ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นอย่างน่าสนใจแต่เขาไม่มีเวลาคิดมากความ หวังหลินหยิบยืมความเร็วของเกราะวิญญาณเพื่อมุ่งหน้าไปสู่แคว้นเมิ่งตู่ขณะที่ยังไม่สามารถใช้บิดมิติได้
ยิ่งเขาเข้าใกล้ขึ้น ระยะห่างนับหมื่นลี้จึงหดลงอย่างรวดเร็ว พอหวังหลินอยู่ห่างเพียงพันลี้ แคว้นเมิ่งตูจึงอยู่ในระยะสายตา!
แต่จังหวะนั้นโลกพลันเปลี่ยนสี แสงพร่าเลือนผุดออกมาจากหกทิศทางที่แตกต่างกันเบื้องหน้าหวังหลิน ระลอกคลื่นส่งเสียงกึกก้อง พวกมันคือสัญญาณว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายกำลังเปิดใช้งาน!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดใช้งานอย่างรวดเร็ว ขณะที่หวังหลินมองเข้าไป ร่างหลายสิบร่างปรากฏขึ้นภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่ละแห่ง!
ปรากฏเป็นร่างนับร้อยและมีกลิ่นอายทรงพลังแผ่กระจายออกมา
การเปิดใช้งานค่ายกลทั้งหกแห่งถือเป็นมูลค่ามหาศาลสำหรับแคว้นมารเขียว โดยเฉพาะการที่เคลื่อนย้ายคนจำนวนมาก ยิ่งมีระดับบ่มเพาะสูงขึ้นยิ่งมีมูลค่ามากกว่าเดิม หากเป็นเซียนขั้นที่สาม สิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งเกินกว่าคำอธิบายใดๆ
และเซียนหลายร้อยทั้งหมดนี้ล้วนทรงพลัง การเคลื่อนย้ายพวกเขามาได้ทำให้แคว้นมารเขียวสูญเสียทรัพยากรที่เก็บสะสมมานับแสนปี!
เดิมทีคนเหล่านี้ซุ่มโจมตีที่ชายแดนของแคว้นกระทิงสวรรค์เพื่อรอคอยหวังหลิน ทว่าเนื่องจากแต่ละคนคาดการณ์ผิดพลาดจึงต้องฝืนเคลื่อนย้ายผู้คนมาที่นี่ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวและยังมีเซียนอีกเป็นจำนวนมากกำลังมาที่นี่
เซียนทั้งหมดสวมเสื้อผ้าคล้ายกัน แม้สีสันจะแตกต่างแต่มีลวดลายรูปพระจันทร์สีขาวและดำบนเสื้อเหมือนกัน!
หวังหลินเคยเห็นลวดลายนี้บนกระดองเต่า สัญลักษณ์ที่ว่าเป็นของสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นมารเขียว สำนักเต๋ามาร!
การขัดขวางและไล่ตามหวังหลินไม่ใช่ทั้งแคว้นมารเขียวแต่เป็นแค่สำนักเต๋ามาร!
แคว้นเมิ่งตูห่างออกไปพันลี้แต่สำนักเต๋ามารเข้ามาหยุดยั้งหวังหลิน ความรู้สึกวิกฤติกำลังย่างกรายเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ!
หวังหลินหรี่ตาแคบ ขณะที่พุ่งทะยานออกไป เหล่าเซียนนับร้อยได้ปรากฏตัวขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหกแห่ง ขณะเดียวกันต่างโยนบางอย่างเข้ามาหาหวังหลิน!
“ศีรษะของเซียนจากทุ่งยอดนภาจำนวนเก้าหัว!”
“ศีรษะของเซียนจากทุ่งยอดนภาจำนวนหกหัว!”
“ศีรษะของเซียนไร้สำนักขั้นวิบากดับสูญจากทุ่งยอดนภา!”
“ทุ่งยอดนภา…”
น้ำเสียงเย็นเยียบเหล่านั้นดังกึกก้องและดังถึงหูหวังหลินจนเขามีอาการสั่นเทา หวังหลินมองศีรษะที่มีท่าทีทนทุกข์เหล่านั้น เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเป็นเซียนที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาหลายเดือนในเส้นชีพจรแห่งที่สามและอยู่รอดมาด้วยกัน!
หวังหลินไม่รู้จักชื่อของแต่ละคนแต่เขาจดจำใบหน้าได้ ศีรษะนับร้อยเหล่านี้คือคนจำนวนเกือบครึ่งที่รอดชีวิตมาจากทุ่งยอดนภา…
“เจ้าไม่ชอบศีรษะมนุษย์ใช่หรือไม่? เช่นนั้นนี่คือของขวัญแรกของสำนักเต๋ามารที่ข้ามอบให้เจ้า!” น้ำเสียงประสงค์ร้ายดังกึกก้อง
‘สำนักเต๋ามาร…หากวันนี้ข้าออกไปจากที่นี่ได้ ข้าจะกลับมาทำลายล้างพวกเจ้าทั้งสำนัก!!’ หวังหลินเผยแววตาประกายแสงมหึมา เขาสาบานไว้ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความต้องการทำลายล้างสำนักบนแผ่นดินเซียนดารารุนแรงขนาดนี้!!