Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1889
“แยกราตรี!” หวังหลินหันกลับมาทันที เขารู้ว่าการหนีออกไปจากที่นี่เป็นเรื่องยากยิ่ง สำนักเต๋ามารยอมทำทุกอย่างเพื่อสังหารเขา!
เหล่าเซียนรอบด้านและศีรษะที่เต็มไปทั่วพื้นดิน มากพอแล้วที่จะอธิบายทุกอย่างได้!
หากเขาต้องการจากไป เขาจะต้องทุ่มให้สุดตัว! เขาจะต้องรวดเร็วไม่เช่นนั้นจะมีเซียนจากสำนักเต๋ามารเข้ามามากขึ้นอีก ถึงจุดหนึ่งหวังหลินจะไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้!
ยิ่งเขาอยู่นานเท่าไร ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตต่ำลงเท่านั้น!
หลังจากเอ่ยปากออกมา ชายแดนสู่แคว้นเมิ่งตูพลันเต็มไปด้วยภาพท้องทะเลและถูกความมืดยามค่ำคืนเข้าห่อหุ้ม
หวังหลินใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสามารถใช้ได้ในฐานะเซียน ดวงตะวันลอยขึ้นและปลดปล่อยพลังอำนาจฉีกกระชากกลางคืนออกมา
ไม่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะอะไร เหล่าเซียนสำนักเต๋ามารหลายร้อยคนต่างส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนภายใต้พลังของวิชาแยกราตรี ร่างกายแต่ละคนพังทลาย วิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย
ซึ่งรวมไปถึงคนอีกหลายร้อยที่กำลังเข้ามาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาตายก่อนที่ร่างกายจะทันปรากฏออกมาเสียอีก
ภายหลังวิชาแยกราตรี โลกได้เปลี่ยนสีสัน นอกจากหวังหลินแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเหลืออยู่เลย ใบหน้าหวังหลินซีดเผือด เกราะวิญญาณกำลังหายไป เขาพุ่งทะยานเข้าหาแคว้นเมิ่งตูที่ห่างออกไปพันลี้โดยไม่ลังเล!
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดแห่ง แต่ค่ายกลพวกนี้ไม่ใช่ของธรรมดา หลังจากโดนวิชาแยกราตรีเข้าไปมันยังคงสภาพอยู่ได้ แปลว่าเขาไม่สามารถทำลายมันได้ในเวลาอันรวดเร็ว!
หวังหลินข้ามผ่านระยะพันลี้ไปแล้วครึ่งทาง แต่วินาทีนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดกำลังส่องสว่างอีกครั้ง ความผันผวนรุนแรงโผล่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย คลื่นเซียนนับร้อยรอบที่สามกำลังตามหลังหวังหลินเข้ามา
ท่ามกลางคนนับร้อยมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนสี่คนและระดับปลายอีกหนึ่งคน สำนักเต๋ามารกำลังนำขุมกำลังเกือบทั้งหมดมาไล่ล่าหวังหลิน!
พวกเขาใช้พลังของทั้งสำนักเพื่อฆ่าคนเพียงคนเดียว! การสังหารเช่นนี้เกี่ยวข้องกับความแค้นส่วนตัวแต่คงไม่ได้มีเหตุผลเดียว ไม่มีจ้าวสำนักหรือบรรพชนของเก้าสำนักสิบสามกองกำลังคนใดจะทำเป็นมองไม่เห็นได้!!
หวังหลินดวงตาแดงก่ำ ขณะที่คนนับร้อยกำลังไล่ตามหลังมา เขารู้แล้วว่าการข้ามผ่านระยะทางห้าร้อยลี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิชาและสมบัติมากมายจากเหล่าเซียนกำลังพุ่งทะยานมาหาเขา ขณะที่เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งห้าคนใกล้เข้ามา หวังหลินยกแขนขวาขึ้น ระเบิดพลังบัญชาโบราณทั้งหมดภายในร่าง ปรากฎร่างเงาบัญชาโบราณขนาดยักษ์ขึ้นด้านหลัง
ร่างเงานี้พร่ามัวเล็กน้อยเนื่องจากได้รับความเสียหายจากการทำลายล้างของผู้ส่งสาส์นมารเขียวก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามมันได้ทำให้หลายคนเกิดแรงกดดันจากก้นบึ้งจิตใจ!
“ขบวนทัพ เทพสะท้าน!”
“วิชาปิศาจ สายลมเปลี่ยนขุนเขา!”
“เต๋ามาร หวนคืนชีวิตและความตาย!”
หวังหลินผลักแขนขวาไปข้างหน้า เหล่าเซียนนับร้อยร่างสั่นสะท้าน เส้นทางการเหาะเหินเกิดการบิดเบือนยกเว้นเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลาย พวกเขาเรียงแถวเหมือนกองทัพประจัญหน้าหวังหลิน!
นี่คือขบวนทัพ! พลังอำนาจแห่งเทพสะท้านดังกึกก้องจนเหล่าเซียนกว่าครึ่งมีโลหิตไหลออกจากทวารทั้งเก้า!
หวังหลินเปิดฝ่ามือ ควันลอยขึ้นมาจากศีรษะของเหล่าเซียน มันควบแน่นกลายเป็นภูเขาอยู่เบื้องบนและตกกระแทกลงไป!
ฝ่ามือเปลี่ยนไปเป็นการชี้ ชีวิตและความตายสับเปลี่ยนไปจนเหล่าเซียนส่งเสียงร้องโหยหวน ส่วนใหญ่ร่างแตกสลาย แต่ยังมีเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายที่ไม่ได้เข้ามาใกล้หวังหลิน ตอนนี้หวังหลินกำลังระเบิดพลังเต๋าโบราณไร้เหล่าเทพเต็มกำลัง!
“เทพ มาร ปิศาจ บัญชาโบราณไร้เหล่าเทพ!”
วิชาบัญชาโบราณไร้เหล่าเทพที่ถูกใช้ออกมาภายหลังจากที่ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นวิบากดับสูญระดับต้นนั้น ช่างเป็นพลังที่อัศจรรย์และถึงจะแตกต่างจากวิชาแยกราตรี พลังทำลายล้างของมันล้วนเหมือนกัน!
เหล่าเซียนตายไปหลายร้อยคนและเกิดระลอกคลื่นสีเทาส่งเสียงดังสนั่น เซียนขั้นวิบากดับสูญระดับปลายมีสีหน้าเปลี่ยนไปและรีบถอย ทว่าเขาก็ยังโดนระลอกคลื่นสีเทาสัมผัสได้
ชายชราใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวในทันที สองขาเริ่มกลายเป็นหิน เขาใช้มือสัมผัสกับร่างตัวเอง ทุกครั้งที่ทำแบบนั้นจะเป็นการระเบิดพลังเข้าต่อต้านพลังบัญชาโบราณที่กำลังแทรกซึมเข้ามา
นอกจากเขาแล้ว เหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามารทั้งหมดที่อยู่ชายแดนของแคว้นมารเขียวต่างก็ตายกันหมด!
หวังหลินมีโลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปาก เขาใช้พลังบัญชาโบราณไปทั้งหมด เกราะรอบตัวเริ่มอ่อนกำลังลง ส่วนหนึ่งเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยไปแล้วและกำลังเลือนหายไป
หวังหลินกัดฟันแน่นและพุ่งทะยานออกไป พริบตาเดียวระยะห้าร้อยลี้ได้เหลือเพียงสองร้อยลี้!
แต่ในจังหวะนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งเจ็ดส่องสว่างอีกครา กลุ่มเซียนระลอกที่สี่ปรากฏตัวและไล่ตามหวังหลิน
“ประทับวิญญาณสงคราม!”
“หอกสีรุ้ง!”
“จันทรามืด ฟ้ากระจ่าง!”
“ห้วงเวลา!!”
“แก่นแท้ ควบแน่น!!” หวังหลินดวงตาแดงก่ำ เขาร่ายวิชาทั้งหมดออกไปก่อนที่เกราะวิญญาณจะหายไปเพื่อสังหารเหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามาร!
ต่อจากวิชาประทับวิญญาณสงคราม ฝ่ามือหกนิ้วขนาดยักษ์กระแทกใส่คนนับร้อย ขณะเดียวกันหอกสีรุ้งร่างที่สามได้ทะยานออกไปด้วย
จันทรามืดฟ้ากระจ่างได้เปลี่ยนกลายเป็นดวงจันทร์สีแดงโลหิต มันเริ่มการสังหารด้วยการเร่งเวลาให้เกิดการสึกกร่อนและระเบิดแก่นแท้ออกไป พอหวังหลินร่ายวิชาทั้งหมดนี้ เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้น เกราะวิญญาณรอบตัวเขากลายเป็นเส้นใยและรวมกันบนใบหน้าด้านขวา
อย่างไรก็ตามภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของหวังหลิน เหล่าเซียนในรอบที่สี่ล้วนตายไปเกือบหมด เหลือรอดเพียงแค่สามคน และแต่ละคนต่างก็มองหวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว!
หลังจากโจมตีอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้พังทลายไปในที่สุดสามแห่ง!
หวังหลินกระเด็นถอยกลับไปและอยู่ห่างจากแคว้นเมิ่งตูเพียงแค่ร้อยลี้เท่านั้น แต่นี่ไม่ทำให้ความรู้สึกวิกฤติลดน้อยลงไปเลย มันยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เหลืออยู่สี่แห่งกลับมีพลังแปลกประหลาดเข้าห่อหุ้มจนทำให้พวกมันเคลื่อนที่ด้วยวิธีการบางอย่าง พริบตาเดียวมันปรากฏห่างจากหวังหลินไปเพียงห้าสิบลี้
จังหวะนั้นพวกมันปลดปล่อยแสงพร่าเลือนและมีเซียนระลอกที่ห้าเกือบร้อยคนพุ่งออกมาหาหวังหลินด้วยจิตสังหารแรงกล้า!
พอเหล่าเซียนปรากฏ เซียนขั้นวิบากดับสูญหลายคนที่หลบการโจมตีของหวังหลินได้จึงทะยานเข้าใกล้ พวกเขาโอบล้อมหวังหลินเพื่อไม่ปล่อยให้มีโอกาสหนีไปได้
หวังหลินดวงตาแดงก่ำ เกราะวิญญาณของเขาเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียวที่ไม่ได้สลายไป วิชาของเขาดูเหมือนจะใช้ไปหมดแล้วแต่หวังหลินยังมีกลโกงเหลืออยู่เล็กน้อย!
ร่างแก่นแท้เพลิงปรากฏขึ้นมาและแผ่กระจายทันที มันเข้าห่อหุ้มบริเวณในพริบตา
“เพลิงไร้ลักษณ์ เผาไหม้!!” หวังหลินร้องคำรามเสียงแหบพร่า เหล่าเซียนนับร้อยเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ดังนั้นจึงเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับเพลิงไร้ลักษณ์!
เพลิงไร้ลักษณ์เริ่มเผาไหม้เหล่าเซียน เปลวเพลิงส่องประกายและระเบิดเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง
“ใครที่ขวางทางข้าจะต้องตาย!!” หวังหลินกัดปลายลิ้นบังคับให้ความอ่อนล้าหายไป เขาพุ่งทะยานไปพร้อมกับส่งเสียงคำราม แสงโลหิตกะพริบวาบปรากฏกระบี่โลหิตขึ้นในมือขวา อีกมือสะบัดออกไปปรากฏใบเรือหน้าผี มันเปลี่ยนกลายเป็นหมอกสีดำซึ่งเปลี่ยนกลายเป็นภูติผีนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้าหวังหลิน!
ฉากเหตุการณ์นี้ดูช่างน่าตกตะลึง เหล่าเซียนกำลังโดนเพลิงไร้ลักษณ์เผาไหม้จนตายหรือไม่ก็โดนกระบี่โลหิตของหวังหลินสังหาร ที่เหลือไม่กล้าโจมตีเพราะแค่การเผชิญจิตสังหารมหึมาของหวังหลิน เพียงเข้าไปในระยะก็ตายได้แล้ว
ขณะที่หวังหลินมุ่งหน้าต่อไป เขาข้ามผ่านระยะร้อยลี้ด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม เหล่าเซียนนับร้อยยิ่งตายมากขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนที่ถอยและมองหวังหลินด้วยความหวาดหวั่น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเจอเซียนทรงพลังมาก่อน แต่คนที่โหดเหี้ยมและฆ่าได้ยากแบบหวังหลินนั้นหาได้ยากมาก มูลค่าการสังหารหวังหลินนั้นยิ่งกว่าการเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่อย่างมหาศาล!
มูลค่านี้เหมือนกับการกวาดล้างทั้งสำนัก! สิ่งที่เสียไปอาจทำให้เก้าสำนักสิบสามกองกำลังเหลือเพียงแค่แปดสำนักสิบสามกองกำลัง!
จังหวะที่หวังหลินก้าวไปบนแคว้นเมิ่งตู่ เกราะวิญญาณที่เหลือบนร่างกายเขาได้กลับเข้าสู่รอยสักกระทิงสวรรค์บนใบหน้า ความรู้สึกอ่อนแรงกระจายไปทั่วร่างกายแต่เขาก็ระงับเอาไว้
ยังมีเกราะธาตุดินรูปร่างมนุษย์อยู่บนร่าง แม้จะพังไปแล้วครึ่งส่วนมันยังมีการป้องกันที่ทรงพลังอยู่
พอยืนอยู่บนแคว้นเมิ่งตู หวังหลินพยายามสะบัดโลหิตจากมุมปากออกและมุ่งหน้าต่อไป เขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเซียนไร้สำนัก ซึ่งสามารถข้ามผ่านระหว่างสองแคว้นได้ กระนั้นศิษย์สำนักเต๋ามารก็มีจำนวนมากจนยากจะข้ามผ่านไปได้
สำนักเต๋ามารต้องคิดเผื่อเรื่องนี้ไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่สั่งการให้ผู้ส่งสาส์นมารเขียวสองคนทำลายตัวเองและให้เมฆาสูญสิ้นถ่วงเวลาเขาเพื่อให้มั่นใจว่ายังอยู่ในแคว้นมารเขียว หากพวกเขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้คงแค่ไล่ล่าระหว่างทางไปแคว้นเมิ่งตูตามหลังเขาก็ยังได้
ขณะที่หวังหลินคาดเดา เหล่าเซียนจากสำนักเต๋ามารหยุดอยู่นอกแคว้นเมิ่งตู พวกเขาลังเลและไม่ไล่ตามมาอีกต่อไป
แต่จังหวะนั้นค่ายกลเคลื่อนย้ายสี่แห่งส่องประกายอีกครั้ง สามในสี่พาเซียนเกือบสิบคนออกมา ส่วนค่ายกลแห่งที่สี่มีคนออกมาเพียงคนเดียว!
“จ้าวสำนัก!!”
“ขอคารวะ ท่านจ้าวสำนัก!!” พอชายคนนี้ปรากฏ เซียนทั้งหมดจึงโค้งตัว