Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1916
หลังจากกลืนกินจ้าวสำนักเต๋ามาร หวังหลินหลับตาและเกิดเสียงปะทุดังอยู่ในร่าง เขาลบสัมผัสวิญญาณของวิญญาณดั้งเดิมและนำไปใส่ในเส้นชีพจรเซียน หากมีเวลาเขาจะใช้วิญญาณดั้งเดิมดวงนี้เพื่อเพิ่มเส้นชีพจรเซียน
ครู่ต่อมาหวังหลินลืมตาขึ้นและสะบัดแขน พื้นดินสั่นเทา ทะเลสาบและเกาะกลางพังทลาย พอพายุผ่านไปมันจึงถูกทำลายจนหมดสิ้น
สำนักเต๋ามารพังทลาย!
ผู้ส่งสาส์นในแสงสีทองกำลังยืนรอด้วยท่าทีอึดอัด จนกระทั่งหวังหลินลืมตาจึงคำนับฝ่ามือให้หวังหลินด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“สหายเซียนหวังอย่ากล่าวโทษข้าเลย…นี่…ข้าไม่คิดว่าเนื้อหาของราชโองการจะเป็นแบบนี้…หากข้ารู้ก่อน ข้าคงร่วมมือกับสหายเซียนเข้าสังหารคนทรยศนั่นไปแล้ว!”
หวังหลินมองผู้ส่งสาส์นด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่ไม่พูดอะไรออกมา เขายังประหลาดใจกับเนื้อหาในราชโองการ โดยเฉพาะบรรทัดสุดท้ายที่พูดถึงเขาตอนที่ช่วยเหลียนต้าวเฟยออกมา
‘เหลียนต้าวเฟย…ตอนที่ข้าเปิดมิติเก็บของ เขาและสตรีชุดเงินสูญหายเข้าไปในรอยแยก…เหลียนต้าวเฟยมักจะเรียกตัวเองว่า ‘ราชา’ และจากที่อาจารย์ซวนลั่วบอกข้า พี่ใหญ่ของเขาคือจักรพรรดิเทพ…’
‘เป็นไปได้ว่าจักรพรรดิไปเจอเหลียนต้าวเฟยเข้า หลังจากตื่นขึ้นมาจึงบอกเรื่องความสัมพันธ์กับข้า…’ หวังหลินขบคิดอยู่ ขณะเดียวกันผู้ส่งสาส์นกำลังรู้สึกกลัว เขาเสียใจมากและกำลังสาปแช่งจ้าวสำนักเต๋ามาร
‘จ้าวสำนักบัดซบนั่น จะตายก็ยังลากข้าเข้าไปอีก หากรู้แบบนี้ข้าคงไม่สนใจหวังหลินและอ่านราชโองการเสียก่อน…หวังหลินคนนี้เป็นใครกันถึงทำให้จักรพรรดิเทพพูดกับเขาเช่นนี้…และการช่วยเหลียนต้าวเฟย…องค์ชายต้าวเฟยที่ตื่นขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน เป็นไปได้ว่า…’ ผู้ส่งสาส์นหรี่ตาแคบลงและปัดความคิดทั้งหมดทั้งไป เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรคาดเดา
‘หวังหลินมีพลังขนาดนี้…เขาต้องได้รับความสนใจจากจักรพรรดิเทพอย่างแน่นอน อ๊าก ข้าต้องแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุด’
“สหายเซียน อย่าดุด่าข้า อย่ากล่าวหาข้าเลย…ก่อนนี้ข้าสับสนจริงๆ จ้าวสำนักเต๋ามารสมควรถูกสังหารแล้ว!” ผู้ส่งสาส์นพูดขึ้น สายตามองหวังหลิน พอเห็นว่าหวังหลินยังคงมีท่าทีมืดมนจิตใจจึงตกวูบ
‘แย่แล้วแบบนี้ เขาต้องคิดว่าข้าลงมือถึงสองครั้ง…หากเขาพูดอะไรเกี่ยวกับข้าแย่ๆ ต่อหน้าจักรพรรดิเทพ เช่นนั้นข้า…ข้า…’ เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก มีสายลมพัดผ่านจนรู้สึกเย็นเยียบ
“ฮี่ฮี่…สหายเซียนหวัง ข้ามีอะไรพิเศษจากแคว้นกลาง นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ดังนั้นได้โปรดรับของขวัญเล็กๆ พวกนี้ไว้ด้วยเถิด” เขานำหินหยกออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ยื่นส่งมันให้หวังหลินพร้อมกับราชโองการ
หวังหลินกำลังคิดถึงเวรกรรม ทันใดนั้นหันไปมองผู้ส่งสาส์น เขารับราชโองการมาแต่ไม่ได้เข้าไปอ่าน ทว่ามองไปที่หินหยกแทน
หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ แม้จะดูนิ่งเฉยแต่จิตใจกำลังเต้น ข้างในไม่มีข้อมูลอะไรแต่มีมิติเก็บของที่เต็มไปด้วยหินดั้งเดิมจำนวนมาก หินเหล่านี้มีพลังปราณสวรรค์มากมาย
หลังจากเก็บหินหยกไปหวังหลินมองมาที่ผู้ส่งสาส์นด้วยสายตาเย็นชา
ด้วยสายตาแบบนี้ ผู้ส่งสาส์นก่นด่าอยู่ในใจ เขากัดฟันแน่นและโบกมือนำขวดหยกออกมา บีบรอยยิ้มด้วยจิตใจอันเจ็บปวด
“อ้ะ ข้าลืมไป นี่เป็นของพิเศษของแคว้นกลาง มันไม่ได้ล้ำค่าอะไรนัก ดังนั้นสหายเซียนได้โปรดรับไว้ด้วย!” เขายื่นส่งขวดหยกแก่หวังหลิน
หลังจากหวังหลินรับเอาไว้ จึงตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณเบื้องหน้าผู้ส่งสาส์น ภายในมีเม็ดยาอยู่จำนวนมาก ทั้งหมดมีไว้เพื่อฟื้นฟูและหลายอย่างก็ล้ำค่ายิ่ง
การที่เซียนธรรมดาจะได้มาคงเป็นเรื่องยากมาก มีเพียงผู้ส่งสาส์นที่สามารถหาวิธีได้มาในแคว้นกลาง
หลังจากมอบของขวัญทั้งสองไป ผู้ส่งสาส์นเจ็บปวดใจมาก เขามองหวังหลินและเห็นว่าท่าทีเย็นชาน้อยลงจนทำให้เขารู้สึกโล่งอก ทว่าหวังหลินยังส่งสายตาจ้องมองผู้ส่งสาส์นหลังจากได้รับเม็ดยาไป
สายตาแบบนี้ทำให้ผู้ส่งสาส์นดุด่าในใจอย่างขมขื่นอีกครั้ง
‘โลภไปแล้ว…นี่…นี่…’ ผู้ส่งสาส์นฝืนยิ้มบนใบหน้า แขนขวาสั่นเทาและกัดฟัน เขานำหินหยกอีกก้อนออกมาและบีบรอยยิ้ม
“ข้าพอมีที่ทางอยู่บ้างในแคว้นกลาง…” เขายื่นส่งหินหยกให้หวังหลินด้วยจิตใจเจ็บปวดแสนสาหัส
หลังจากรับหินหยกก้อนนี้ไป หวังหลินค่อยๆ ยิ้มออกมา พอผู้ส่งสาส์นเห็นรอยยิ้มนี้จึงโล่งอกครั้งใหญ่
“ท่านผู้ส่งสาส์นไม่ต้องสุภาพเกินไป ในเมื่อของพิเศษจากแคว้นกลางไม่ได้ล้ำค่าอะไรนัก ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วกัน”
“ใช่ๆ ไม่มีอะไรล้ำค่าหรอก” ผู้ส่งสาส์นรู้สึกเจ็บปวดในหน้าอกและยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินค่อยๆ ถามขึ้นมา “ในเมื่อผู้ส่งสาส์นมาที่แคว้นมารเขียว ท่านต้องผ่านแคว้นกระทิงสวรรค์ ข้าอยากสอบถามว่าสงครามที่นั่นเป็นอย่างไร?”
“ราชโองการมีทั้งสิ้นสามฉบับ แคว้นกระทิงสวรรค์และสำนักกุ้ยยี่ต่างได้แห่งละฉบับ สงครามควรจะจบลงแล้ว ดังนั้นทุกคนอาจกำลังกลับมาสำนักของตัวเอง” ผู้ส่งสาส์นไม่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
หวังหลินเก็บหินหยกไปและถามอย่างลวกๆ “ต้าวเฟยอยู่ที่เมืองหลวงใช่หรือไม่?”
“องค์ชายต้าวเฟยตื่นแล้วและต้องการออกมาจากเมืองหลวง แต่ท่านก็ถูกท่านจักรพรรดิหยุดเอาไว้” ทั้งหมดนี้เป็นแค่ข่าวลือ ดังนั้นผู้ส่งสาส์นจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรร้ายแรง
“โอ้ ข้าได้ช่วยต้าวเฟยมาก่อนและเขาก็ช่วยข้าไว้” หวังหลินยิ้ม
ผู้ส่งสาส์นรีบพยักหน้า เขาสังเกตเรื่องนี้ได้ตอนที่อ่านราชโองการและพอรวมกับที่หวังหลินพูด จึงยิ่งมั่นใจขึ้น
“นิสัยของต้าวเฟย…อา ข้าไม่เจอเขามานาน เขายังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่?” หวังหลินส่ายศีรษะและถอนหายใจ
“องค์ชายต้าวเฟย…” ผู้ส่งสาส์นลังเล หลังจากพิจารณาถึงเนื้อหาในราชโองการและคำพูดของหวังหลิน เขาจึงพูดต่อไป
“ด้วยตัวตนของข้า ข้าไม่สามารถพบองค์ชายต้าวเฟยได้ แต่ข่าวลือบอกกันว่าหลังจากองค์ชายต้าวเฟยตื่นขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน นิสัยของเขาก็ไม่เหมือนเดิม…แต่บางครั้งก็เหมือนเดิม…” ผู้ส่งสาส์นพูดอย่างลังเล
หวังหลินใจเต้นวาบ เขายิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
พอผู้ส่งสาส์นเห็นแบบนี้จึงรู้ว่าถึงเวลาไปแล้ว เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน
“สหายเซียนหวัง ราชโองการนี้สามารถใช้เคลื่อนย้ายเข้าสู่แคว้นกลางได้ ที่นี่ห่างไกลจากแคว้นกลาง ดังนั้นท่านจะต้องเคลื่อนย้ายถึงแปดครั้ง ข้าจะมุ่งหน้ากลับไปรายงานต่อองค์จักรพรรพิก่อน เมื่อท่านไปถึงเมืองหลวง ข้าจะไปทักทายท่าน” ผู้ส่งสาส์นยิ้มและรีบจากไป เขากลัวว่าจะพูดอะไรที่ทำให้หวังหลินโกรธเคืองและคงต้องเสีย ‘ของที่ไม่มีค่าอะไรนัก’ มากไปกว่านี้
หลังจากผู้ส่งสาส์นจากไปหวังหลินจึงหุบยิ้ม ใบหน้ามืดมน
หวังหลินไม่ได้ออกไปจากสำนักเต๋ามารที่กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่กลับนั่งลงบนหินสีเขียวในสำนัก ดวงตาเปล่งประกาย
‘เหลียนต้าวเฟย…ความโลภและความคิดร้ายของเขาถูกเต๋าแห่งสวรรค์กลืนกินไปแล้ว แบบนี้นิสัยของเขาก็น่าจะแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก…’
‘คำพูดของผู้ส่งสาส์นได้บ่งบอกเรื่องนี้ด้วย นิสัยของเขาเปลี่ยนไปแต่มันจะเปลี่ยนเป็นอะไรนั้น…’
หวังหลินขมวดคิ้วและมองท้องฟ้าที่กำลังมืด ครุ่นคิดต่อไป
‘แต่หากเขาเปลี่ยนไปจริง หลังจากเขาตื่นแล้วสามสิบปี ทำไมพี่ชายเขาถึงประกาศออกมาตอนนี้…หากต้องการขอบคุณข้าจริงๆ เมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่ข้ากำลังลำบากและรอวาสนาจากอารามแมงป่อง ทำไมถึง…’
‘เนื้อหาในราชโองการค่อนข้างน่าสนใจ…’ หวังหลินสะบัดแขน แววตาเย็นเยียบ สายลมสีดำปรากฏขึ้นมาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนจะเงียบลง
หวังหลินโหดเหี้ยมอำมหิต พอตั้งใจว่าจะทำอะไรบางอย่างแล้วก็ต้องโหดเหี้ยมให้สุด ในเมื่อต้องการลบล้างสำนักเต๋ามาร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ศิษย์สำนักแห่งนี้ในแคว้นกระทิงสวรรค์หนีรอดไปได้
คนที่กลับมาก่อนคงจะเป็นคนที่มีสถานะสูงส่ง พวกเขาคงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับมา หวังหลินกำลังรอคอยคนพวกนี้!
‘บรรพชนของสำนักเต๋ามารน่าจะอยู่ระหว่างทาง เขาเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้า การจะกวาดล้างสำนักเต๋ามาร เขาต้องตาย! แม้ข้าจะไม่ค้นหาเขา เขาก็จะยังออกมาค้นหาข้าอยู่ดี!’
‘มหาชั้นฟ้า…สงสัยจริงว่าหากข้าสวมเกราะวิญญาณจะเทียบกับมหาชั้นฟ้าได้หรือไม่!’ หวังหลินนั่งอยู่บนก้อนหินและทอดสายตามองออกไป
‘หลังจากจัดการเรื่องสำนักเต๋ามาร ข้ามีสองตัวเลือกคือไปสำนักตงหลินและเข้าบ่อน้ำตงหลินเพื่อดูว่ามันจะช่วยแก่นแท้อื่นควบแน่นเป็นร่างแก่นแท้ได้หรือไม่…’
‘หรืออีกทางเลือกคือมุ่งหน้าไปแคว้นกลางเพื่อดูว่าในถ้ำเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนแบบไหน ข้าอยากรู้ว่าเหลียนต้าวเฟยจำข้าได้หรือไม่และพี่ใหญ่จักรพรรดิเทพของเขาเก็บอะไรไว้…’
‘แต่ครั้งหนึ่งอาจารย์บอกว่ามีมหาชั้นฟ้าอยู่ห้าคนและจักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจินเป็นหนึ่งในนั้น! หากข้าไปที่นั่นอาจจะเจออันตรายจำนวนมาก…’ หวังหลินหลับตาและขบคิดในความมืด
ห่างออกไปจากแคว้นมารเขียวถึงห้าแคว้น ลำแสงสายหนึ่งท่องทะยานผ่านน่านฟ้า ภายในลำแสงเป็นชายชราเรือนผมสีแดง ใบหน้าสงบนิ่งแต่ในแววตาซ่อนความโกรธเกรี้ยวเอาไว้!
พริบตาเดียวเขาได้หายวับเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่ง เขาข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกหลายแห่งไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!
เขาคือบรรพชนของสำนักเต๋ามาร ผู้อยู่ภายใต้มหาชั้นฟ้าต้าวยี่!!