Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1917
‘เมืองหลวงนั้นข้าต้องไปอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะต้องขอบคุณแต่ข้าได้สาบานกับเหลียนต้าวเฟย! ข้าต้องฟื้นคืนความทรงจำของต้าวเฟยเพื่อตอบแทนทุกอย่างที่เขาทำให้ข้า!’ หวังหลินความตั้งมั่นออกมา
เขาจดจำความเมตตาที่คนอื่นมอบให้เป็นอย่างดี!
ตอนนั้นเหลียนต้าวเฟยมีเมตตากับเขาเหลือเกิน ตอนนี้หวังหลินจึงต้องไปเมืองหลวงเพื่อดูว่าเหลียนต้าวเฟยฟื้นคืนกำลังได้เต็มที่หรือไม่ จากนั้นเขาก็ไม่เสียใจและไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว
‘ไม่ว่านิสัยเขาจะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนไปหรือไม่ หรือคิดกับข้าอีกแบบ ข้าก็ต้องไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง!’ หวังหลินขบคิดแต่แววตาแฝงความเศร้าลึกๆ
เขาไม่รู้ว่าเหลียนต้าวเฟยตอนนี้เป็นอย่างไร ไม่รู้ว่ายังคงร้องคำรามและโวยวายอยู่เป็นประจำ หรือไม่
“ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ข้าเป็นราชาที่ทรงพลัง!”
“เจ้า เจ้า เจ้า…ราชาผู้นี้จะกัดเจ้าให้ตาย กัดเจ้าให้ตายเชียวนะ!!”
“บัดซบ เจ้ากล้าแกล้งตายต่อหน้าต่อตาราชาผู้นี้ได้อย่างไร?”
“ฝนตก…เอ๋ น้องแดง มาๆ นวดไหล่ข้าหน่อย…”
“บอกพี่ใหญ่ว่าข้าเหนื่อยแล้ว วันนี้ข้าจะไม่บ่มเพาะและจะออกไปเล่น…บอกเขาว่าไม่ต้องออกมาตามหาข้า พอข้าเล่นเสร็จแล้วจะกลับไปเอง หากเขากล้าพาข้ากลับไปเหมือนเมื่อก่อน ข้าจะตัดความสัมพันธ์!”
“โลหิตของราชานี่มันเยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม…เอ๊ะ ข้าคิดว่าสาวน้อยเฟยเฟยกำลังให้ข้ากินอะไรนะ…”
เสียงของเหลียนต้าวเฟยดังก้องในสองหู ความมืดมิดในสำนักเต๋ามารทำให้หวังหลินถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่เหลียนต้าวเฟยปรากฏตัวในช่วงเวลาคับขันและช่วยชีวิตหวังหลินไว้จากกระบวนท่ารุนแรงครั้งนั้น
เขายังจำได้ถึงความฝันครั้งที่สาม ตอนที่เขากลายเป็นเซียน ตอนที่เขาและเหลียนต้าวเฟยลอยอยู่ในอากาศ ในเต๋าความฝันเขาได้เจอกับเหลียนต้าวเฟยและใช้ชีวิตร่วมกัน
‘ข้าหวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก…’ หวังหลินถอนหายใจยาว เขาไม่มีสหายมากมายนักและเหลียนต้าวเฟยนับว่าเป็นสหายเขาคนหนึ่ง
ความจริงเขาไม่ได้ตอบแทนเหลียนต้าวเฟยมากนัก เป็นเหลียนต้าวเฟยที่ช่วยหวังหลินไว้มหาศาล!
‘ข้าต้องไปเมืองหลวง แต่มันอันตรายและต้องเตรียมตัวก่อนไป…’ หวังหลินขบคิดและตัดสินใจ
‘มหาชั้นฟ้าทั้งห้าของเผ่าเทพ…’ หวังหลินสะบัดแขนขวาปรากฏกระดองเต่าที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้ นอกจากแผนที่แล้วยังมีข้อมูลบางส่วนของมหาชั้นฟ้า ซวนลั่วยังบอกข้อมูลบางส่วนตอนที่หวังหลินอยู่ในโลกถ้ำอีกด้วย
‘จักรพรรดิเทพแห่งแคว้นกลางสืบทอดแปดสุดยอดเต๋าของบรรพชนเทพและ เขาคือมหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้ว!’
‘สำนักตะวันม่วงแห่งแผ่นดินทิศตะวันออกเป็นบ้านของมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ แข็งแกร่งที่สุดในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง!’
‘สำนักต้าวยี่แห่งแผ่นดินทิศใต้มีมหาชั้นฟ้าต้าวยี่!’
‘สำนักจักรวาลแห่งแผ่นดินทิศเหนือมีมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง!’
‘ในแคว้นกลางมีมหาชั้นฟ้าอีกคนนอกจากจักรพรรดิเทพ และเขาคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้’
ทั้งห้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วทั้ง 72 แคว้นเทพ เป็นห้าตะวัน ห้ามหาชั้นฟ้า!
แววตาหวังหลินทอประกายและวิเคราะห์มหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน เมื่อพวกเขารับรู้ความแข็งแกร่งของหวังหลิน คงต้องเชิญชวนแน่นอน
พอมีเบื้องหลังเป็นมหาชั้นฟ้า อันตรายในการเดินทางสู่เมืองหลวงก็จะลดลงไปมาก นอกจากนี้ถึงแม้มหาชั้นฟ้าต้องการสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้าอีกคนที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้า ก็ยังต้องอธิบายเหตุผล! เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่เหนือผู้สูงส่งชั้นทองและหาได้ยากยิ่งบนแผ่นดินเซียนดารา!
อย่างมากมหาชั้นฟ้าอาจมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้ถึงร้อยคน! ทั้งแผ่นดินเซียนดารานั้นมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ถึงพันคนด้วยซ้ำ!
หากแค่การสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้า นั่นยังพอเข้าใจ แต่หากเป้าหมายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ เมื่อนั้นไม่มีมหาชั้นฟ้าคนใดยอมแน่!
เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะนั้นหายากยิ่งกว่ายาก ทั้งแผ่นดินเซียนดารามีแค่ 48 คนเท่านั้น!!!
ส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็ซ่อนตัวปิดด่านบ่มเพาะ อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าไม่ถึงสามในสิบส่วน
คนเหล่านี้มักจะเป็นที่เคารพของเหล่ามหาชั้นฟ้า เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้มหาชั้นฟ้า! หากไม่ต้องการติดตามมหาชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าก็จะไม่บังคับ เว้นแต่จะเหมือนลั่วหยุนไฮ่แห่งสำนักมหาวิญญาณที่ได้ท้าประลองกับมหาชั้นฟ้า
เมื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะเลือกที่จะติดตามมหาชั้นฟ้าแล้ว เขาจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและเป็นส่วนสำคัญ นั่นเพราะผู้สูงส่งชั้นเทวะคือองครักษ์ที่ดีที่สุดระหว่างที่มหาชั้นฟ้ากำลังผ่านกระบวนการเกิดใหม่!!
หากผู้สูงส่งชั้นเทวะถูกมหาชั้นฟ้าสังหาร ถ้าอยู่ตัวคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่หากอยู่ใต้อำนาจของมหาชั้นฟ้าคนอื่น มหาชั้นฟ้าคนนั้นคงไม่มีวันยอมแน่!
เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง เกี่ยวข้องกับคนที่พวกเขาจะทาบทามในอนาคต เกี่ยวข้องกับองครักษ์คุ้มกันกระบวนการเกิดใหม่ ไม่มีมหาชั้นฟ้าคนใดมองดูผู้สูงส่งชั้นเทวะตายไปต่อหน้าโดยไม่ทำอะไร
ทั้งยังมีผู้สูงส่งชั้นเทวะอยู่น้อยเกินไปด้วยซ้ำ!
‘หากอยู่ในเผ่าโบราณ คงไม่ต้องคิดอะไร เพียงแค่มีอาจารย์…’ หวังหลินเข้าใจว่าถึงแม้เขาจะเป็นศิษย์คนเดียวของซวนลั่ว เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ฝั่งดินแดนเทพรู้ได้ ไม่เช่นนั้นคงถูกเหล่ามหาชั้นฟ้าไล่ล่า
เผ่าเทพคงไม่ยอมรับให้มีเซียนแบบเขาปรากฏตัวในเผ่าโบราณแน่นอน!
‘แม้แต่เหลียนต้าวเฟยยังไม่รู้เรื่องอาจารย์ มีเพียงสำนักกุ้ยยี่ที่รู้เรื่อง ในเมื่ออาจารย์ยอมให้สำนักกุ้ยยี่รู้เรื่องนี้และไม่สังหารในโลกถ้ำ แปลว่าเขามั่นใจว่าพวกนั้นจะไม่พูดอะไร…ส่วนเรื่องเหตุผล แม้ข้าจะไม่รู้แต่ข้าเชื่อในตัวอาจารย์!’
‘เหล่ามหาชั้นฟ้าคงไม่คิดว่าข้าจะมีร่างบัญชาโบราณและบ่มเพาะแบบเทพเป็นแน่ ตราบใดที่พวกนั้นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์กับข้าและอาจารย์ซวนลั่ว!’
หวังหลินอยู่บนแผ่นดินเซียนดารามาสักพัก และพอเข้าใจได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นสายโลหิตโบราณและโลหิตเทพได้ปะปนกัน จึงมีเหล่าเซียนเทพที่มีร่างเผ่าโบราณ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากอารามโบราณ
ทำให้ถึงแม้ร่างบัญชาโบราณของหวังหลินอาจจะทำให้เซียนธรรมดาตกตะลึง แต่ก็ไม่มากมายอะไรต่อมหาชั้นฟ้า
หวังหลินยังรู้ด้วยว่ามีบางเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนไว้ เช่นเรื่องที่เขามาจากโลกถ้ำอาจจะซ่อนคนอื่นได้แต่ไม่สามารถซ่อนมหาชั้นฟ้าได้ พวกนั้นคงมีวิธีการของตัวเอง ทั้งยังเป็นสิ่งดีอีกเนื่องจากสามารถยืนยันต้นกำเนิดของหวังหลินได้!
แม้ว่าเรื่องที่มีเซียนในโลกถ้ำสามารถทะลวงออกมาได้จะเป็นเรื่องน่าตกตะลึงยิ่ง หากเทียบกับระดับบ่มเพาะของหวังหลิน มันไม่ได้สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดสินใจของหวังหลินต่างหาก
‘การจะทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าสนใจ ข้าต้องแสดงพลังของตัวเองออกมา ด้วยระดับบ่มเพาะที่สามารถสังหารผู้สูงส่งชั้นฟ้าได้! จากนั้นข้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการในเผ่าเทพ!’
‘หากมีชื่อเสียงมากพอ มหาชั้นฟ้าจะออกมาตามหาข้าด้วยตัวเอง!’ แววตาหวังหลินเป็นประกายและมุ่งมั่นยิ่งขึ้น
‘จากมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคน จักรพรรดิเทพไม่มีปัญหา ส่วนอีกสี่คน…ข้าไม่รู้เรื่องมหาชั้นฟ้าต้าวยี่ มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงหรือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้มากนัก ข้าเคยเจอเพียงมหาชั้นฟ้าชวงจื่อของสำนักตะวันม่วงเท่านั้น…’ หวังหลินนึกถึงตอนที่เจอทันหลางในโลกถ้ำและเจอสองสาวน้อยชื่อหวาหวาและฮานฮาน
‘ข้าต้องทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าสนใจและทำให้ออกมาตามหาข้าด้วยตัวเอง นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด!’ แววตาหวังหลินเป็นประกายและค่อยๆ หลับตาลง
เขากำลังรอให้บรรพชนผู้สูงส่งชั้นฟ้าของสำนักเต๋ามารให้มาถึง หวังหลินกำลังประคองตัวเองให้อยู่ระดับสูงสุดเพื่อดูว่าสามารถขยายพลังไปได้แค่ไหน
ผู้สูงส่งชั้นทองไม่สามารถใช้วัดความแข็งแกร่งของหวังหลินได้อีกต่อไป มีเพียงเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้นที่ช่วยเขาได้
ขณะที่รอคอย วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารกำลังโดนเขาดูดซับอย่างโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถควบแน่นเส้นชีพจรแห่งที่สองได้ ดังนั้นจึงนำวิญญาณดั้งเดิมของเซียนขั้นที่สามออกมาหลายสิบคน จับขั้นต่ำกว่าวิบากแก่นแท้ออกมาห้าคนและกลืนกินเพื่อสร้างเส้นชีพจรแห่งที่สอง
หลายชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าเริ่มส่องสว่าง หวังหลินกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมที่ต่ำกว่าขั้นวิบากแก่นแท้ไปเก้าดวง วังวนที่สองควบแน่นในทันที!
พอปรากฏเส้นชีพจรเซียนสายที่สอง หวังหลินพลันลืมตาและรู้สึกได้ว่าสามารถร่ายวิชาได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม!
‘เส้นชีพจรแห่งที่สามต้องมาแล้ว!’ หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและหยิบวิญญาณดั้งเดิมที่สูงกว่าขั้นวิบากแก่นแท้ด่านที่ห้าออกมาเจ็ดดวง แต่เพราะไม่มากพอจึงกลืนกินวิญญาณของเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเข้าไปด้วย ร่างกายหวังหลินส่งเสียงดังลั่นและปรากฏเส้นชีพจรเซียนแห่งที่สาม!
หวังหลินสามารถร่ายวิชาจำนวนมากมายได้ในครั้งเดียว แม้แต่ความเร็วของร่างบัญชาโบราณยังเปลี่ยนไปมหาศาล
นี่ช่างแตกต่างจากเซียนที่หวังหลินได้เรียนรู้วิชามา เขาสามารถเพิ่มได้เพียงแต่ความเร็วในการร่ายวิชาเท่านั้น มันไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย นั่นเป็นเพราะวิญญาณดวงแรกที่เขากลืนกินเป็นของเซียนขั้นสวรรค์ดับสูญ ขณะที่หวังหลินกลืนกินวิญญาณดวงแรกคือขั้นแก่นแท้ดับสูญ!
วิญญาณดั้งเดิมกว่าครึ่งที่ถูกหวังหลินกลืนกินไปกำลังจะใช้เพื่อเรื่องอื่น
‘ข้าสงสัยว่าวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารจะสร้างเส้นชีพจรเซียนได้กี่สาย…’ หวังหลินหลับตาและเริ่มสร้างทันที
ยามนี้ท้องฟ้าส่องสว่าง แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า ลำแสงสายหนึ่งข้ามผ่านชายแดนแคว้นเมิ่งตูเข้ามาที่แคว้นมารเขียว เหล่าเซียนต่างสั่นไหวกับลำแสงนี้และไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกมาด้านนอก
ชายแดนระหว่างแคว้นได้ถูกเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเมินเฉยไปอย่างสิ้นเชิง!