Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1922
ราชโองการจากจักรพรรดิเทพได้บอกหวังหลินให้ไปพบเขาที่เมืองหลวง แต่ไม่ได้ระบุวัน ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ได้ไปในทันที
วันเวลาผ่านไปสามปีในพริบตา
ช่วงเวลาสามปีหวังหลินได้สร้างถ้ำขึ้นมาข้างใต้ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของแคว้นเมิ่งตู เขานั่งทำความเข้าใจสิ่งที่ได้จากการต่อสู้กับบรรพชนสำนักเต๋ามาร
หลังจากผ่านสามปีใต้ทะเลทรายไป หวังหลินจึงลืมตาเป็นประกายดุจดวงดาว
‘ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าที่ไม่ได้ใส่เกราะวิญญาณ อย่างมากกำปั้นข้าก็มีได้แค่เก้าวิชาเท่านั้น’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาเบื้องหน้าและบีบแน่น เสียงดังครืนออกมาจากฝ่ามือ
‘แม้จะเป็นเช่นนั้น กำปั้นของข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อสามปีก่อน หากข้าเผชิญกับบรรพชนสำนักเต๋ามารอีกครั้งโดยไม่มีเกราะวิญญาณ ข้าสามารถปะทะกับกำปั้นแรกได้!’
ตอนที่หวังหลินเผชิญหน้ากับกำปั้นแรกของบรรพชนสำนักเต๋ามาร เขาถูกผลักออกไปสามก้าว ตอนนี้ผ่านมาสามปี แม้จะมีระดับบ่มเพาะเท่าเดิมแต่พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
‘น่าเสียดายนัก หลังจากสังเกตอยู่สามปี ข้าได้รู้ว่าวิญญาณผู้สูงส่งชั้นทองสามารถทำให้ข้าสร้างเส้นชีพจรเซียนสายที่หกได้ แต่ต้องใช้ถึงเก้าดวง!’ หวังหลินสัมผัสได้ชัดเจนถึงพลังของเคล็ดเร่งความเร็วตอนที่ต่อสู้กับบรรพชน
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่วิชานี้ทรงพลังเป็นเพราะเส้นชีพจรเซียนที่หวังหลินสร้างขึ้นมานั้นมีคุณภาพสูงมาก แต่ยิ่งมีคุณภาพสูงก็ยิ่งสร้างเส้นชีพจรสายใหม่ได้ยากขึ้น
วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวสำนักเต๋ามารได้เปิดเส้นชีพจรสายที่สี่และห้าขึ้นมา แต่เส้นชีพจรสายที่หกกลับต้องใช้วิญญาณผู้สูงส่งชั้นทองถึงเก้าดวง!
‘การจะสร้างเส้นชีพจรสายใหม่แบบนี้ช่าง…ยากเกินไป เส้นที่หกต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นทองถึงเก้าดวง เส้นที่เจ็ดต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเก้าดวง เป็นไปได้ว่าเส้นที่แปดต้องใช้ผู้สูงส่งชั้นเทวะถึงเก้าดวงอีก…ถ้าแบบนั้นเส้นที่เก้าไม่ต้องใช้มหาชั้นฟ้าถึงเก้าดวงหรอกหรือ…บางทีเส้นที่เก้าอาจจะแค่ใช้มหาชั้นฟ้าคนเดียว…’ หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น
‘เคล็ดเร่งความเร็วจำเป็นต้องฝึกฝน มันเป็นวิชาที่ทรงพลังมากและทำให้ข้าใช้พลังได้เต็มที่!’
‘ระดับบ่มเพาะจริงๆ ของข้าเพียงแค่ขั้นวิบากดับสูญระดับต้นเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดนี้ อย่างมากกำปั้นข้าก็ผสานวิชาได้แค่เก้าเท่านั้น ข้าต้องได้ธาตุโลหะและธาตุไม้เพื่อสร้างร่างแก่นแท้ จากนั้นห้าธาตุผสานเป็นหนึ่ง ระดับบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับกลาง’
‘จากนั้นข้าจะผสานวิชาได้มากขึ้น แค่ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านถึงระดับกลางจะผสานได้มากแค่ไหน!’
‘นอกจากนั้น ข้าต้องต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าให้มากขึ้นและรวบรวมความสนใจจากมหาชั้นฟ้าที่เหลือ…รวมไปถึงข้าต้องค้นหาข้อมูลเรื่องบททดสอบชั้นฟ้าและดูว่าบรรพชนสำนักเต๋ามารพูดจริงหรือไม่’
แววตาหวังหลินทอประกายและยืนขึ้น
‘ข้าต้องมุ่งหน้าไปบททดสอบชั้นฟ้าและดูว่าข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปได้ถึงระดับไหน!’
ร่างหวังหลินปรากฏตัวในทะเลทรายเพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดแขนให้มังกรสมุทรปรากฏขึ้นด้านล่าง มันส่งเสียงร้องคำรามและมีท่าทีเคารพ
หวังหลินก้าวไปบนหัวมังกรสมุทร เจ้ามังกรพุ่งทะยานไปข้างหน้าและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
‘แคว้นเมิ่งตูมีสองสำนัก หนึ่งคือสำนักปฐพีและอีกหนึ่งคือสำนักเมิ่งตู! ทั้งคู่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง แต่มีผู้สูงส่งชั้นทองเพียงคนเดียว ไม่มีผู้สูงส่งชั้นฟ้า!’ หวังหลินตรวจสอบข้อมูลของแคว้นเมิ่งตูจากกระดองเต่า
‘แม้ข้าจะต้องการวิญญาณดั้งเดิมของเหล่าผู้สูงส่งชั้นทอง ทั้งสองสำนักไม่ได้มีข้อบาดหมางอะไรกับข้า ดังนั้นช่างมันเถอะ!’ หวังหลินส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไป เจ้ามังกรสมุทรทะยานไปยังแคว้นสวรรค์ที่เชื่อมต่อกับแคว้นเมิ่งตู
กระดองเต่าบ่งชี้ว่าสำนักสวรรค์แห่งแคว้นสวรรค์มีผู้สูงส่งชั้นฟ้า!
‘แต่ถึงแม้แผนที่ในกระดองเต่าจะดูใหญ่มาก มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้าจำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังสองสำนักของแคว้นเมิ่งตูเพื่อเอาหินหยกแผนที่มา’
หากหวังหลินเข้าสู่แคว้นเมิ่งตูด้วยระดับบ่มเพาะก่อนหน้านี้ ทั้งสองสำนักคงเป็นช้างยักษ์ที่เขาไม่อยากล่วงเกิน ดังนั้นคงต้องหลีกเลี่ยงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันต่างกัน ในสายตาเขาทั้งสองสำนักเป็นแค่สำนักทั่วไปและไม่มีอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัว
‘ที่นี่ใกล้กับสำนักปฐพี ดังนั้นไปที่นั่นก่อน!’ แผนที่ปรากฏขึ้นในใจหวังหลิน ชั่วครู่ต่อมามังกรสมุทรจึงเปลี่ยนทิศทาง มันทะยานตรงไปทางทิศตะวันออกและหายวับอย่างไร้ร่องรอย
แคว้นเมิ่งตูส่วนใหญ่เต็มไปด้วยทะเลทราย ไม่ว่าจะเป็นพายุหรือทรายกองใหญ่พัดขึ้นมาก็สร้างพายุทรายน่าหวาดกลัวได้ทั้งนั้น
พายุทรายเหล่านี้ทั้งรุนแรงและเบาหวิว ระดับเบาคือทำให้คนทั่วไปสั่นเทา แต่พายุทรายระดับรุนแรงอาจทำให้เหล่าเซียนต้องสั่นสะท้านและหลีกเลี่ยง เหตุเป็นเพราะพายุทรายมีพลังแม่เหล็กอันประหลาดที่ส่งผลต่อเหล่าเซียน ทำให้เซียนติดอยู่ข้างในจนแม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็หนีออกไปไม่ได้
โชคดีที่พายุทรายที่มีพลังแม่เหล็กแบบนั้นหาได้ยาก พวกมันขนาดใหญ่และมองเห็นได้แต่ไกลจนพอมีเวลาหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามทางทิศตะวันออกของแคว้นมีอาณาเขตแห่งหนึ่งปกคลุมไปด้วยพายุทรายตลอดทั้งปี ทุกร้อยปีจะมีพายุทรายระเบิดด้วยพลังเต็มที่จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบด้านเลยในตอนนั้น
ปกติแล้วสถานที่แห่งนี้จะมืดมิดและปกคลุมไปด้วยพายุทราย การเข้าไปเป็นเรื่องยากเว้นแต่จะมีวิธีพิเศษ
ในพายุทรายประหลาดนี้มีสำนักแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นเมิ่งตู สำนักปฐพี!
ในแคว้นเมิ่งตูมีสำนักอยู่มากมาย แต่สำนักปฐพีและสำนักเมิ่งตูเป็นหัวเรือสำคัญของแคว้น ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสำนักใหญ่ทั้งสองนี้และพวกเขาปกครองทั้งแคว้น
ยามนี้ ภายในพายุทรายที่สำนักปฐพีตั้งอยู่ พื้นที่รอบบริเวณมืดมน มังกรสมุทรตัวใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา หวังหลินนั่งอยู่บนหัวของมัน เกิดเป็นสายลมกรรโชกรุนแรง
แม้สายลมนี้จะรุนแรงเกินปกติ แต่พอมันกระทบใส่หวังหลินกลับไม่สามารถทำให้เส้นผมขยับแม้แต่เส้นเดียว ราวกับร่างหวังหลินเป็นภาพมายาและไม่ใช่ของจริง
ส่วนเจ้ามังกรสมุทรมันไม่สนใจสายลมเลย มันเผยสายตาเย็นเยียบและจ้องมองไปยังส่วนลึกของพายุทราย
สัมผัสในพายุทรายมีทั้งพลังของสายลมและปฐพี หวังหลินให้มังกรสุทรทะยานไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง สายลมมักรุนแรงเบื้องหน้าแต่เม็ดทรายที่อยู่ใกล้หวังหลินแตกกระจายในทันที
พวกเขาเข้าไปใจกลางพายุทรายอย่างสบายๆ มีแสงสีเหลืองเข้มปกคลุมพื้นที่ระยะหลายหมื่นลี้เพื่อป้องกันพายุทรายพัดเข้ามาข้างใน
ที่นั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของสำนักปฐพี
ทั้งสำนักปฐพีเสมือนสวนอีเดน ราวกับข้างในพายุทรายเป็นสิ่งพิเศษยิ่ง มีทั้งภูเขา สายน้ำไหลผ่านและตำหนักอยู่ทุกที่ รวมถึงมีเหล่าศิษย์จำนวนมากทะยานผ่านพื้นที่บริเวณนี้
สำนักปฐพีมีศิษย์ไม่ถึงสามหมื่นคน ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากอีกเก้าสำนักสิบสามกองกำลังแห่งอื่น สำนักปฐพีต้องการเพียงศิษย์ที่มีพรสวรรค์เท่านั้น ไม่ต้องการศิษย์ทั่วไป!
เหล่าศิษย์มีลำดับขั้นอันเข้มงวดและมีระดับความแตกต่างถึงเก้าระดับ ขณะเดียวกันทรัพยากรที่ศิษย์แต่ละคนจะได้รับก็มากกว่าสำนักอื่นเพราะพวกเขามีแค่สามหมื่นคน!
แต่ละคนต่างใช้ทรัพยากรไปกับการฝึกฝนศิษย์สามหมื่นคน โดยเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น สำนักปฐพียังรวบรวมทรัพยาจำนวนมากมาให้จนเกินจินตนาการ
ในสำนักปฐพี ศิษย์ลำดับหนึ่งมีจำนวนน้อยมากไม่ถึงร้อยคน ส่วนศิษย์ลำดับเก้ามีจำนวนมากที่สุดคือมากกว่าสองหมื่นคน
เวลานี้ตรงจุดที่เป็นที่ตั้งของศิษย์ลำดับห้า มีตำหนักงดงามอยู่แห่งหนึ่ง ศิษย์สองคนกำลังนั่งอยู่ข้างใน
หนึ่งเป็นบุรุษและอีกหนึ่งเป็นสตรี บุรุษอายุราวสามสิบปี ใบหน้าคมคายแต่เปล่งกลิ่นอายเยือกเย็น ระดับบ่มเพาะไม่สูงนัก เพียงแค่ขั้นที่สองในระดับส่องสวรรค์เท่านั้น
สตรีด้านข้างกำลังมองดูบุรุษด้วยสายตาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก
ทว่าในจังหวะนั้นชายที่กำลังนั่งเกิดอาการสั่นเทารุนแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดและส่งเสียงคำรามอู้อี้ในลำคอ
ท่าทีเปลี่ยนไปนี้ทำให้สตรีมีสีหน้าเปลี่ยน นางวางแขนไว้บนหน้าอกของบุรุษและใส่ระดับบ่มเพาะของตัวเองเข้าไปในร่างเขา
ครู่ต่อมาใบหน้าเจ็บปวดก็ทุเลาลงและเขาลืมตาตื่น เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากอีกฝ่ายพลางกัดริมฝีปากและเอ่ยขึ้น “ท่าน…ท่านลองมาแล้วหลายครั้ง อย่าพยายามอีกเลย…ความฝันนั่น สำคัญขนาดนั้นจริงๆหรือ?”
บุรุษขบคิดและมองออกไปนอกหน้าต่าง ผ่านไปสักพักจึงสงบลงได้
“ความฝันนั่นสำคัญมาก!!”
“สำคัญมากกว่าข้า?” นางกัดริมฝีปากจนโลหิตซึม
สายตาบุรุษเกิดความสับสน
“ความฝันนี้อยู่กับข้ามาเกือบสองร้อยปี…มีคนผู้หนึ่งในความฝันนั้น ข้าไม่เห็นรูปลักษณ์ของนางชัดเจน แต่ข้ารู้สึกเหมือนข้าอยู่เพื่อนาง…ดูเหมือนนางคือภรรยาข้าในชาติก่อน…”
“มันก็แค่ความฝัน ฉิง มันก็แค่ความฝัน!!” แววตาของนางมีคราบน้ำตา นางมองบรุษที่นางรักใคร่มากกว่าร้อยปี
“มันแค่ความฝันใช่หรือไม่…” บุรุษชื่อฉิงยิ่งสงสัยมากขึ้น
“มันก็แค่ความฝัน…” นางร้องไห้พลางกอดบุรุษเหมือนกลัวว่าจะสูญเสียเขาไป นางพูดคำเดิมกับเขาอย่างต่อเนื่อง
“มันเป็นแค่ความฝันจริงๆ ใช่หรือไม่…” เขาหลับตา
วินาทีที่บุรุษกำลังสับสน หวังหลินทะยานผ่านม่านแสงไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง หวังหลินผ่านพายุทรายและรู้สึกถึงพลังแม่เหล็กข้างในแต่ก็เมินเฉย
มังกรสมุทรหยุดลง ทว่าสายตาจ้องมองสำนักปฐพีตรงหน้าอย่างเย็นเยียบ
“จ้าวสำนักปฐพี เหล่าบรรพชน รีบออกมา!” หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกไปดุจสายฟ้าแล่นผ่านไปทั่วสำนักปฐพี มันส่งเสียงดังกึกก้องในใจเซียนทุกคนรวมถึงชายที่กำลังสับสน
………………………………………………………