Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1934 หนึ่งชายหนึ่งหญิง
ด้านนอกม่านแสง ฝ่ามือที่กำลังโจมตีพลันติดเข้าไปในม่านแสง มองไกลๆ ราวกับเป็นปลาดาวที่มีหัวยื่นออกมา
การเข้าประชิดม่านแสงทำให้อักขระประหลาดตรงกลางฝ่ามือแสดงให้หวังหลินและไฮ่จื่อเห็นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามนี่ไม่มากพอให้สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป สิ่งที่พวกเขาตกตะลึงคือฝ่ามือนั้นยืดยาวออกทันที เพียงพริบตาเดียวมันยืดจากพันฟุตมาถึงหมื่นฟุต!!
ฝ่ามือขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตามันก็ยาวถึงแสนฟุตและห่อหุ้มม่านแสงครึ่งวงกลมแห่งนี้!
ม่านแสงเกิดการสั่นอย่างรุนแรง แผ่กระจายระลอกคลื่นเสียงดังสนั่นและทำให้ม่านแสงกลายเป็นสีดำสนิท
กระนั้นแล้วตราบใดที่หวังหลินและไฮ่จื่อรวบรวมระดับบ่มเพาะไปที่ดวงตาก็จะสามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน หวังหลินขบคิดอย่างเงียบงันและสังเกตได้ว่าเรือนผมของตัวเองกำลังลอยตามสายลมอย่างช้าๆ
ไฮ่จื่อแววตาเป็นประกายและเอ่ยขึ้น “มันกลืนกินม่านแสงป้องกันของข้าแล้วและกำลังเคลื่อนไหว!”
“มันเป็นอะไรกันแน่?” ไฮ่จื่อมองหวังหลิน
หวังหลินอยู่ห่างออกไปพันฟุต จดจ้องแขนซ้ายของตัวเองที่กำลังฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยออกมา
“ผนึกของต้นไม้ทะเลขุนเขา!”
ไฮ่จื่อหน้าซีดและยิ้มอย่างขมขื่น แต่นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่นั่งลงและมองรอบด้านอันมืดมน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
ไม่นานนักเกราะวิญญาณของหวังหลินก็หายไป สัมผัสความเหนื่อยล้าเข้าถาโถมจิตใจหวังหลิน
หวังหลินถอนหายใจพลางมองขึ้นไปและเอ่ยกล่าว “ข้ากลัวว่าอาจารย์เจ้าจะไม่สามารถหาที่นี่พบในเวลาอันสั้นได้ ฝ่ามือนั่นกลืนกินม่านแสงและน่าจะป้องกันการเชื่อมต่อภายนอกทั้งหมดเหมือนกับผนึก”
“เจ้าควรเอาไปแค่จิตวิญญาณต้นไม้ทะเลขุนเขา ทำไมไปยุ่งอะไรกับผนึกต้นไม้นั่น? ผนึกนี่บรรพชนเทพวางเอาไว้ เจ้ามัน…” ผ่านไปสักพักไฮ่จื่อจึงมองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อน
หวังหลินมองไฮ่จื่อและเอ่ยขึ้น “หากข้าไม่ต้องช่วยเจ้า ข้าก็คงออกไปจากทะเลขุนเขาได้แล้ว”
ไฮ่จื่อขบคิดเงียบๆ ทันที
เวลาผ่านไปด้วยความเงียบ พริบตาเดียวผ่านไปถึงสามวัน
ทั้งสองยังคงไม่พูดคุยกัน ไฮ่จื่อมองไปที่ม่านแสง แววตาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ส่วนหวังหลินนั้นหลับตาบ่มเพาะ เขามองจิตวิญญาณต้นไม้ทะเลขุนเขาและเริ่มดูดซับมัน
ไฮ่จื่อเงียบไปสามวัน หลังจากเห็นหวังหลินดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ นางอดไม่ได้พี่จะถาม “ระดับบ่มเพาะของเจ้าประหลาดมาก เจ้าอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับต้นชัดๆ แต่กลับมีพลังเท่าผู้สูงส่งชั้นฟ้า แม้จิตวิญญาณต้นไม้ขุนเขาทะเลจะช่วยเซียนสร้างแก่นแท้ไม้ขึ้นมาได้ แต่ในระดับวิบากดับสูญ แม้จะเป็นแก่นแท้อีกเล็กน้อยก็ไม่ช่วยให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น เจ้าต้องการอะไร?”
หวังหลินไม่ได้อธิบายมากนัก เขาลืมตาและชำเลืองไปที่ไฮ่จื่อพลางเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่เหมือนกับเจ้า”
“เจ้าดูเหมือนไม่กังวลหรือเร่งรีบนี่นา” ไฮ่จื่อขมวดคิ้วอย่างน่ารัก
หวังหลินพลางหลับตาเงียบๆ และดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ที่อยู่ในร่างกาย
พอไฮ่จื่อเห็นหวังหลินหลับตาและเมินเฉย นางก็บุ้ยปากแต่ก็พูดต่อไป “ม่านแสงป้องกันของข้าถูกกลืนกิน หากเป็นตามที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ ข้ากลัวว่าอาจารย์จะหาเราเจอได้ยากมากในชั่วเวลาสั้นๆ แม้จะมาที่ทะเลขุนเขาได้ หากต้องผลักฝ่ามือไปทางอื่นยังต้องใช้เวลามากกว่านี้”
“เราสูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอก เจ้าไม่กังวลเลยหรือ?”
พอเห็นว่าหวังหลินยังไม่ยอมพูด ไฮ่จื่อก็เริ่มจ้องมอง ผ่านไปสักพักนางเริ่มโกรธเกรี้ยวและเผยท่าทีหดหู่
“มีเราแค่สองคนที่นี่ เจ้าทำเหมือนเป็นต้นไม้และไม่ยอมพูด เจ้าแค่ดูข้าพูดกับตัวเอง มันน่าสนใจนักหรือ!”
หวังหลินลืมตา เขามองไฮ่จื่อด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
“หากเจ้าหยุดขัดขวางข้า ข้าคิดว่าสภาพแวดล้อมนี้เหมาะสมต่อการบ่มเพาะยิ่ง”
“เจ้า!!” ไฮ่จื่อยืนขึ้นและพ่นลมหายใจทันที นางหันร่างกลับและเดินออกไป นางอยู่ห่างหวังหลินมากกว่าหมื่นฟุตและเมินเฉยต่อกัน
พอเห็นไฮ่จื่อออกไปแล้ว หวังหลินจึงหลับตาและตั้งสมาธิกับการดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ อย่างไรก็ตามเขายังทิ้งสัมผัสวิญญาณเอาไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ส่วนเจ้ามังกรสมุทร มันขดตัวอยู่รอบหวังหลินและจ้องมองเจ้าปลาหมึกอย่างดุร้าย พวกมันไม่ได้ร้องคำรามแต่ส่งสายตาคล้ายกับโยนคำพูดมากมายเข้าใส่กัน ดุจการประชันกันทางสายตา
เวลาผ่านไปในลักษณะนี้ สิบวัน ยี่สิบวัน หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…
ผ่านไปสี่เดือนในพริบตา
เวลาสี่เดือนนี้หวังหลินไม่พูดอะไรออกมาเลยและเพ่งสมาธิพูดซับจิตวิญญาณต้นไม้อย่างเดียว
เจ้ามังกรสมุทรที่ได้ประลองสายตากับเจ้าปลาหมึกมาสี่เดือน มันไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยและมุ่งมั่นอย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม เจ้าปลาหมึกดูเหมือนเหนื่อยเล็กน้อยแต่ไม่ยอมแพ้ ทั้งสองจ้องมองกันไปตลอดสี่เดือน
“หวัง…หวังหลิน มีบางอย่างผิดปกติ…” หลังจากผ่านมาสี่เดือน ไฮ่จื่อดูกังวล นางเดินเข้ามาและนั่งอยู่ห่างจากหวังหลินสองร้อยฟุต
หวังหลินลืมตามองไฮ่จื่อ เขาไม่ได้พูดกับนางตลอดสี่เดือน ใบหน้างดงามของอีกฝ่ายดูอ่อนล้าเล็กน้อย แต่ความงดงามยังประทับตราตรึงเหมือนก่อน
“เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์จะไม่เจอเราเลยในเวลาสี่เดือน…ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าข้าตกอยู่ในอันตราย แม้จะมีฝ่ามืออยู่ที่ทะเลขุนเขา อาจารย์ก็คงสามารถทำนายได้ว่าอยู่ไหน การที่เขาจะไม่เจอข้าเลยในสี่เดือนถือว่าเป็นไปไม่ได้” ไฮ่จื่อเผยความกังวล ขณะที่ถูกขังอยู่ที่นี่สี่เดือน นางไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้และรู้สึกแย่อยู่ตลอด
หวังหลินเอ่ยขึ้น “มีความเป็นไปได้สามแบบ”
“ความเป็นไปได้แรก ฝ่ามือนี้ออกไปยังที่ที่ไม่มีใครตรวจจับได้ แม้แต่การพยากรณ์ก็ไม่สามารถหาพบ!”
“ความเป็นไปได้ที่สอง อาจารย์เจ้าไม่ได้ออกมาช่วยเจ้าในทันทีเหมือนที่เจ้าคิด”
“เป็นไปไม่ได้! หากอาจารย์รู้ว่าข้าตกอยู่ในอันตราย เขาจะออกมาทันที! ส่วนเรื่องความเป็นไปได้แรกมันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ด้วยระดับบ่มเพาะของอาจารย์ ไม่มีที่ไหนในแผ่นดินเทพที่เขาไม่สามารถทำนายได้!” ไฮ่จื่อรีบพูด จากนั้นมองหวังหลินและลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง
“เจ้าควรจะเดาได้ อาจารย์ข้าคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้!”
หวังหลินมีท่าทีเหมือนเดิมและไม่ประหลาดใจ ตอนนั้นนางนำขวดยาที่มีคำว่า “ตี้” ออกมา ซึ่งเขาก็พอคาดเดาได้ ที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเป็นศิษย์ใครสักคนจึงมั่นใจว่าอาจารย์ของนางต้องมีพลังแข็งแกร่งเป็นแน่
พอรวมทั้งสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันทำให้เดาว่าอาจารย์ของนางคือมหาชั้นฟ้า รวมกับคำว่า “ตี้” เข้าไปแล้วนอกจากจักรพรรดิเทพก็มีอีกคนที่พอเข้าเงื่อนไขคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ซึ่งอยู่ในแคว้นกลาง
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่สาม หลังจากฝ่ามือกลืนกินม่านแสงเข้าไปแล้ว เวลาจึงไหลแตกต่างจากโลกด้านนอก บางทีร้อยปีที่นี่เพียงแค่โลกด้านนอกวันเดียว” หวังหลินพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง
ไฮ่จื่อหน้าซีดทันที นางเป็นคนฉลาดและคิดเรื่องนี้ขึ้นเช่นกัน แต่พอได้ยินว่าหวังหลินมีความคิดแบบเดียวกันจึงมั่นใจประมาณหกถึงเจ็ดส่วน
“แม้อาจารย์จะมอบม่านแสงนี้ให้ข้า มันก็คงอยู่ไม่ได้ถึงร้อยปี…เมื่อมันแตกขึ้นมา…” ฝ่ามืออันน่ากลัวปรากฏขึ้นในสายตาของนาง
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ม่านแสงพลันส่งเสียงดังและสั่นเทา มันหดตัวลงจากแสนฟุตไปเหลือเก้าหมื่นฟุต!
ร่างเลือนลางหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดมิดด้านนอกม่านแสง ร่างนั้นลอยเคว้งคว้างและมองหวังหลินกับไฮ่จื่อ เปล่งกลิ่นอายอำมหิต
“ค้นพบวิญญาณนอกแผ่นดินเซียนดารา ผนึก!” ร่างเลือนลางพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่ม่านแสงหดตัวลง ไฮ่จื่อมองขึ้นไปเห็นร่างสีดำด้านนอก
หวังหลินเองก็เห็นร่างนั้นด้วยเช่นกัน แววตาพลันกะพริบเย็นเยียบและเอ่ยกล่าว “ลดม่านแสงลงให้เหลือพันฟุตเพื่อให้มันต้านทานได้นานกว่านี้”
ขณะที่เขาพูดขึ้น หวังหลินสะบัดแขนใส่มังกรสมุทร เจ้ามังกรเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีฟ้าและถูกหวังหลินเก็บกลับไป ไฮ่จื่อลังเลเล็กน้อยและเก็บเจ้าปลาหมึกไปด้วย นางสร้างผนึกและโบกสะบัดใส่ม่านแสงให้หดตัวลงจากหมื่นฟุตไปเหลือพันฟุต
ขณะเดียวกันหวังหลินและไฮ่จื่อจึงกลายเป็นคนสองคนที่อยู่ในม่านแสง
ไฮ่จื่อถอนหายใจ นางนั่งอยู่มุมหนึ่งและหลับตาบ่มเพาะ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เดือนที่สี่ เดือนที่หก…ไม่นานนักเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี
หนึ่งปีเป็นเวลาที่ไม่ยาวนานนัก แต่หนึ่งชายหนึ่งหญิงถูกขังอยู่ในพื้นที่ระยะพันฟุตดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ยาวนานไปเล็กน้อย
หวังหลินขมขื่นเล็กน้อยเนื่องจากเคยชินกับความโดดเดี่ยว เขาใช้เวลานี้เพื่อผสานจิตวิญญาณสองดวงของต้นไม้ ทำให้แก่นแท้ไม้แตกหน่อออกมาในร่างห้าธาตุและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทว่าหลังจากเงียบงันมาแปดเดือน ไฮ่จื่อได้ลืมตางดงามของนางและมองมาที่หวังหลิน ชายหนุ่มก่อนหน้านี้ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังแต่ก็ทำให้รู้สึกซับซ้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ไฮ่จื่อเอ่ยกล่าวเบาๆ “นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มบ่มเพาะ ข้าไม่เคยอาศัยอยู่กับคนแปลกหน้าเป็นเวลาหนึ่งปี เจ้า…ข้ารู้แต่เจ้าชื่อหวังหลิน ซึ่งนั่นเจ้าเป็นคนบอกข้าเอง แล้วเจ้ามาจากสำนักไหน?”
…………………………………………………