Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1935 ฝ่ามือของใคร!
“สำนัก…” หวังหลินตื่นจากการบ่มเพาะและรำลึกความหลัง
ผ่านไปสักพักจึงพูดออกมา “ข้ามาจากสำนักเจ็ดเต๋า”
“สำนักเจ็ดเต๋า?” ไฮ่จื่อคิดเพียงชั่วครู่ นางนึกถึงสำนักทรงพลังทั้งหมด ดูเหมือนจะไม่มีชื่อสำนักเจ็ดเต๋า
“แผ่นดินทิศตะวันออก สำนักเจ็ดเต๋า เป็นสำนักเล็กมาก…” หวังหลินถอนหายใจ ตอนนี้พอมีคนถามเขาเรื่องสำนัก จึงรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้างแล้ว
ไฮ่จื่อพูดขึ้น “ข้าไม่มีสำนัก ข้าติดตามอาจารย์ตั้งแต่เด็ก ข้าเติบโตบนภูเขาจักรพรรดิ”
“ภูเขาจักรพรรดินั้นงดงามมาก ช่วงเข้าฤดูมันจะเต็มไปด้วยใบไม้สีแดงราวกับเปลวเพลิง…หากเจ้ามีโอกาส เจ้าควรไปเห็นภูเขาจักรพรรดินะ”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน บรรยากาศพิเศษแผ่กระจายอยู่ภายในพื้นที่ระยะพันฟุต
“ด้วยพลังต่อสู้ระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้าของเจ้า ข้าเดาว่ามหาชั้นฟ้าต้าวยี่แห่งทิศใต้คงเชิญชวนเจ้าบ้างแล้ว…เจ้าได้ตกลงหรือไม่?” ไฮ่จื่อส่งสายตาน่ารักไปที่หวังหลิน
“ไม่” หวังหลินส่ายศีรษะ
หลังจากได้ยินคำพูดเขา ไฮ่จื่อก็ยิ้มและกระซิบ “อาจารย์ข้าเป็นคนดีมาก…ทำไมเจ้าไม่ติดตามเขา…”
“ตอนนี้ข้ายังตัดสินใจไม่ได้” หวังหลินไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่ถ่วงเวลา
“เจ้าบ่มเพาะมานานแค่ไหนแล้ว?” ไฮ่จื่อถามขึ้น
“บางทีอาจไม่ได้นานเท่ากับเจ้า” หวังหลินขมวดคิ้ว
พอไฮ่จื่อได้ยินแบบนี้ นางก็ป้องปากและหัวเราะ เป็นครั้งแรกที่นางเกิดอาการแบบนี้
“ด้วยระดับบ่มเพาะของเจ้าแต่กลับมีพลังผู้สูงส่งชั้นฟ้าแบบนี้ เจ้ากลับไม่รีบที่จะจากไป นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีคู่บ่มเพาะ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่เจ้าจะไม่กังวลเลย” นางเอ่ยพลางหัวเราะไปด้วย
หวังหลินขมวดคิ้วอีกครั้งและมองสตรีคนสวยเบื้องหน้า เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างประหลาดเกี่ยวกับนาง บางอย่างที่แตกต่างจากที่เขารู้สึกมาก่อน
“พอเห็นว่าเราทั้งคู่ถูกขังไว้ที่นี่และเจ้าไม่ทิ้งข้าไว้คนเดียว ให้พี่สาวแนะนำเจ้าให้คนอื่นดูไหม?” ไฮ่จื่อดูสนใจหัวข้อนี้มากพลางอธิบายให้หวังหลิน
“รูปลักษณ์ธรรมดาแต่มีบรรยากาศพิเศษ ไม่เลวดี”
“ระดับบ่มเพาะธรรมดาแต่มีพลังต่อสู้ระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า นี่ก็ยอดเยี่ยม”
“โดยรวมยังดูดี เอาแบบนี้ไหม เมื่อเราออกไปได้ พี่สาวจะช่วยเจ้าหาคู่ฝึกฝนให้” ไฮ่จื่อแววตาเป็นประกาย นางมองหวังหลินและเม้มปากอย่างมีเสน่ห์
หวังหลินแววตาเป็นประกายและเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “เก็บวิชาเสน่ห์ของเจ้ากลับไปซะ!”
ไฮ่จื่อขมวดคิ้วและพอนางกำลังจะพูด แววตาหวังหลินปลดปล่อยแสงสีทองดูมีอำนาจบารมีและยังมีพลังสะกดข่มออกมาจากดวงตา ไฮ่จื่อพูดไม่ออกไปสักพัก
“หากเจ้าอยากพูดกับใครสักคนหลังจากโดนขังไว้ที่นี่นานเกินไป เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าหาคนมาพูดด้วย!” เพียงหวังหลินเอ่ยขึ้น ร่างเงาหนึ่งปรากฏกลายเป็นร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารเดินออกมาและนั่งคั่นกลางระหว่างเขากับไฮ่จื่อ
“คุยกับร่างอวตาร อย่าขัดขวางการฝึกฝนของข้า!” หวังหลินลุกขึ้นและเดินออกไปมุมไกลที่สุดจากไฮ่จื่อ เขานั่งลงหลับตาอีกครั้งเพื่อหลอมจิตวิญญาณต้นไม้
ไฮ่จื่อตกตะลึง นางไม่คิดว่าหวังหลินจะใช้วิธีนี้ นางขมวดคิ้วและมองร่างแก่นแท้สายฟ้าสังหารที่เปล่งกลิ่นอายเยือกเย็นออกมาจ้องนาง นางพ่นลมหายใจและเริ่มบ่มเพาะไปด้วย
‘ผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อมีบางอย่างแปลกประหลาด!’ พอร่างดั้งเดิมของหวังหลินนั่งลงบ่มเพาะ เขามองไฮ่จื่อและหรี่ตาลงแทบตรวจจับไม่ได้
‘เดิมทีข้าคิดว่าฝ่ามือนั่นมีบางอย่างเปลี่ยนไป จนตอนที่มันปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันไม่ได้เข้ามาหาข้าแต่โจมตีนางก่อน…’
‘พอมองดูตอนนี้ ดูเหมือนมีความลับบางอย่าง…’ การเปลี่ยนแปลงต่อไฮ่จื่อนั้นประหลาดมากแต่หวังหลินไม่สังเกตความผิดปกติอันใดราวกับนางมีวิญญาณสองดวงในร่างกาย ถึงเขาจะใช้ดาบของบรรพชนเทพในดวงตาแต่ก็ไม่พบอะไรเช่นกัน
‘อันดับแรก ไฮ่จื่อทำให้ข้ารู้สึกว่านางปกติ แต่ดูเหมือนนางจะดื้อด้านเล็กน้อย’ หวังหลินขมวดคิ้วไปชั่วครู่ จากนั้นไม่สนใจเรื่องนี้และตั้งสมาธิดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ต่อไป
พริบตาเดียวผ่านไปสามปี
ช่วงเวลาสามปีหวังหลินไม่สนไฮ่จื่อเลย เขาดูดซับจิตวิญญาณต้นไม้ไปเรื่อยๆ ทำให้แก่นแท้ไม้ในร่างกายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาสามปีเขาดูดซับไปแล้วถึงสี่ดวงและทำให้แก่นแท้ไม้สำเร็จมาหนึ่งระดับ
บนผิวกายหวังหลินปรากฏลวดลายสีเขียว ราวกับเป็นเส้นชีพจรของต้นไม้ ทำให้หวังหลินดูแปลกตาขึ้นไปอีก
ช่วงเวลาสามปี ไฮ่จื่อไม่พูดออกมาเลยสักคำและบ่มเพาะเหมือนกับหวังหลิน บางครั้งท่าทีของนางก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่านางกำลังบ่มเพาะวิชาอะไร
ช่วงเวลาสามปีเกิดเสียงดังกึกก้องจากด้านนอกนานๆ ครั้ง ราวกับมีพลังรุนแรงตีเข้าใส่ม่านแสง ยิ่งเวลาผ่านไปมันยิ่งกลายเป็นเรื่องปกติ
ม่านแสงขนาดพันฟุตเผยสัญญาณหดตัวลงตลอดสามปีที่ผ่านมา
พอถึงเดือนที่สี่ต่อจากสามปี เสียงดังมากขึ้นกว่าเดิมจนขัดขวางการบ่มเพาะของหวังหลินและทำให้เขามองขึ้นไป
หวังหลินสีหน้าเปลี่ยนไปและก้าวไปข้างหน้า พอเขาก้าวเดิน ม่านแสงก็หดลงในทันที!
มันหดลงไปครึ่งทางจนเหลือห้าร้อยฟุต! ไฮ่จื่อเองก็ตื่นขึ้นและก้าวออกมาเช่นกัน
เสียงดังกึกก้องอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยๆ หายไปจนม่านแสงหดลงเหลือเพียงห้าร้อยฟุต! ระยะห้าร้อยฟุตทำให้หวังหลินและไฮ่จื่อใกล้กันมากจนมองเห็นกันได้
“ดูเหมือนม่านแสงนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงสิบปี…มันหดลงต้านทานกับฝ่ามือ แต่แค่เพียงสามปีก็หดลงเหลือห้าร้อยฟุตแล้ว…”
“หากมันยังขนาดแสนฟุตเหมือนก่อนหน้านี้ มันอาจจะพังทลายไปแล้ว” ลักษณะท่าทางและการพูดของไฮ่จื่อแตกต่างจากหลายปีก่อน ดูเหมือนนางกลับมาเป็นปกติแล้ว
“ข้ากลัวว่าอีกไม่นานระยะห้าร้อยฟุตนี้จะหดลงจนม่านแสงพังทลายไป…” ไฮ่จื่อขมวดคิ้วและเผยท่าทีทำอะไรไม่ได้
หวังหลินมองไปที่ม่านแสงและเห็นร่างเลือนลางซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด ร่างนั้นดูเหมือนกำลังมองกลับมาที่เขาด้วย
วินาทีที่สองสายตาประสานกัน จิตใจหวังหลินสั่นสะท้าน ราวกับสายตาจากร่างในความมืดมีพลังประหลาดที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ ร่างกายเต็มไปด้วยความร้อนรน
หวังหลินเปล่งสายตาเป็นประกายเจิดจ้าและกลับมามีสติในทันที
“มันยังจ้องมาที่เรา…เฝ้าดูเราทุกการเคลื่อนไหว มันทำแบบนี้มาตลอดสามปี” ไฮ่จื่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาหวาดกลัว
หวังหลินพูด “มันคือฝ่ามือนั่น!”
“แต่มันเป็นฝ่ามือของใคร?” หวังหลินเป็นประกาย ไฮ่จื่อตกตะลึงเมื่อเห็นหวังหลินลอยทะยานขึ้นไป
การเคลื่อนไหวของหวังหลินทำให้ไฮ่จื่อเกิดความกังวลและกำลังจะตามไป
“ไม่ต้องขึ้นมา ถ้าเจ้าคิดว่าข้ามีบางอย่างผิดปกติ ปลุกข้าให้ตื่นด้วย!” หวังหลินไม่ได้หันกลับไปแต่เสียงของเขาดังกึกก้องในใจไฮ่จื่อ
ไฮ่จื่อหยุดชะงักและเฝ้าดูแผ่นหลังของหวังหลินกำลังทะยานขึ้น นางนึกถึงตอนที่เขาเข้าไปขวางฝ่ามือให้เมื่อหลายปีก่อน
หวังหลินเข้าไปใกล้ขอบม่านแสงจนกระทั่งอยู่ห่างไม่ถึงสามฟุต พอเขาเข้าไปใกล้ ร่างนั้นก็เลื่อนเข้ามาหา
ร่างนั้นหยุดลงห่างจากม่านแสงสามฟุตเช่นกัน ระยะห่างทั้งสองคือหกฟุต!
มันเป็นใบหน้าที่ไร้ผิวหนัง เป็นก้อนโลหิตล้วนและดูน่ากลัวถึงขีดสุด ทว่ามันกลับมีสัมผัสแห่งบารมีที่ไม่อาจเอ่ยอออกมาได้ แต่โดยรวมทั้งหมดนั้นพล่าเลือน มีเพียงแขนซ้ายที่เป็นรูปร่างดูสมจริงเพราะมันมีผิวหนัง!
หลังจากเห็นใบหน้าของมัน หวังหลินหรี่ดวงตาและแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ราวกับมีสายฟ้านับล้านเส้นระเบิดอยู่ในจิตใจจนร่างกายสั่นเทา!
ดวงตาของใบหน้าไร้ผิวหนังของอีกฝ่ายกำลังเผยแสงประหลาดคล้ายกับทะลวงเข้าไปในตาหวังหลิน
จิตใจหวังหลินดังสนั่นและหมดสติ ในใจเขามีสายตาหนึ่งคู่อยู่ด้านนอก มีสัมผัสแปลกประหลาดบอกไม่ถูกได้เปลี่ยนกลายเป็นเสียงดังกึกก้อง
“เข้ามา…เข้ามา…เข้ามา…”
ขณะที่เสียงดังสนั่น เสียงหัวใจหวังหลินเต้นดังรัวดุจสายฟ้าเข้าต่อต้านเสียงนั้น หวังหลินตื่นขึ้นทันทีและได้ยินเสียงที่วิตกกังวลของไฮ่จื่อ กลิ่นหอมพัดเข้าหาเขาเนื่องจากนางเข้ามาใกล้หวังหลินแล้ว
“ข้าสบายดี” หวังหลินพูดขึ้น เขาอยู่ห่างจากม่านแสงเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น อีกแค่ก้าวเดียวก็เดินออกไปจากม่านแสงไปแล้ว
พอหวังหลินตื่นขึ้น ร่างพร่าเลือนจึงส่งเสียงคำรามและทุบใส่ม่านแสงจนกะพริบรุนแรงแต่ไม่พังทลาย
“บรรพชนเทพ…” สายตาหวังหลินมองทะลุผ่านม่านแสงลงไปจับจ้องร่างอีกฝ่าย
……………………………………………………