Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1940 หลอกสวรรค์เพื่อข้ามทะเล
‘สำนักตงหลินมักจะลี้ลับอยู่เสมอในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ข้าสงสัยว่าพวกนั้นจะมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือไม่!’ กระดองเต่าและแผนที่หินหยกที่หวังหลินมีนั้นมีข้อมูลเรื่องสำนักตงหลินอยู่น้อยมาก
ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สำนักแทบไม่ส่งคนออกมาด้านนอกเลยและทั้งยังแทบไม่สื่อสารกับคนอื่น
‘ในเมื่อสำนักแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ก็ไม่ควรประมาท แต่ถึงจะมีเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้า ก็ไม่มีปัญหา’ หวังหลินขบคิดและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปหาสำนักตงหลิน เขาพลันหยุดชะงัก
ขณะที่เขาแผ่สัมผัสวิญญาณออกไป หวังหลินสัมผัสแรงผันผวนอันคุ้นเคยในเมืองของคนธรรมดาที่ห่างออกไปหลายแสนลี้ หวังหลินวางผนึกใส่คนที่มาเกิดใหม่ทั้งหมด ถ้าไกลเกินไปเขาจะตรวจจับไม่ได้ แต่เมื่อเข้าใกล้ได้มากพอก็จะสัมผัสได้
‘ความผันผวนนี้ เป็นใครกันนะ…’ หวังหลินยิ้มและมีท่าทีคาดหวัง เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใครเหมือนตอนที่พบโจวยี่และฉิงซวง
หวังหลินตรวจจับได้เท่านั้นและระบุตัวตนได้ยาก เว้นแต่จะเห็นด้วยตาตัวเอง
นอกจากนี้ผนึกได้วางใส่ทุกคนพร้อมกัน แต่ละคนจึงไม่มีความแตกต่างมากนัก
หวังหลินเผยรอยยิ้มแห่งความยินดี การได้เจอสหายเก่าในต่างแดนทำให้หวังหลินมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที
พริบตาเดียวเขาเปลี่ยนความคิดที่จะมุ่งหน้าไปสำนักตงหลินและทะยานเข้าหาเมืองธรรมดาที่ห่างออกไปหลายแสนลี้
ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงสามารถข้ามผ่านระยะนี้ได้ในพริบตาเดียว ยิ่งเข้าไปใกล้เมืองยิ่งรู้สึกรุนแรงมากขึ้น เขาลอยมาถึงด้านบนเมืองและมองลงไปเห็นชายชราผมขาวมีกลิ่นอายแห่งเทพอยู่ในเมือง หวังหลินเผยท่าทีประหลาดใจ
ชายชราผู้นี้คือต้นตอของผนึกที่ผันผวน!
แม้จะไม่มีความผันผวน หวังหลินก็สามารถจดจำใบหน้าอันคุ้นเคยของชายชราผมขาวคนนี้ได้!
‘หลิวจินเปียว!’ หวังหลินประหลาดใจพลางมีรอยยิ้มประทับบนใบหน้า
‘หลิวจินเปียวรู้แจ้งเต๋าแห่งการหลอกลวง หลังจากเกิดใหม่เขาก็ยังเดินบนเส้นทางเดิม…’ ด้วยความรู้แจ้งและเข้าใจหลิวจินเปียว หวังหลินจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมหลิวจินเปียวถึงมีคนเกือบร้อยคนล้อมรอบ
ด้วยสัมผัสความภูมิใจที่ซ่อนอยู่ของหลิวจินเปียวและคนรอบกาย หวังหลินอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างขึ้น แต่รอยยิ้มส่วนหนึ่งเป็นรอยยิ้มขมขื่นจากการปวดหัว
‘หลอกลวงคนธรรมดา…หลิวจินเปียวเป็นคนที่สามารถหลอกได้แม้แต่เซียน ทำไมถึงไปหลอกคนทั่วไป? มีระดับบ่มเพาะผันผวนออกมาจากร่างเขา หลายปีที่ผ่านมาเขาได้บรรลุระดับขั้นแกนลมปราณ’
‘ใช้ระดับบ่มเพาะนี้หลอกลวงคนธรรมดา ข้าสงสัยจริงว่าเขาคิดอะไรอยู่’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางเฝ้าดูและขบคิด หวังหลินไม่ได้กระตุ้นความทรงจำของหลิวจินเปียวในทันทีแต่เฝ้าดูว่าเขาจะหลอกลวงอีกฝ่ายอย่างไร
หากหวังหลินไม่ต้องการให้คนอื่นจับสังเกตได้ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มองเห็นเขา
หลิวจินเปียวเข้าไปในเมืองพลันเกิดการสั่นเทาและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแย่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นฉับพลันและเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขามองรอบๆ อย่างละเอียดและมองท้องฟ้า ทั้งยังประหลาดใจมาก
‘น่าประหลาด ทำไมข้ารู้สึกแบบนี้…ข้ารู้สึกเหมือนเด็กที่เจอกับพ่อแม่หลังจากไปทำอะไรแย่ๆมา…น่าประหลาดจริง’ หลิวจินเปียวขมวดคิ้วและระงับความสงสัยเอาไว้ โชคดีที่มันอยู่เพียงแค่ชั่วครู่เดียว
หลังจากเข้ามาในเมือง สามวันก็ผ่านไปในพริบตา ช่วงสามวันนี้มีคนที่มีชื่อเสียงในเมืองพาเหล่าเด็กๆ มาหาหลิวจินเปียว เขามองดูเด็กเหล่านั้นด้วยสายตาเอ็นดูและออกไปจากเมืองในวันที่สี่พร้อมกับเด็กห้าคน
ในห้าคนมีเด็กชายสามคนและเด็กหญิงสองคน คนที่แก่ที่สุดอายุสิบสามปีและเยาว์วัยที่สุดอายุแปดปี
หลิวจินเปียวพาเด็กทั้งห้าคนไปบนเก้าอี้และทะยานขึ้นสู่อากาศพร้อมกับสายตาเคารพและตื่นเต้นของทุกคน
ช่วงสามวันที่ผ่านมาหวังหลินเฝ้าดูการกระทำของหลิวจินเปียวและขมวดคิ้วขึ้นไปอีก
‘หลิวจินเปียวกำลังทำอะไร? เขาไม่ได้หลอกลวงอะไรใคร พาเด็กห้าคนที่มีพรสวรรค์เล็กน้อยไปด้วย…แม้จะมีคุณสมบัติ แต่ไม่มีสำนักใดต้องการ! หากมีเจตนาร้ายอันใด ข้าจะไม่ปล่อยเขาแน่!’ หวังหลินตามหลิวจินเปียวไปอย่างสงบนิ่ง
หลิวจินเปียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีมีความสุข สายตากวาดผ่านเด็กทั้งห้าเป็นพักๆ
‘ไม่คิดว่าเมืองนี้จะได้คนที่เหมาะสมถึงห้าคน ฮ่าฮ่า นี่ไม่เลวนัก ข้าได้เยอะแน่นอน!’
เด็กห้าคนเริ่มเคร่งเครียดหลังจากโดนเขาชำเลืองสายตามอง แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาต้องการเข้าสำนักและกลายเป็นเทพ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดของแต่ละคนแต่เป็นความฝันของทั้งตระกูลและคนที่พวกเขารักอีกด้วย
หลายวันต่อมาทั้งกลุ่มได้มาถึงนอกเทือกเขาแห่งหนึ่ง หลิวจินเปียวหยุดกลางอากาศและมองคนติดตามของตัวเอง
“ทั้งหมดรอข้ากลับมาที่นี่”
ชายกำยำสี่คนและเด็กทั้งหมดรีบพยักหน้า ชายกำยำทั้งสี่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณเท่านั้น ส่วนเด็กๆอยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ ส่วนใหญ่ได้รับการบ่มเพาะจากหลิวจินเปียวและบ่มเพาะด้วยตัวเอง
หลิวจินเปียวพาเด็กทั้งห้าเข้าไปในสายลมสีดำและหายตัวไป
หวังหลินเฝ้าดูหลิวจินเปียวจากท้องฟ้า ท่าทีมืดมนเล็กน้อยพลางติดตามไปด้วย
สายลมสีดำพัดผ่านภูเขาไปชั่วขณะ จากนั้นปรากฏขึ้นในหุบเขาอันห่างไกล หุบเขาแห่งนี้ไม่ใหญ่มากและมีถ้ำที่สร้างขึ้นมาไม่กี่แห่ง หลิวจินเปียวนั่งลงตรงข้ามกับเด็กทั้งห้า
เขาส่งสายตาอันเคร่งเครียดจ้องมองเหล่าเด็ก
เด็กทั้งห้าเคร่งเครียดมากและมองเขาอย่างหน้าซีด ทว่าพวกเขากลับกัดฟันและไม่ได้ร้องไห้
“ไม่เลว ความจริงที่ข้าไม่ได้บอกคือคนที่พวกเจ้ามองอยู่คือคนที่รักพวกเจ้า ความจริงพรสวรรค์นั้นแย่มากและแทบไม่สามารถบ่มเพาะได้ ที่ข้าเลือกมาก็เพราะหัวใจของข้าต้องการ!”
“เหล่าเซียนไม่กลัวว่าพรสวรรค์จะแย่แค่ไหน มีแต่ใจที่มุ่งมั่นเท่านั้นที่สำคัญยิ่ง!”
เด็กทั้งห้าคนมองหลิวจินเปียวอย่างเคร่งเครียดและเงียบงัน
หวังหลินขบคิดไปด้วย ไม่มีใครสังเกตว่าเขากำลังเฝ้าดูหลิวจินเปียวและรอให้พูดต่อไป
‘หลิวจินเปียว ถ้าเจ้าหลอกลวงเหล่าเซียนข้าจะไม่สนใจ แต่หากเจ้าหลอกลวงเด็กเหล่านี้…ข้าคงผิดหวัง!’ หวังหลินคิดเข้าข้างตัวเอง
หลิวจินเปียวพูดขึ้น “ข้าเป็นคนหลอกลวง!”
พอเขาพูดออกมา เหล่าเด็กทั้งห้าถึงกับตกตะลึง แม้แต่หวังหลินก็ตกใจไปด้วย
“ข้าเป็นคนหลอกลวง ข้าโกหกคนที่พวกเจ้ารักและพามาที่นี่! หลิวจินเปียวพูดกับเด็กทั้งห้าโดยไม่มีสี่หน้าเปลี่ยนแปลง”
เด็กทั้งห้าไม่อาจตอบสนองได้ทันท่วงที สายตาจ้องมองหลิวจินเปียวอย่างตกตะลึง
“ทว่า…” หลิวจินเปียวยิ้มพลางมองรอบๆ และพูดต่อไป
“ทว่าข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าไปสำนักมหาปราชญ์ได้ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องให้พวกเจ้าตัดสินใจด้วยตัวเอง อันดับแรกพรสวรรค์พวกเจ้าไม่ดีพอที่จะผ่านการทดสอบที่สำนักตั้งเอาไว้ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ แม้จะมีคุณสมบัติได้กลายเป็นเซียน การจะพัฒนาพวกเจ้าก็ยากอยู่ดี”
“ด้วยความรู้หลายสำนักของข้าในแคว้นมหาปราชญ์ พวกเขาจะไม่รับเจ้าหรือไม่เสียเวลาด้วย ข้าไม่ได้โกหก”
หลิวจินเปียวหยุดพูดพอถึงจุดนี้
หวังหลินเฝ้าดูและขบคิด เขารู้ว่าหลิวจินเปียวพูดถูกต้อง ด้วยพรสวรรค์ของเด็กเหล่านี้การจะเป็นที่สนใจของสำนักนั้นยากมาก
“แต่ข้ามีวิธีที่ทำให้พวกเจ้าหลอกคนพวกนั้นจนรับเข้าไปในสำนักได้ ทำได้แม้กระทั่งทำให้พรสวรรค์ดูยอดเยี่ยม!”
“แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น หากหลังจากเข้าสำนักไปแล้วความสามารถย่ำแย่ พวกเจ้าก็จะโดนแฉ พวกเจ้าจะไม่เจออันตรายคุกคามใดในชีวิตและอาจไม่โดนขับไล่ออกจากสำนัก แต่จะถูกลืมแทน”
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่าพรสวรรค์นั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือหัวใจอันมุ่งมั่น!”
หลิวจินเปียวพูดต่อไปพลางมองเด็กห้าคนตรงหน้า
“และเพราะว่าพรสวรรค์ของพวกเจ้าค่อนข้างดี ข้าสามารถแลกเปลี่ยนพวกเจ้ากับวัตถุดิบที่ข้าต้องการจากสำนักได้ ยิ่งเจ้ามีพรสวรรค์ดี ยิ่งได้การดูแลเริ่มต้นดีขึ้นและข้ายิ่งจะได้รับรางวัลที่ดีไปอีก แต่คนที่มีพรสวรรค์มากจะยิ่งมีโอกาสโดนเปิดเผยสูง”
“ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าหลอกสวรรค์เพื่อข้ามทะเลจนเข้าสู่สำนักได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง และรายได้จากข้าก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“กระนั้นพวกเจ้าก็ควรระมัดระวังตัวให้ดี หากไม่ตกลง ข้าจะลบความทรงจำและส่งกลับไปหาครอบครัว หากตกลง ก็จงเลือกพรสวรรค์ที่ต้องการเข้าสำนัก จะเอายอดเยี่ยม ดี หรือธรรมดา มีอยู่สามตัวเลือก!”
“ข้าขอแนะนำให้เลือกธรรมดาตอนที่เข้าสำนัก! นอกจากนี้ข้ายังวางแผนทำธุรกิจระยะยาวและไม่อยากเผยตัวตนมากเกินไปจนโดนไล่ล่า!”
หลังจากหลิวจินเปียวพูดขึ้น เขาก็ตบกระเป๋าข้างเอวนำถั่วออกมาส่วนหนึ่งและเริ่มปอกกิน
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นพอเห็นแบบนี้ หลิวจินเปียวในอดีตเป็นคนหลอกลวงและในชีวิตนี้เขาก็ยังมีวิชาหลอกลวงที่ดูเหมือนดีขึ้นกว่าเดิมไปอีก
ท่ามกลางเด็กทั้งห้าคนมีอยู่สามคนหวาดกลัวและเลือกกลับบ้าน อย่างไรก็ตามมีหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่เผยสีหน้ามุ่งมั่น เด็กหญิงเลือกพรสวรรค์ธรรมดา ส่วนเด็กชายเลือกพรสวรรค์ค่อนข้างดี
หลิวจินเปียวมองเด็กชายที่เลือกพรสวรรค์ค่อนข้างดีด้วยสายตาล้ำลึก ท่ามกลางทั้งห้าคนนั้นเด็กชายมีพรสวรรค์ดีที่สุดและมีจิตใจที่มุ่งมั่น ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยแต่ธรรมดา หลิวจินเปียวรู้เรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ
หลิวจินเปียวพยักหน้าและลบความทรงจำของเด็กอีกสามคน เด็กทั้งสามถูกส่งออกไปนอกถ้ำเพื่อออกไปนอกภูเขาตรงที่มีผู้ติดตาม เขาส่งข้อความออกไปหาผู้ติดตามเพื่อให้พาเด็กลับเมืองไปรายงานต่อครอบครัวว่าพวกเขาล้มเหลวในการเข้าสำนัก
……………………………………………