Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1941 นายท่านของข้า
หวังหลินมองดูหลิวจินเปียวนำสมุนไพรสีม่วงออกมาสองต้น พวกมันมีสีสันคล้ายกันแต่มีต้นหนึ่งเข้มกว่าอีกต้น
เขาวางสมุนไพรเอาไว้กลางหน้าผากของเด็กทั้งสอง สมุนไพรเปล่งกลิ่นประหลาดและดูพิเศษ มันแผ่กระจายจากหน้าผากลงไปสู่ผิวหนังคล้ายกับตาข่าย
พอจ้องมองสมุนไพรเขากลับสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ออกมาจากภายใน แม้จะเบาบางแต่บริสุทธิ์มาก หากหวังหลินดูดซับก็จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้
แต่พลังชีวิตในสมุนไพรมีน้อยเกินไป หากใช้เพื่อฟื้นกำลังคงต้องใช้มากกว่าหมื่นต้น
เหตุที่มีพลังชีวิตบริสุทธิ์เพราะมีพลังปราณสวรรค์ออกมาจากสมุนไพร พลังชีวิตที่ออกมามีพลังปราณสวรรค์จำนวนหนึ่ง แม้จะเบาบางแต่ก็ทำให้หวังหลินต้องขมวดสายตา
เขาเคยเห็นสมุนไพรแบบนี้มาก่อน ตอนที่อยู่บนแผ่นดินเซียนดาราเขาก็เจออะไรหลายอย่าง หวังหลินกระทั่งได้พบเจอกับหินหยกจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร กระนั้นเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับสมุนไพรนี้ด้วยหรือ
แต่หวังหลินสัมผัสได้ว่าสมุนไพรสองต้นไม่ทำอันตรายเด็กทั้งสองและสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก หลังจากหวังหลินสังเกตการณ์อีกเล็กน้อย เขาเห็นว่าหลังจากผสานเข้ากับสมุนไพร พรสวรรค์ของเด็กทั้งสองได้เปลี่ยนไปจริงๆ!
สมุนไพรสีเข้มได้กลายเป็นตาข่ายในร่างของเด็กชาย รวมถึงซ่อนพรสวรรค์ที่แท้จริงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นสมุนไพรเปลี่ยนกลายเป็นพรสวรรค์ระดับดีเพื่อปกคลุมพรสวรรค์อันเดิมเอาไว้
ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงสามารถมองทะลุมันได้ แต่หากเป็นเซียนขั้นที่สองยังค้นเจอได้ยาก มีเพียงเซียนขั้นที่สามที่พอจะเห็นเบาะแสเพราะมีตาข่ายสมุนไพรผสานเข้ากับเด็กชายอย่างสมบูรณ์ ยิ่งมีพลังปราณสวรรค์ในร่างยิ่งสามารถซ่อนสวรรค์ข้ามทะเลได้จริงๆ
เรื่องนี้ทำให้หวังหลินประหลาดใจมาก เขามองเด็กสาวและเกิดเรื่องแบบเดียวขึ้น นางได้รับพรสวรรค์ธรรมดาที่ดีกว่าพรสวรรค์ของตัวเอง
“ของแห่งอนาคตนั้นไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ…” หวังหลินขบคิด สมุนไพรสีม่วงนี้พิเศษมาก
‘แต่หากหลิวจินเปียวทำแบบนี้ เมื่อถูกพบจะโดนไล่ล่าในทันที…’ หวังหลินลอบส่ายศีรษะ มีสำนักหลายแห่งบนแผ่นดินเซียนดาราและมีเซียนขั้นที่สามอยู่มากมาย หลิวจินเปียวจะถูกพบก่อนหนีออกไปจากสำนักมหาปราชญ์ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนา
‘เขาระมัดระวังมากและไม่บังคับเหล่าเด็กๆ ด้วยความโลภ หากทำแบบนั้นความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนของเด็กๆ’ หวังหลินมองหลิวจินเปียวและเผยรอยยิ้มขมขื่น
หลังจากเด็กสองคนผสานกับสมุนไพร เขาเผยท่าทีภูมิใจ มองเด็กตรงหน้าและแววตาแทบเปล่งประกาย
จากนั้นจึงยืนขึ้นและทะยานออกไปจากถ้ำพร้อมกับนำเด็กทั้งสองคนไปทางทิศใต้
ไม่นานนักภูเขาปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิวจินเปียว ภูเขานี้เงียบสงัดและแทบไม่มีเสียงสัตว์คำรามออกมาเลย
หลิวจินเปียวมองภูเขาตรงหน้าและคิดกับตัวเอง ‘ข้ามาที่สำนักมหาปราชญ์ได้สักพักแล้วและส่งให้กับสำนักอื่นอีกมากมาย ถึงเวลาต้องจากไปแล้ว หลังจากเสร็จครั้งนี้แม้จะไม่มีใครดูออก ข้าก็ควรจะเปลี่ยนใบหน้า ออกไปจากแคว้นมหาปราชญ์และไปที่อื่น’
‘เม็ดยาและวิชาจำนวนมากที่ข้าได้มาน่าจะทำให้ข้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ จากนั้นข้าจะไปแคว้นอื่นและเข้าสำนักเล็กๆ ข้าจะเป็นศิษย์ไปสักพันปีก่อนจะออกไปทำธุรกิจอีกครั้ง’ หลิวจินเปียสูดหายใจลึกและพาเด็กสองคนไปยอดเขา
หวังหลินยังคงติดตามหลิวจินเปียว เฝ้าดูเขาทะยานไปรอบภูเขาอย่างชำนาญก่อนจะออกมาตัวคนเดียว สายตาแทบไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้
หลังจากออกมาจากภูเขา หลิวจินเปียวรีบจากไปโดยไม่ลังเล หวังหลินชำเลืองสายตาและมองขึ้นไป เขาเห็นระลอกคลื่นดังกึกก้องขึ้นในท้องฟ้า จากนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เซียนธรรมดาไม่อาจตรวจจับได้แต่หวังหลินมองเห็นชัดเจน มีคนกำลังใช้วิชาทำนาย จึงทำให้โลกเปลี่ยนไป
และหลิวจินเปียวก็อยู่ใจกลาง
‘มีคนกำลังค้นหาตำแหน่งของหลิวจินเปียว!’ หวังหลินมีแววตาเย็นเยียบ เขามองระลอกคลื่นและส่งสายตาทะลุผ่านไป ใช้พลังการทำนายของอีกฝั่งจนเห็นพระราชวังอันหรูหราซึ่งมีเซียนขั้นที่สองประมาณเจ็ดถึงแปดคนกำลังยืนอย่างเคารพ ด้านหลังมีเด็กชายคนหนึ่งหลับตาและมีชายชราเอามือวางบนศีรษะเด็กชาย มืออีกข้างกำลังสร้างผนึก
ชั่วขณะต่อมา ชายชราพลันลืมตาและเผยความเย็นเยียบ
“ข้าพบจินเปียวจื่อแล้ว เขาอยู่ห่างออกไปหลายแสนลี้ พวกเจ้าทั้งหมดรีบใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปจับมันมา จำไว้ว่าห้ามทำลายวิญญาณดั้งเดิม ข้าจะค้นวิญญาณมัน!” ชายชราพูดขึ้นก่อนจะโยนหินหยกออกไป
“ถือหินหยกนี้เอาไว้จะทำให้ค้นหาจินเปียวจื่อได้ ส่วนศิษย์คนนี้…เตะมันไปนอกสำนัก ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเอง”
หวังหลินแววตาเป็นประกายและถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากระลอกคลื่น เขามองหลิวจินเปียวที่ไม่รับรู้อะไรและจึงส่ายศีรษะถอนหายใจ
‘ช่างมันเถอะ ถ้าเขาไม่เจออะไรเสียบ้างก็คงไม่รู้จักบทเรียน’
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไม่นาน ขณะที่หลิวจินเปียวกำลังเหาะเหิน มีร่างสี่คนปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เซียนทั้งสี่คือคนที่หวังหลินเห็นในสำนัก พวกเขาถูกส่องออกมาจับหลิวจินเปียว
ทั้งสี่คนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายผ่านเข้ามาและตามหาหลิวจินเปียวโดยการใช้หินหยก ตอนนี้เข้ามาใกล้มากแล้ว
พอหลิวจินเปียวเห็นแบบนี้ สีหน้าท่าทางพลันเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดพลาดแต่ก็ไม่รีบหนีในทันที เพราะรู้ว่าระดับบ่มเพาะของแต่ละคนทรงพลังและไม่สามารถหลบหนีได้เลย
สายตาเขาเปลี่ยนไปและทะยานไปด้านข้างราวกับกำลังหาทาง แต่ลำแสงสี่สายล้อมรอบเขา เซียนทั้งสี่จ้องมองหลิวจินเปียวอย่างเยือกเย็น
หลิวจินเปียวเคร่งเครียดมากแต่ก็ไม่เผยออกมาทางสีหน้า เขาขมวดคิ้วและมองทั้งสี่คนอย่างเย็นเยียบแทน
“ผู้อาวุโสทั้งสี่ ข้าสงสัยเสียจริงว่าทำไมพวกท่านถึงขัดขวางเส้นทางของผู้น้อย…” เขาสงบนิ่งจนเมื่อเซียนทั้งสี่ที่มาจับถึงกับอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“จับเขา!” คนที่นำหน้ามองหลิวจินเปียวอย่างละเอียดและสะบัดแขน เซียนขั้นที่สองผู้หนึ่งก้าวออกมา เซียนขั้นแกนลมปราณแบบหลิวจินเปียวไม่สามารถต่อต้านได้เลย
หลิวจินเปียวยังคงสงบนิ่งแต่ยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาลอบตื่นตระหนกอยู่ภายในแต่รีบคิดหาทางออก สำนักบางแห่งต้องสังเกตสิ่งผิดปกติได้แล้วแน่ๆ
หลิวจินเปียวลืมตาและเอ่ยขึ้น “โอหัง! ไม่ต้องทำอะไรข้า ข้าจะตามไปโดยดี!”
ยิ่งเขาสงบนิ่งยิ่งทำให้สี่คนรู้สึกประหลาดมากขึ้น คนที่เข้ามาใกล้เขาไม่ได้โจมตีแต่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวจินเปียว เขาผลักหลิวจินเปียว จากนั้นทั้งสี่คนก็พาเขาไป
“พวกสำนักเล็กๆ แบบเจ้ากล้ามาจับข้า? หากข้าบาดเจ็บ นายท่านจะทำลายล้างทั้งสำนักของพวกเจ้าแน่นอน!” หลิวจินเปียวเยาะเย้ยและไม่เผยอาการหวาดกลัวอันใด เขาตามเซียนทั้งสี่คนอย่างสงบนิ่งและหายวับออกไปไกล
หวังหลินปรากฏตัวขึ้นมาหลังจากพวกนั้นไปแล้ว เขาทอดสายตามองและส่ายศีรษะเล็กน้อย
‘หลังจากโดนจับ เขาก็ยังพยายามโกหกอีก หลิวจินเปียว…นายท่านที่ว่านั้นพูดถึงใครกัน?’ หวังหลินวางท่าทีประหลาดและติดตามไป เหล่าเซียนแค่ต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแต่สำหรับหวังหลินนั้นระยะทางไม่กี่แสนนี้แค่ใช้บิดมิติครั้งเดียวก็ถึงแล้ว
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ทางเหนือของแคว้นมหาปราชญ์มีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่งและมีตำหนักหลายแห่งรวมถึงค่ายกลปกป้องที่นี่ มันเป็นแค่สำนักทั่วไปของแคว้นมหาปราชญ์
หลิวจินเปียวถูกจับมาที่นี่ แม้จิตใจยังคงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว สีหน้าท่าทางยังคงสงบนิ่ง ทั้งยังมีรอยยิ้มเยือกเย็นประดับบนมุมปาก
เบื้องหน้ามีชายชรากำลังนั่งอยู่ เขาคือคนที่ทำนายตำแหน่งของหลิวจินเปียว
สายตามองหลิวจินเปียวด้วยความเย็นชา
“เจ้ากล้าหลอกลวงสำนักเมฆาของข้า” ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าหลอกลวงแล้วอย่างไร? สำนักเมฆาก็แค่สำนักเล็กๆ บนแคว้นมหาปราชญ์แต่ยังกล้าจับกุมข้า? พวกเจ้ากล้าดีทีเดียว!!” หลิวจินเปียวมองชายชราด้วยสายตาไม่หวั่นไหว
ชายชราขมวดคิ้ว
“หากข้าบาดเจ็บ นายท่านของข้าจะมาทันที ลืมสำนักเมฆาเล็กๆ ของเจ้าไปได้เลย แม้แต่สำนักตงหลินแห่งแคว้นมหาปราชญ์ยังต้องเคารพนายท่านของข้า” หลิวจินเปียวพูดอย่างเยาะเย้ย คำพูดแฝงความมั่นใจและท่าทีน่าเชื่อถือ
หลังจากชายชราได้ยินแบบนี้เขาก็เริ่มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะกลับเย็นเยียบมากกว่าเดิม
“โอ้? แล้วเจ้านายเจ้าเป็นใคร?”
หลิวจินเปียวพูดขึ้นด้วยท่าทีภูมิใจ “ผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา ผู้ติดตามมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!”
ท่าทีสงบนิ่งและพูดอย่างมั่นใจทำให้ชายชราตกตะลึง
“ช่างน่าขัน หากเจ้าเป็นคนรับใช้ของผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยาตัวจริง เจ้าคงไม่หลอกลวงผู้คนที่นี่และคงไม่เป็นแค่เซียนขั้นแกนลมปราณหรอก!” ชายชราไม่เชื่อเลย
หลิวจินเปียวสะบัดแขนเสื้อและพูดอย่างเยือกเย็น “เต๋าแห่งการหลอกลวงคือเขตแดนของข้า ส่วนระดับบ่มเพาะข้า จงลืมตาแก่ๆ ของเจ้าซะและจงดูให้เต็มตา ระดับบ่มเพาะของข้าเป็นแค่ขั้นแกนลมปราณจริงหรือไม่?!”
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่เขาได้หลอกลวงผู้คนมาหลายปีจนบรรลุเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สองคือการหลอกตัวเอง ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ!
หวังหลินนั่งอยู่ในตำหนักและไม่กลัวว่าจะมีใครสังเกตเห็น หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นแต่ก็นึกย้อนถึงอดีตเช่นกัน
……………………………………………