Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1943 ใต้สายฝน
“เจ้ารู้เรื่องเต๋าแห่งการหลอกลวงของข้าได้อย่างไร? เจ้า…เจ้าเป็นใคร?” หลิวจินเปียวร่างสั่นเทา ความหวาดกลัวทับซ้อนกับความหวาดกลัวในวิญญาณ ราวกับเขาเคยเจอเรื่องนี้เมื่อในอดีตมาก่อน
“เจ้าบอกข้าเอง” หวังหลินจิบสุรา
“เป็นไปไม่ได้!! นายท่านของข้าคือผู้สูงส่งชั้นฟ้ากุ้ยหยา ข้า…ข้า…หากเจ้าทำร้ายข้า เจ้าจะต้องตาย! นอกจากนี้ข้าก็ไม่เคยเห็นหรือไปหลอกลวงเจ้า เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร…” หลิวจินเปียวยิ่งมีแววตาหวาดกลัวอย่างรุนแรงจนคำพูดไม่ปะติดปะต่อ
“เว้นแต่…เว้นแต่เจ้าจะเป็นคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน?” หลิวจินเปียวจ้องหวังหลินโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“เจ้าชื่อหลิวจินเปียวและข้าชื่อหวังหลิน เจ้าจำได้หรือไม่?” หวังหลินวางขวดสุราลงและมองหลิวจินเปียว
“หวังหลิน…หวังหลิน…คุ้นๆ…” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาสับสนและดูเหมือนจะนึกออก ไม่นานเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน ใบหน้าเกิดความเจ็บปวด
‘ดูเหมือนเขาไม่สามารถทำลายผนึกด้วยตัวเองได้ เขาทำไม่ได้และโจวยี่ก็ทำไม่ได้ ข้าสงสัยว่าจะมีใครสักคนสามารถทำลายผนึกด้วยตัวเองได้หรือไม่’ หวังหลินถอนหายใจ เขาไม่สามารถทนเห็นหลิวจินเปียวทุกข์ทรมานได้ จึงยกนิ้วขึ้นมาชี้ใส่กลางหน้าผากของหลิวจินเปียว
เพียงเท่านั้นเสียงดังกึกก้องในจิตใจหลิวจินเปียวราวกับสายฟ้านับล้านสายระเบิดในคราเดียว
ภาพทัศนวิสัยพร่าเลือนและเห็นชีวิตของตัวเองหลายร้อยปี เขาได้ใช้เต๋าแห่งการหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า…
“มหาเทพจินเปียว เทพผู้เป็นอมตะ! ชื่อนี้ยอดเยี่ยม ในอนาคตพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตะโกนแบบนี้ ข้าแซ่หลิว ตั้งแต่นี้ไปข้าจะชื่อหลิวจินเปียว ช่างเป็นชื่อที่มีอำนาจ!”
“เมื่อกลายเป็นเทพ แม้แต่หมูหมากาไก่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นสวรรค์ได้! ฮ่าฮ่า ประโยคนี้ข้าสร้างขึ้นมา เพียงเท่านี้ข้าก็จะมีชื่อเสียงทั่วแคว้นมหาปราชญ์!”
“อาห์ การพักอยู่นานเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ไปที่แคว้นมหาปราชญ์จะเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับข้า…”
“เทพผู้นี้ได้จุติลงมาแล้วและเป็นธรรมดาที่จะมีรูปร่างเหมือนเด็ก พวกคนธรรมดาแบบเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“เอ๋ พวกคนธรรมดาช่างน่าสนใจ พวกเจ้าคุกเข่าเบื้องหน้าเทพที่ไม่ใช่เทพ แต่อยากยืมพลังของเทพให้กลายเป็นราชา? เรื่องนี้…ง่ายดายนัก!”
“โถ่ บางทีในชาติก่อนข้าคงไปหลอกลวงใครไว้ครั้งใหญ่ ไม่เช่นนั้นข้าจะไปรู้วิธีหลอกลวงผู้คนตอนที่ข้าเข้าใจโลกรอบตัวได้อย่างไร…”
“เจ้าดูเหมือนโจรและไม่สามารถเป็นคนดีได้ เจ้าชื่ออะไร? อะไรนะ เจ้ารู้สึกว่าควรถูกเรียกว่าฉวี่ลี่กั๋ว? เจ้าคิดว่าเจ้าควรจะชื่อนั้นหรือ? ช่างมันเถอะ เทพคนนี้จะช่วยเจ้าทำนายอนาคต จงไปที่แคว้นกลาง ใช่แล้วแคว้นกลางนั่นแหละ ที่นั่นเจ้าจะได้เจอโชควาสนา”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เทพผู้นี้ได้จุติลงมาในโลกมนุษย์ แต่บรรพชนเจ้าเป็นคนมีคุณธรรม ช่างมันเถอะ ข้าจะอาศัยอยู่ที่นี่และช่วยพวกเจ้า”
“ฮึ่มฮึ่ม ข้าแค่อายุเจ็ดปีแต่หลอกลวงได้เกือบทุกคน ดูเหมือนข้าต้องออกไปพัฒนาตัวเองที่ไหนสักแห่งแล้ว…”
“เอ๋ น้องชาย ลูกอมนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ ขอข้ากัดสักหน่อยได้หรือไม่…” ความทรงจำสุดท้ายเป็นตอนที่เขาอายุสี่ขวบและพยายามหลอกลวงลูกอมของเด็กน้อยตระกูลหลิน
ความทรงจำในอดีตแล่นผ่านเข้ามาในใจ สายฟ้าดังสนั่นกึกก้องพร้อมกับมีวังวนเข้ากลืนกินความทรงจำทั้งหมด พอมันยิ่งรุนแรงขึ้นเขาก็ได้เห็นชีวิตอีกด้าน
เขาเห็นตัวเองพยายามดิ้นรนบ่มเพาะและค่อยๆ ค้นพบเต๋าแห่งการหลอกลวง แต่เขาค้นพบสมบัติที่ทำให้ตัวเองสามารถล่องหนได้ ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อเซียนชื่อหวังหลิน…
หลังจากผ่านมาหลายปี เขาติดตามคนผู้นั้นจนกระทั่งได้มาเกิดใหม่
เขาจำสหายคนเก่าฉวี่ลี่กั๋วได้ แม้ฉวี่ลี่กั๋วจะทำอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด ทั้งคู่กลับมีนิสัยแย่ๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นสหายที่ดีต่อกันได้
ความทรงจำของสองชีวิตค่อยๆ ทับซ้อนกันจนทัศนวิสัยของหลิวจินเปียวไม่พร่าเลือนอีกแล้ว เขามองหวังหลินที่กำลังดื่มสุรา หยาดน้ำตาไหลลงเป็นสาย
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนภาพลวงตาคล้ายกับเป็นแค่ความฝัน พอเขาหลับตาเขายังอยู่ในโลกแห่งความฝัน พอเขาลืมตาขึ้นมาราวกับทั้งหมดเสมือนความฝันที่มิอาจลืมเลือนได้ แม้แต่ตอนนี้ที่เขาตื่นยังรู้สึกงุนงง
ทว่าความงุนงงสับสนพลันสลายหายไปหลังจากเขาเห็นหวังหลิน
“นาย…นายท่าน…” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาตื่นเต้น แม้จะหลอกลวงอะไรหลายอย่าง เขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้จากหัวใจมาก่อน
หวังหลินเผยรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน เขาหัวเราะพลางมองหลิวหจินเปียวและมอบสุราในมือให้
“ดื่มสักอึกแก่การพบเจอกันบนแผ่นดินเซียนดารา”
หลิวจินเปียวรับขวดด้วยแขนซ้ายที่กำลังสั่นเทาและดื่มไปอึกใหญ่ สุราเผ็ดร้อนเข้าไปในลำคอและสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้เขาตัวสั่นและมีสมาธิขึ้นมา
หลิวจินเปียวมองขวดในมือพลางพึมพำ “เดิมทีข้าคิดว่าเต๋าแห่งการหลอกลวงของข้าบรรลุขั้นสูงสุดของระดับสองไปแล้ว ข้าสามารถหลอกตัวเองเพื่อให้เชื่ออะไรก็ได้ในทันที”
“แต่ความฝันนี้ไม่เหมือนความฝัน การเกิดใหม่ทำให้ข้าเข้าใจว่านี่คือจุดสูงสุดของการหลอกลวงขั้นที่สอง…หากข้าเข้าใจเรื่องนี้ก่อนที่ข้าจะเกิดใหม่ ข้าคงหลอกตัวเองให้กลายเป็นคนดี หลังจากเกิดใหม่ข้าก็คงกลายเป็นคนแบบนั้นต่อไป…” หลิวจินเปียวส่ายศีรษะพลางมองหวังหลิน สายตาตื่นเต้นค่อยๆ หายไปและโค้งคำนับหวังหลิน
“ทำไมถึงคำนับข้า?” หวังหลินยิ้มและมองหลิวจินเปียว
“นายท่านทำให้ข้าได้เกิดใหม่ ดังนั้นข้าต้องคำนับท่าน!”
“นายท่านทำให้ข้าเข้าใจถึงการหลอกลวงที่แท้จริงผ่านการเกิดใหม่ ดังนั้นข้าต้องคำนับท่าน!”
“ข้าไม่ใช่นายของเจ้า ก่อนที่เจ้าได้เกิดใหม่ เจ้าเป็นอิสระ และหลังจากเกิดใหม่ก็ยังเป็นอิสระ” หวังหลินส่ายศีรษะ
“นี่…แผ่นดินเซียนดาราแห่งนี้อันตรายเกินไป การติดตามนายท่านเป็นเรื่องที่ดีกว่า…” หลิวจินเปียวยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินหัวเราะและมองหลิวจินเปียว เสียงหัวเราะยิ่งมีความสุขมากขึ้น
“ช่างมันเถอะ ติดตามข้า ข้าจะปกป้องเจ้าแน่นอน!” หวังหลินสะบัดแขน สายลมอ่อนโยนพาเขาและหลิวจินเปียวขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ไปสำนักตงหลินกับข้า ตอนนี้ความทรงจำของเจ้าฟื้นคืนแล้ว เจ้าจะต้องรีบฟื้นคืนระดับบ่มเพาะให้เร็ว”
ปลิวจินเปียวลังเลและกระซิบ “นายท่าน ความทรงจำในชาตินี้ของข้า ดูเหมือนข้าได้เจอกับ…ฉวี่ลี่กั๋ว”
“โอ้?” หวังหลินหยุดมองหลิวจินเปียว
“เจ้าเจอเขาที่ไหน?”
“เอ่อ…ตอนนั้นข้าไม่มีความทรงจำกลับคืนมา ข้าอยู่ในแคว้นวารีสวรรค์ในแผ่นดินทิศตะวันออก ข้าเห็นโจรภูเขาหัวรุนแรงที่บอกตัวเองว่าควรจะชื่อฉวี่ลี่กั๋ว ตอนนั้นข้ามีชื่อเสียงหลายแห่ง…เอ่อ ไม่มีชื่อเสียงแบบนั้นหรอก”
“เขาชวนข้าขึ้นภูเขาและรอให้ข้าชี้แนะ ข้าก็ชี้แนะสุ่มๆ ให้และบอกให้ไปแคว้นกลาง…” พอหลิวจินเปียวพูดขึ้น เขายิ่งละอาย
หลิวจินเปียวเสริม “เรื่องนี้มันหลายร้อยปีก่อนแล้ว…”
หวังหลินขบคิดชั่วขณะ ภาพฉวี่ลี่กั๋วพยายามเลียแข้งเลียขาได้ปรากฏขึ้นในใจ หวังหลินเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ด้วยนิสัยของฉวี่ลี่กั๋ว เขาจะไม่ทุกข์ยากอะไรนักหรอก หากยังอยู่แถวนี้คงได้เจอโชควาสนา หลังจากนี้ข้าจะไปที่แคว้นกลาง หากเป็นไปได้เราอาจได้เจอเขา”
“หากข้าได้เจอเขาจริงๆ ข้าสงสัยนักว่าตอนเห็นข้าจะมีสีหน้าอย่างไร” หวังหลินยิ้มกว้าง
หลิวจินเปียวหัวเราะเบาๆ และลอบคิดว่าเขาเป็นคนแรกที่ได้ติดตามนายท่านหลังจากมาเกิดใหม่ ตอนนี้ฉวี่ลี่กั๋วเป็นอันดับสองแล้ว เขาจะต้องใช้ข้อได้เปรียบที่คืนความทรงจำก่อน เพื่อตอบแทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำ…
“ใครจะปล่อยให้เขาใช้เรื่องที่ติดตามนายท่านคนแรกมากลั่นแกล้งข้า?” พอหลิวจินเปียวคิดแบบนี้ก็ยิ่งตื่นเต้น
หลิวจินเปียวและซือถูหนานไม่ได้คุ้นเคยกันนัก ภายในความทรงจำส่วนลึกเขาได้หลอกเจ้าคนที่อยากกลายเป็นราชา แต่ก็ลืมเลือนไปนานแล้ว…
หวังหลินทะยานเข้าหาสำนักตงหลินพร้อมกับหลิวจินเปียว
สำนักตงหลิน สำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นมหาปราชญ์และเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง ซึ่งเป็นสำนักลึกลับอยู่เสมอ คนนอกแทบไม่รู้เลยว่าสำนักนี้ซ่อนความลึกลับมากแค่ไหน
หวังหลินเคยไปสำนักตงหลินในโลกถ้ำมาก่อน ตอนนี้เขาได้เข้าใกล้สำนักตงหลินขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มองพื้นด้านล่าง ภูเขาของสำนักตงหลิงยิ่งดูคุ้นเคยอย่างเลือนลาง
ตำแหน่งของสำนักตงหลินนั้นธรรมดามาก ค่ายกลป้องกันสำนักไม่สามารถหยุดยั้งหวังหลินได้เลย
หวังหลินเข้าสำนักตงหลินพร้อมกับหลิวจินเปียว เขาไม่ได้เข้าบ่อน้ำตงหลินทันทีแต่ไปยังที่ที่ซูต้าว อดีตราชันย์เทพสีรุ้งเคยพักอาศัย
ใต้ภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง หวังหลินได้ยินเสียงสายน้ำไหลเอื่อยและเห็นแม่น้ำใสกระจ่าง มีปลาจำนวนมากอยู่ในแม่น้ำและมีเด็กกำลังตักน้ำอยู่คนหนึ่ง
หวังหลินก้าวเดินขึ้นภูเขาไปทีละขั้นและมีหลิวจินเปียวติดตามมา มีเซียนหลายคนเดินผ่านไปแต่ไม่มีใครสังเกตทั้งสองได้เลย ราวกับไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน
พอหวังหลินก้าวไปบนยอดเขา ก้อนเมฆสีดำปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและสายฝนก็เริ่มตกลงมา สายฝนไหลลงหลังคาของอารามตรงหน้า
สายฝนทำให้น้ำกระฉอกไปบนพื้นหินสีเขียว หยดน้ำคล้ายกับกระเด็นขึ้นไปแต่มันกลับหายกลางอากาศ
ฉากเหตุการณ์นี้คล้ายกับภาพมายาเมื่อตอนนั้น…หวังหลินรู้สึกพูดไม่ออกราวกับมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใต้สายฝนนี้
ขณะที่หวังหลินยืนอยู่ใต้สายฝน เขาหลับตาและสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
……………………………………………………..