Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1944 ความฝันขัดขวางการเกิดใหม่
หวังหลินยืนอยู่ตรงจุดเดิมในเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน ช่างเป็นจังหวะที่หาได้ยากยิ่งและหวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นได้พบเจอเรื่องนี้หรือไม่ แต่เขากำลังพบเจออยู่ในตอนนี้
หวังหลินยืนเหมือนตอนที่เข้าไปในความฝันบนดาวซูซาคุ เขาตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งท่ามกลางสายฝน แม้ดวงตาจะหลับใหลแต่ในใจมีอีกโลกหนึ่ง
ราวกับเด็กที่ออกมาจากบ้าน ผ่านไปหลายสิบปีเขาได้เห็นบางสิ่งที่ดูคุ้นเคย ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถลืมความรู้สึกอันคุ้นเคยที่ตัวเองจากมาได้
หวังหลินหลับตาและเชื่อมความรู้สึกนี้เข้ากับเหตุการณ์ในโลกถ้ำ ร่างกายเขากลายเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโลกถ้ำกับแผ่นดินเซียนดาราเอาไว้
“สายฝนนี่ช่างคุ้นเคย…เสียงสายฝนกระทบพื้นหินสีเขียวก็ดูคุ้นตา…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง ผ่านไปสักพักจึงลืมตาขึ้นมาและมองภูเขา อาราม ลานกว้างและเตาหลอมที่อยู่บนลาน ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเข้าใจบางอย่างได้เลือนลาง
‘ชีวิตเหมือนความฝัน ความฝันเหมือนชีวิต…ข้าเข้าใจเต๋าแห่งความฝันบนดาวซูซาคุ…ข้ารู้ว่านี่มันยังไม่จบ…’ หวังหลินยืนนิ่งและไม่สะทกสะท้าน
หลิวจินเปียวยืนอยู่ด้านหลังหวังหลิน สายตาเต็มไปด้วยความสับสน หวังหลินไม่ได้คิดอยู่เงียบๆ แต่ออกเสียงตามความคิดของตัวเองด้วย พอหลิวจินเปียวได้ยินจึงคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ข้าใช้แขนซ้ายเป็นชีวิต แขนขวาเป็นความตาย…เปิดฝ่ามือเป็นเหตุแห่งกรรม ปิดฝ่ามือคือผลแห่งกรรม…ลืมตาคือความจริง หลับตาคือความเท็จ ข้าใช้สามสิ่งนี้เพื่อสร้างโลกของตัวเอง…โลกแห่งความฝัน…”
“ในภาพมายา ข้าเห็นสายฝนที่อยู่ตำแหน่งเดียวกัน ในโลกความจริงแห่งนี้ ข้าได้ยืนที่นี่และเห็นสายฝนเช่นกัน…”
“โลกที่สายตาข้ากำลังมองเห็น…เพราะข้าเห็นมัน มันดำรงอยู่…” สายฝนทำให้ทุกอย่างพร่ามัว ศิษย์บางคนรีบทะยานลงจากภูเขาและเดินผ่านหวังหลิน สายฝนมาเร็วเกินไปทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัว
ทว่าพวกเขาดูเหมือนไม่สามารถมองเห็นหวังหลินและหลิวจินเปียว ราวกับทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“ข้าใช้ดวงตาของข้าเพื่อมองโลก ต้นไม้ใบหญ้าสะท้อนในตาข้า ข้าคิดว่าเพียงแค่ข้าลืมตา โลกนั้นคือความจริง หากข้าหลับตา ทุกอย่างคือเรื่องเท็จ…นี่คือความจริงและเท็จ ข้าคิดว่าหลังจากข้าหลับตา ต้นไม้ใบหญ้าก็คงจะหายไป…แต่มันจะหายไปจริงๆ หรือไม่…”
“อะไรดำรงอยู่และอะไรไม่ดำรงอยู่ ข้ามองโลกด้วยสายตาของข้าและโลกก็หันกลับมามองที่ข้า…พอข้าหลับตา ทุกอย่างกลายเป็นเท็จ แต่หากโลกหลับตาของมัน…มันจะกลายเป็นเท็จด้วยหรือไม่…” หวังหลินมองสายฝนที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า
“ข้าไม่เข้าใจว่านายท่านพูดอะไร แต่ข้ารู้สึกว่าการเกิดใหม่ทำให้ข้าเข้าใจเต๋าแห่งการหลอกลวงขั้นที่สอง เมื่อท่านเชื่อมัน การหลอกตัวเองไม่ใช่จุดจบ ท่านต้องทำให้โลกเชื่อด้วย…”
“การหลอกตัวเจ้าเองนั้น ความเป็นจริงคือการหลอกวัฎจักรแห่งการเกิดใหม่! ในเมื่อข้าหลอกลวงการเกิดใหม่ได้ ข้าก็สามารถทำอะไรได้ตามที่ต้องการ สรวงสวรรค์ไม่สามารถต่อต้านเจตนาของข้าได้ วัฎจักรแห่งการเกิดใหม่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งวิญญาณข้าได้ หลอกลวงโลก หลอกลวงเวลา…”
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้มาก่อน แต่หลังจากตื่นขึ้นจากการเกิดใหม่ ข้าจึงเข้าใจ…” หลิวจินเปียวพึมพำด้านหลังหวังหลิน
“ใครเป็นคนกำหนดว่ามีสุดยอดเต๋าทั้งสิ้นสามพันรูปแบบ? ใครเป็นคนเลือก? เต๋าแห่งการหลอกลวงถูกผู้คนปฏิเสธเพราะความละอาย แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเต๋าแห่งการหลอกลวงเป็นหนึ่งในสุดยอดเต๋าทั้งสามพัน!” ความฝันของหลิวจินเปียวสามารถทำให้เต๋าแห่งการหลอกลวงกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดเต๋าได้!
แม้ในชีวิตนี้เขาก็ยังทำได้เหมือนเดิม
“ฟ้าดินสร้างแก่นแท้ขึ้นมา เซียนแบบเราบ่มเพาะแก่นแท้ นายท่านเคยบอกครั้งหนึ่งว่าเมื่อท่านได้แก่นแท้มา ท่านจะสามารถบรรลุขั้นที่สามได้! ในความคิดข้า เต๋าแห่งการหลอกลวงมีอยู่สามขั้น ขั้นแรกคือหลอกลวงคนอื่น ขั้นที่สองคือหลอกตัวเอง และขั้นที่สามคือคืนสู่สามัญเพื่อกลืนกินตัวเองที่ไปหลอกคนอื่น!”
“คนอื่นที่ว่าเป็นเพียงแค่ชื่อเรียกแต่ความจริงมันมีทั้งฟ้าดิน เวลา การเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่าง! เพื่อหลอกลวงโลก หลอกลวงกาลเวลา หลอกลวงสุดยอดเต๋าในโลกนี้!!”
“แม้กระทั่งเต๋าก็สามารถหลอกลวงได้ และข้าจะกลายเป็นเทพ!”
“เต๋าทั้งหมดกลับคืนสู่จุดกำเนิดเดียวกัน ขั้นที่สามของการคืนสู่ต้นกำเนิดก็เหมือนกับที่นายท่านพูดก่อนหน้านี้ หากท่านหลับตา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะหายไปหรือไม่? หากสวรรค์หลับตาของมัน ท่านและข้าจะไม่มีตัวตนหรือไม่?” หลิวจินเปียวพึมพำ สายตาสับสนค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับสายฟ้าได้จุดประกายในความมืดมิด
คำพูดเขาเข้าไปถึงหูของหวังหลินและทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา ค่อยๆ เข้าใจอย่างเลือนลาง
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหลิวจินเปียว ทั้งคู่ต่างก็สั่นเทาจากการพิสูจน์เต๋าของตัวเอง เส้นทางแห่งเต๋านั้นโดดเดี่ยว แต่หากได้เห็นอีกคนกำลังดิ้นรน เส้นทางนั้นจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และสามารถพิสูจน์เต๋าของตัวเองได้!
“เจ้าได้ข้อสรุปว่าใช้เต๋าเพื่อหลอกลวงโลก ข้าใช้ชีวิตข้าเป็นเต๋าเพื่อฝืนชะตากรรม…ความจริงเราทั้งคู่ต่างก็กำลังบ่มเพาะจิตใจของเราเอง…” หวังหลินหลับตา
“ในสายตาข้า โลกมีรูปร่างแบบข้า…หากข้าหลับตา โลกก็จะไม่คงอยู่อีกต่อไป…หากโลกหลับตา ข้าก็ยังอยู่! หากข้าสามารถไปถึงสภาวะที่ข้าลืมตาและโลกหลับตาได้ โลกก็จะอยู่นิ่งตราบนานเท่าที่ข้ามีชีวิต จากนั้นข้าจะก้าวข้ามขึ้นไป” หวังหลินสูดหายใจลึกและลืมตา
“ข้าพบเจอเรื่องราวความเป็นความตาย ข้ามผ่านเวรกรรมและค้นหาความจริงเท็จเพื่อตัวข้าที่จมอยู่ในทะเล…หากจะมีแก่นแท้นามธรรมที่สี่ขึ้นมา มันก็คงเป็นการเกิดใหม่…”
“การเกิดใหม่นี้ไม่ใช่วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย แต่เป็นวัฏจักรของโลก ไร้วิญญาณที่มีแต่เต๋า…เป็นการเกิดใหม่ของทุกสิ่งทุกอย่าง…” หวังหลินสูดหายใจลึกพลางยกเท้าและเดินไปข้างหน้าท่ามกลางสายฝน
“ยับยั้งเต๋าแห่งสวรรค์ วิญญาณทั้งหมดใต้อำนาจสวรรค์จะต้องทนทุกข์กับทัณฑ์สวรรค์ ใช้ความเชื่อมั่นของตัวเองเดินผ่านเส้นทางแห่งการทำลายล้างและก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”
“เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จักอย่างไร้ขอบเขต วิญญาณทั้งหมดต้องขจัดคำถามในชีวิตและทะลวงจนเป็นอิสระจากแผนการแห่งสวรรค์ จนได้รับเส้นทางแห่งชีวิตและเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”
“กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมเข้าไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”
เขาเข้าใจแล้ว
ประโยคเต๋านี้ซับซ้อนมากและเขาตอนนั้นแทบไม่เข้าใจ ตอนนี้พอมาที่นี่ ใต้สายฝนบนภูเขาสำนักตงหลิน เขาจึงเข้าใจความหมายของมัน
“คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล…”
“วิญญาณทั้งหมดใต้อำนาจสวรรค์จะต้องทนทุกข์กับทัณฑ์สวรรค์ ใช้ความเชื่อมั่นของตัวเองเดินผ่านเส้นทางแห่งการทำลายล้าง…”
“ข้ารู้แจ้งชีวิตและความตาย มันคือเชือกเส้นหนึ่ง ปลายหนึ่งคือชีวิตและปลายอีกด้านคือความตาย เชื่อมต่อกันกลายเป็นวงกลม”
“ข้ารู้แจ้งเวรกรรม เวรกรรมเสมือนตาข่าย มันเกิดขึ้นจากชีวิตและความตายมากมายจนกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ทุกชีวิตข้างในต่างก็พบว่าทะลวงออกมาเป็นอิสระได้ยากมาก”
“ข้ารู้แจ้งจริงเท็จ จริงเท็จเสมือนม่านแห่งความฝัน ทุกคนมีม่านแห่งความฝันอยู่ในใจ พอคิดว่าตัวเองตื่นก็จะไม่รู้สึกตัวว่าโลกที่อยู่เป็นเพียงแค่ความฝัน…”
“ทุกอย่างรอบตัวเจ้าเป็นแค่ส่วนหนึ่งของความฝัน…ทุกคนล้วนมีความฝันของตัวเองที่ไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ มันเหมือนวงกลมหนึ่งชั้นรอบตัวเจ้า พอคิดว่าเจ้าตื่นขึ้นมาและเดินออกมาจากวงกลม เจ้าก็แค่อยู่ในวงกลมอีกวง”
“นี่คือสิ่งที่ข้าตอบสามคำถามกับลี่เฉียนเหมย…”
“ข้าเชื่อมชีวิตและความตายให้กลายเป็นตาข่ายเวรกรรมขนาดใหญ่ ข้าลืมตาในความฝัน ใช้จริงเท็จเพื่อโยนตาข่ายเข้าไปในความฝันและจับปลา…ปลาตัวนั้นคือข้าเอง!” หวังหลินมีสายตาเปล่งประกายและเดินต่อไปข้างหน้า
เขาเข้าใจว่านี่เกี่ยวข้องกับหลิวจินเปียว ถ้าไม่ใช่เพราะเต๋าแห่งการหลอกลวง หวังหลินก็ยังคงสับสนและคงไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้นามธรรมทั้งสามของเขาได้อย่างสมบูรณ์
หลิวจินเปียวติดตามเขามาและดูเหมือนจะเกิดความรู้แจ้ง ตอนที่เขามองหวังหลิน เขารู้สึกว่าหวังหลินนั้นแตกต่าง แต่ไม่รู้ว่าทำไม
ราวกับมีชั้นหมอกหนึ่งชั้นรอบตัวหวังหลิน หมอกนี้มองไม่เห็นแต่เขารู้สึกเหมือนมาจากความฝันที่ดูสมจริง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากหวังหลินตื่นจากความฝัน ทุกอย่างก็จะชัดเจน
“สำนักตงหลินเป็นสำนักที่ลึกลับสำหรับข้ามาก ศิษย์ส่วนใหญ่แทบไม่เคยออกไปไหนและบ่มเพาะในสำนักเท่านั้น…ข้าคิดว่านี่คือกฎระเบียบที่สำนักจัดตั้งขึ้นมา…”
“แต่หลังจากข้าเข้ามาที่นี่ ข้ารู้สึกถึงบางอย่างอันคุ้นเคยและได้เข้าใจเกี่ยวกับเต๋าของตัวเอง ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจของข้าด้วย!”
หวังหลินปรากฏตัวบนยอดตำหนัก ยืนให้สายลมพัดเรือนผมและเสื้อผ้า เขามองลงมาจนเห็นสำนักตงหลินได้มากกว่าครึ่งสำนัก
จากมุมมองของหวังหลิน ทั้งสำนักตงหลินนั้นกว้างใหญ่มาก เขาเห็นศิษย์ในสำนักทะยานผ่านสายฝนและมีเซียนหลายคนบ่มเพาะในที่พักของตัวเอง
เขายังเห็นความงดงามของภูเขาภายใต้สายฝนและต้นไม้ที่มีชีวิตชีวา…
พอมองออกไป หวังหลินเกิดแววตาเศร้าหมอง
‘ซูต้าว…ไม่รู้ว่าที่นี่เหมือนตอนที่ท่านอยู่หรือไม่…แต่ตอนนี้สำนักตงหลิน…เป็นสำนักไร้ชีวิตไปแล้ว!’
‘ทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความฝัน…มิน่าเล่าสำนักตงหลินจึงลึกลับและศิษย์แต่ละคนแทบไม่ออกมาเลย…’ หวังหลินถอนหายใจและค่อยๆหลับตา
เขาเห็นสำนักตงหลินที่คนนอกมิอาจมองเห็น!
…………………………………