Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1945 สำนักไร้ชีวิต
ภูเขาสีเขียวไม่มีอยู่แล้ว…มันกลายเป็นภูเขาตายซาก
น้ำไม่กระจ่างสดใสและยังมีกลิ่นเหม็น
แม้แต่สายลมที่พัดผ่านยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกลิ่นเน่าเปื่อย
ตำหนักตั้งเรียงกันอย่างซับซ้อนเต็มไปด้วยฝุ่น พวกมันดูเหมือนทรุดโทรมมาก
ชั้นหินที่นำทางขึ้นสู่ภูเขาได้รับความเสียหายมาก สายลมโหยหวนบรรเลงเพลงเศร้า
ศิษย์สำนักตงหลินที่หวังหลินเห็นว่าเดินผ่านสำนักนั้นกลายเป็นโครงกระดูกกระจายไปทั่วลานกว้าง ตำหนักและขั้นบันได พวกเขาเน่าเปื่อยไปนานแล้วและเหลือเพียงแค่โครงกระดูก
ศิษย์สำนักตงหลินข้างในตำหนักที่กำลังบ่มเพาะอยู่ทั้งหมดก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นแค่โครงกระดูก…
นี่มันสำนักไร้ชีวิต!
ไม่มีร่องรอยพลังชีวิตและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่รุนแรง…
แต่มีความฝันที่เกิดขึ้นทับกับกลิ่นอายแห่งความตายแห่งนี้ เป็นความฝันที่มีภาพมายาของผู้คนมากมายที่ตายที่นี่ ราวกับศิษย์สำนักตงหลินไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว…
พวกเขายังคงฝึกฝนในความฝันแห่งนั้น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนที่หวังหลินและหลิวจินเปียวยืนอยู่ที่นี่ ศิษย์สำนักตงหลินทั้งหมดจึงแค่เดินผ่านพวกเขาไป ไม่ใช่ว่าหวังหลินไม่มีตัวตน แต่เป็นพวกเขาที่ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
คงไม่เหมาะสมนักที่จะเรียกพวกเขาว่าผี เพราะหวังหลินเห็นว่าไม่ใช่ผีแต่เป็นเพียงความฝันที่ไม่รู้ว่าตัวเองตาย…ในความฝันนี้แม้คนนอกจะเข้ามาก็ยังยากที่จะสังเกตเห็น ราวกับพวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันและร่วมเข้าไปด้วย
สถานที่แห่งนี้ถูกทำลายไปนานหลายปีแล้ว เขาไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน…แต่เข้าใจว่าคนที่เข้ามาโดยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสำนักไร้ชีวิตก็แค่มาพักเป็นแขกและจากนั้นก็จากไป…
กระนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคนแรกที่มองทะลุที่นี่ออก!
เพราะเขาเห็นอารามขนาดใหญ่อยู่ใจกลางสำนักตงหลิน มีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งเต็มไปด้วยความเศร้าได้คงอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ
พลังชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและเศร้าโศก ราวกับเด็กน้อยที่พลัดพรากจากตระกูลและญาติมิตรทั้งหมด หลังจากร้องไห้อยู่ในซากปรักหักพังมานาน เด็กคนนั้นก็คุ้มครองที่นี่เงียบๆ
ไม่มีใครอยู่กับเขา ทั้งหมดได้ทิ้งซากปรักหักพังและร่างศพที่ตายเอาไว้ ในความโดดเดี่ยวและเศร้าหมองนั้นความฝันก็ได้ก่อตัวขึ้น ในความฝันนี้ภูเขาสีเขียว สายน้ำกระจ่างสดใส สำนักตงหลินมีแต่ศิษย์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา…
หากหวังหลินมาที่นี่ก่อนที่จะเข้าใจแก่นแท้นามธรรมของตัวเอง เขาคงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่ตอนนี้เขามองออกและหลับตาถอนหายใจ
พอสายลมผ่านไปหวังหลินจึงลืมตา กลิ่นอายแห่งความตายและเน่าเปื่อยได้สลายหายไปจากสำนักตงหลิน ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนกาย
“ไปกันเถอะ” หวังหลินพูดขึ้นจากนั้นก้าวเดินต่อไป หลิวจินเปียวไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่นี่ได้แต่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงติดตามหวังหลินต่อไป
พอเคลื่อนทะยานไปข้างหน้าจึงเกิดระลอกคลื่นรอบตัวหวังหลิน คนอื่นไม่สามารถมองเห็นระลอกคลื่นนี้ได้ มันเป็นระลอกคลื่นทำให้หวังหลินกลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันแห่งนี้
พอเขาและหลิวจินเปียวร่อนลงมาถึง ลำแสงสองสายทะยานผ่านเข้ามา เผยเป็นเซียนสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง
เซียนทั้งสองเยาว์วัยมาก ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารีบเผยความเคารพ สตรีด้านข้างก็งดงามยิ่งและมองหวังหลินด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยมาตามคำสั่งจากบรรพชนให้เชิญชวนผู้อาวุโสไปที่อารามตงหลิน” ชายหนุ่มยิ้มและคำนับฝ่ามือ วาจาและท่าทีดูเคารพ
สตรีด้านข้างเขาก็คำนับฝ่ามือเช่นกัน สายตากวาดผ่านหวังหลินเข้ามา
หวังหลินมองศิษย์สำนักตงหลินทั้งสองเบื้องหน้า เขาถอนหายใจอยู่ในใจพลางเผยท่าทีอ่อนโยนและพยักหน้า
ภายใต้การชี้ทางของศิษย์สำนักตงหลิน หวังหลินได้ทะยานเข้าสู่ใจกลางสำนัก สำนักตงหลินมีขนาดใหญ่มาก ระหว่างทางหวังหลินได้เห็นสำนักที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เขายังเห็นกระเรียนหลายตัวทะยานอยู่ในท้องฟ้า บนพื้นไม่ว่าจะเป็นลานหลอมยาหรือที่พักอาศัยต่างก็มีศิษย์นั่งอยู่ตรงนั้น บ่มเพาะหรือไม่ก็พูดคุยกัน
พอสายลมพัดผ่าน มันกลับเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์หนาแน่น ราวกับเป็นสรวงสวรรค์ก็มิปาน
ระหว่างทางหวังหลินได้เห็นศิษย์สำนักตงหลินที่ผ่านเขาไปได้แนะนำตัวเองและคำนับฝ่ามือมาให้
ผู้คนของสำนักตงหลินช่างสุภาพและอ่อนโยน ราวกับหวังหลินเป็นแขกผู้มีเกียรติ
พอพวกเขาเข้าใกล้อารามตงหลินที่อยู่กลางสำนัก ลำแสงสองสายเข้ามาใกล้เบื้องหน้าหวังหลิน เปล่งเสียงหัวเราะสดใส
“ตงคุน เสี่ยวหยาน เจ้าสองคนไปได้แล้ว” ลำแสงทั้งสองสายเผยตัวเองออกมา ผู้พูดเป็นชายชรา ด้านข้างเป็นชายวัยกลางคนกำลังยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
ทั้งสองคนเป็นระดับผู้สูงส่งชั้นทอง ชายชราผู้มีเสียงหัวเราะสดใสได้คำนับฝ่ามือให้หวังหลิน
“ข้าชื่อซิ่วเทียนเนี่ยน หัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักตงหลิน ข้าเองที่ใช้อำนาจของบรรพชนเพื่อเชิญชวนผู้อาวุโสมาที่อารามตงหลิน”
“ผู้น้อยชื่อเหอต้าว เป็นจ้าวสำนักตงหลิน ขอคารวะผู้อาวุโส” ชายวัยกลางคนยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ
พอมองทั้งสองคน หวังหลินเต็มไปด้วยแววตาโศกเศร้า ต้องโดดเดี่ยวแบบไหนกันถึงทำให้คนสร้างความฝันมาอยู่ด้วยกันได้…
หวังหลินถอนหายใจและพูดกับทั้งสอง “ไปกันเถอะ”
ผู้สูงส่งชั้นทองสองคนได้พาหวังหลินไปและแสดงความเคารพที่คู่ควรต่อตำแหน่ง พวกเขามาที่ใจกลางสำนักตงหลินซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก นั่นคืออารามตงหลิน!
ชายชราคำนับฝ่ามือให้และกล่าวอย่างเคารพ “บรรพชนอยู่ข้างใน เราไม่ได้ถูกเรียกดังนั้นจึงเข้าไปด้วยไม่ได้ ผู้อาวุโสโปรดเดินทางด้วยตัวเอง”
หวังหลินพยักหน้าและมองประตูของสำนักตงหลิน ความจริงนั้นหลังจากเขามองทะลุความฝันนี้ออก หวังหลินสามารถมาที่นี่ด้วยตัวเองได้และเดินผ่านซากปรักหักพังไปได้เช่นกัน
เขาไม่จำเป็นต้องไปพูดคุยกับภาพมายาในความฝันเลย
แต่เขาไม่ทำแบบนั้นเนื่องจากรู้สึกถึงความเศร้าและโดดเดี่ยว หวังหลินเคารพบรรพชนของสำนักตงหลินและเขาก็ได้รับความเคารพมาเช่นกัน
“จินเปียว รอข้าข้างนอก” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าหาอารามตงหลิน
จินเปียวพยักหน้าอย่างเคารพและมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างแปลกประหลาดแต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร
หวังหลินค่อยๆ ก้าวเดินเข้าหาอารามตงหลิน เมื่อเข้าไปในอารามแล้ว น้ำเสียงแก่ชราเต็มไปด้วยความเศร้าและโดดเดี่ยวจึงดังกึกก้องขึ้นข้างใน
“เจ้าเข้ามา…”
ตรงหน้าหวังหลินมีรูปปั้นขนาดใหญ่สามรูปเป็นสองบุรุษและหนึ่งสตรี ทั้งหมดล้วนมองไปทางทิศตะวันออกด้วยรอยยิ้มผสานกับกลิ่นอายแห่งความภูมิใจ
ข้างใต้รูปปั้นมีชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยจุดด่างดำราวกับอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต สีหน้าท่าทางดูน่าเวทนาและเต็มไปด้วยความเศร้า
นอกจากความเศร้ายังมีกลิ่นอายทรงพลังฝังลึกอยู่ในร่างกาย กลิ่นอายนี้เหนือล้ำกว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนใดที่หวังหลินเคยพบ
“ข้าอยู่นี่แล้ว…” หวังหลินถอนหายใจและเดินไปหาชายชรา เขานั่งลงและสะบัดแขนนำสุราออกมาขวดหนึ่ง
“ท่านต้องการด้วยหรือไม่?” หวังหลินยื่นขวดสุราไปให้ชายชรา
ชายชราขบคิดอยู่สักพัก จากนั้นนำมาดื่มไปหนึ่งจิบ
“ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายคุ้นเคยจากเจ้า น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่” ชายชรามองมาที่หวังหลิน
“ข้าเคยมาในความฝัน” หวังหลินนำสุราขวดที่สองออกมาดื่ม
ชายชรามองดูอารามห่างออกไปไกลและเอ่ยขึ้น “บางที…ข้าก็นั่งอยู่ที่นี่มานานเกินไป บางทีที่เจ้าเคยมาที่นี่ในความฝันอาจจะเป็นของจริง”
ชายชราเอ่ยถามเบาๆ “สำนักตงหลินในความฝันของเจ้าเหมือนกับตอนนี้หรือไม่?”
“เหมือนกัน” พอหวังหลินมองชายชรา เขาจึงรู้สึกถึงความเศร้าได้
“ขอบคุณ…” ชายชราหลับตา หยาดน้ำตาสองสายไหลลงบนแก้ม ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาไม่น่าจะมีน้ำตาแล้ว แต่พอหวังหลินพูดว่า “เหมือนกัน” หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมา
“ข้านั่งอยู่ที่นี่มานาน เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคย…ที่นี่คือบ้านข้า…ข้าจากไปเมื่อนานมากแล้ว พอข้าได้กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะและกลับมาบ้าน มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว…” ชายชราลืมตาและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเศร้าโศก
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ
“ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ…ข้าไม่เจอเบาะแสอะไรเลย แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่รู้…ข้าได้แต่นั่งอยู่ที่นี่และสร้างความฝันจากความทรงจำโดยทำให้ความฝันนี้อยู่กับข้าและมีสำนักตงหลินอยู่ตลอดไป…จนกระทั่งถึงวันที่ข้าตาย…” ชายชราพูดกระซิบ น้ำเสียงแหบพร่า
หวังหลินมองชายชราและไม่พูดอะไร
ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนถึงทำให้คนกลายเป็นแบบนี้? ต้องมีความเศร้าแบบไหนถึงทำให้คนผู้หนึ่งหลอกตัวเองด้วยความฝัน? ต้องโดดเดี่ยวแค่ไหนถึงทำให้คนสร้างภาพมายาขึ้นมาอยู่ด้วยกัน?
‘หากหวานเอ๋อร์ไม่สามารถชุบชีวิตได้…หากผิงเอ๋อร์ไม่สามารถลืมตาได้…หากดาวซูซาคุถูกทำลาย…บางทีข้าคงเป็นแบบเขา คนที่นั่งอยู่ในความว่างเปล่าในดาวเคราะห์ของตัวเอง จมดิ่งตัวเองไปในความฝัน โลกแห่งนั้นคงจะมีครอบครัวข้า ตัวข้า หวานเอ๋อร์ ผิงเอ๋อร์ และใบหน้าทุกคนที่ข้ารู้จัก…’
‘หากวันนั้นมาถึงจริงๆ บางทีข้าก็คงทำแบบเดียวกัน…’
ชายชราพลันพูดขึ้นมา สิ่งที่เขาพูดทำให้จิตใจหวังหลินสั่นเทา “กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมเข้าไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”
“นี่คือข้อความบนแผ่นหินจารึกที่เขียนด้วยโลหิตของคนที่ทำร้ายสำนักตงหลิน…”
………………………………………