Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1946 กลิ่นอายของเทียนหยุน!
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าได้ศึกษาประโยคนี้ ข้าต้องการรู้ว่าใครทำลายสำนักตงหลินของข้าและคิดสิ่งใด!”
“สำนักตงหลินไม่เคยขัดแย้งกับโลกภายนอกและมักมีกฎสำนักที่เข้มงวดเสมอ แทบไม่มีศิษย์คนไหนออกไปนอกสำนัก ถึงจะขัดแย้งกับคนอื่นก็เป็นเรื่องส่วนตัว แม้แต่ข้าก็มีสหายจำนวนมากและเพ่งสมาธิไปที่การฝึกฝนแต่เพียงอย่างเดียว”
“ถึงกระนั้น สำนักตงหลิน บ้านของข้า…ก็ถูกทำลาย…ข้าเข้าพบมหาชั้นฟ้าคนหนึ่งเพื่อให้ช่วยพยากรณ์เหตุการณ์ แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำนายได้ว่าสำนักถูกทำลายด้วยเหตุใด…”
“ข้าเข้าพบมหาชั้นฟ้าทั้งห้าคนรวมไปถึงราชครู แต่ไม่มีใครค้นพบคำตอบ มีเพียงราชครูที่กระอักโลหิตออกมาระหว่างการทำนายและแววตาหวาดกลัว…แต่ความหวาดกลัวนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียวและเกิดความสับสนขึ้นมาแทน…”
“เขาสับสนไปสามวัน ข้าเฝ้าดูเขาตลอดสามวัน พอเขากลับมามีสติจึงลืมการทำนายไป ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นลบความทรงจำตลอดสามวันนั้น…” ชายชราพึมพำ แววตาเศร้าๆ นั้นเผยความเกลียดชังและบ้าคลั่ง
“ข้าไม่เข้าใจแผ่นหินจารึกนั่น…แต่ข้าประทับลายมือนั้นเข้าไปในจิตวิญญาณของข้า มันเป็นเบาะแสเดียวในการตามหาคนคนนั้น”
ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยเสียงแหบพร่า “เจ้าต้องการดูแผ่นหินจารึกหรือไม่…”
หวังหลินพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง
ชายชราที่หลับตาอยู่คล้ายกับสังเกตได้ว่าหวังหลินพยักหน้า เขายกแขนขวาและโบกสะบัด เพียงเท่านั้นกลิ่นอายแห่งความตายจึงเต็มไปทั่วอาราม ราวกับอารามแห่งนี้อยู่มานานมากตั้งแต่ช่วงที่รุ่งโรจน์จนถึงช่วงที่ดับสลาย
อารามเต็มไปด้วยฝุ่นผงและมีรอยแตกร้าวบนเสา แม้แต่รูปปั้นทั้งสามด้านหลังชายชรายังเปลี่ยนไปและเริ่มแตกหัก
บนพื้นเกิดรอยแตกร้าวข้างใต้ชายชราจนเผยสัญญาณการผุผัง สายลมเหม็นแผ่กระจายออกมาทั่วสำนักตงหลินโดยมีอารามอยู่ตรงกลาง
ด้านนอกอาราม ลานกว้างแตกหักและมีความเน่าเปื่อยแผ่กระจาย ภูเขาไม่ได้เป็นสีเขียวอีกแล้วและไร้ชีวิตชีวา สายน้ำเหือดแห้งจนน้ำที่เหลือเปล่งกลิ่นเหม็น
ศิษย์สำนักตงหลิน รวมถึงเซียนผู้สูงส่งชั้นทองทั้งสองคนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสำนักตงหลินกลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
มีเพียงโครงกระดูกเต็มไปทั่วทั้งสำนัก…
หลิวจินเปียวยืนอยู่นอกอารามและจ้องมองทุกอย่างเบื้องหน้าด้วยสายตาตกตะลึง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ด้านข้างเขาคือโครงกระดูกที่กำลังมองมาหรือไม่ก็มองบนท้องฟ้า…
แผ่นหินจารึกขนาดใหญ่ด้านนอกอารามตงหลินถูกสายลมเหม็นพัดผ่าน มันสูงมากกว่าพันฟุตและคล้ายกับปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า!
มีประโยคเขียนด้วยโลหิตอยู่บนแผ่นหินจารึก!
“กักขังโชควาสนาและผนึกโลกเบื้องล่าง คนที่ไม่บรรลุเต๋าที่แท้จริงจะจมลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานและหลงทางแห่งเต๋าไปตลอดกาล จงเดินบนเส้นทางแห่งเต๋าที่แท้จริง!”
ประโยคที่ถูกเขียนด้วยโลหิตไม่ได้มีสีแดงสว่างอีกต่อไปแต่มันแห้งจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ กลิ่นอายแห่งความน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากแผ่นหินและห่อหุ้มทั่วทั้งสำนัก ท้องฟ้ามืดมนราวกับมีฝ่ามือขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือสำนักตงหลิน
ราวกับมันเป็นพลังที่สามารถบิดเบือนสวรรค์ด้วยตัวเอง!
“นี่คือแผ่นดินจารึก…” ชายชราจ้องมองแผ่นหินจารึกด้านนอกอาราม
หวังหลินหันกลับมามองแผ่นหิน พอเขาเห็นแผ่นหินนี้จึงเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นในจิตใจ
เขาเคยเห็นแผ่นหินนี้มาก่อน! เขาเห็นมันในดินแดนสีรุ้งในโลกถ้ำ!
เดิมทีหวังหลินคิดว่าแผ่นหินจารึกในดินแดนสีรุ้งนั้นราชันย์เป็นคนวางเอาไว้ แต่ดูเหมือนนี่จะแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง!!
ที่หวังหลินตกตะลึงคือลายมือของประโยคบนแผ่นหิน ยิ่งมองดูยิ่งคุ้นเคย ราวกับเขาเคยเห็นคนเขียนมันด้วยตาตัวเอง!!
ลายมือสามารถลอกเลียนได้ แต่กลิ่นอายจากลายมือกลับยากจะลอกเลียน หวังหลินไม่เพียงแต่จะคุ้นเคยกับลายมือ เขายังคุ้นเคยกลิ่นอายของลายมือนั้นด้วย!!
“เทียน…เทียนหยุน…” หวังหลินตกตะลึง เขาจะลืมกลิ่นอายนี้ได้อย่างไร? เทียนหยุนคือคนที่เขาหวาดกลัวยิ่งในโลกถ้ำ
เทียนหยุนเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าแห่งสวรรค์ และเขาถูกหวังหลินทำลายไปแล้ว แต่หวังหลินไม่คิดว่าเทียนหยุนยังไม่ตาย!!
ลายมือและกลิ่นอายที่นี่ไม่เหมือนกับแผ่นหินที่อยู่ในดินแดนสีรุ้ง แต่รูปร่างของแผ่นหินได้ทำให้ความเข้าใจต่อโลกถ้ำของหวังหลินกลายเป็นพร่ามัว
‘โลกถ้ำ…แผ่นดินเซียนดารา…สำนักตงหลิน…ทั้งสามอย่างมีสิ่งเชื่อมต่อกันคือราชันย์เทพสีรุ้ง!! แต่วิญญาณเขาถูกแบ่งออกเป็นสามและถูกข้าผนึกไปแล้ว…วิญญาณดวงที่สามคือซูต้าว…แม้แต่ข้าก็ยังไปสำนักตงหลินที่อยู่ในโลกถ้ำ…’
‘แต่ทำไม…ทำไมประโยคนี้ถึงปรากฏขึ้นที่นี่? แผ่นหินจารึกนี้ ทำไมโลกถ้ำถึงมือแผ่นหินด้วย? เกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ หวังหลินมองแผ่นหิน แววตาเกิดความสับสน
‘ใครเป็นคนทำลายสำนักตงหลินและทิ้งแผ่นหินจารึกไว้ที่นี่?’
‘ลายมือและกลิ่นอายเป็นของเทียนหยุน แต่เขาออกมาที่แผ่นดินเซียนดาราได้อย่างไรและทำไมถึงทำลายสำนักตงหลิน!?’
‘รวมไปถึงราชันย์เทพสีรุ้ง ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่…เขาตายจริงหรือไม่…’
‘โลกถ้ำไม่ใช่สิ่งธรรมดาแน่นอน มีความลับแบบไหนซ่อนอยู่กันแน่!?’
‘ตอนนั้นข้าคิดว่าข้ารู้ทุกอย่างแล้ว แต่ข้ารู้แค่ชายขอบของความลับใช่หรือไม่? ข้ายืนอยู่บนยอดเขาและคิดว่าข้ามองเห็นโลกเบื้องล่าง แต่ข้ากลับไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งในท้องฟ้าซ่อนอยู่ใต้ภูเขา กำลังมองมาที่โลกของข้า!’ หวังหลินพลันรู้สึกเสียววาบ
“หากเจ้าเคยเห็นลายมือและกลิ่นอายนี้ในชีวิตเจ้า โปรดช่วยบอกข้า…” น้ำเสียงของชายชราแหบแพร่าและเศร้าหมองดังกึกก้องด้านหลังหวังหลิน
“เจ้าต้องบอกข้ามา หากข้าสามารถแก้แค้นได้ คนที่ชี้เบาะแสให้ข้า ข้าจะยอมเป็นทาสรับใช้จนกว่าข้าจะตาย…” ชายชราพูดขึ้นช้าๆ คำพูดเต็มไปด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่น
หลังจากพูดขึ้นมาเขาก็สะบัดแขนขวา สายลมเย็นพัดผ่าน อารามกลับคืนรูปลักษณ์เดิม ภูเขายังคงเป็นสีเขียว สายน้ำสดใส เสียงวิหคร่ำร้องและมีกลิ่นดอกไม้เต็มไปทั่วสำนัก เหล่าศิษย์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วต่างก็มีความสุขในสำนักตงหลิน
แผ่นหินจารึกด้านนอกอารามได้หายไปและมองไม่เห็นซากโครงกระดูกอีกแล้ว หลิวจินเปียวมองมาที่ตำแหน่งของแผ่นหินจารึก เส้นผมลุกขึ้นตั้งในทันที
‘นี่…นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน…’ หลิวจินเปียวรู้สึกจิตใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลางมองไปรอบๆ พอมองไปที่ศิษย์ของสำนักตงหลิน จึงเกิดความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง
ภายในอาราม หวังหลินไม่เผยความตกตะลึงในใจออกมาและตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าจะบอก”
ชายชรามองหวังหลิน ผ่านไปสักพักจึงก้มหน้าและซ่อนความโศกเศร้าและความโดดเดี่ยวเอาไว้ อย่างไรก็ตามแม้จะก้มหน้าลงก็ไม่สามารถขับไล่ความเศร้าไปได้เลย
ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าแค่ผ่านสำนักตงหลินมาหรือมาด้วยจุดประสงค์อะไร…”
“ข้าต้องการยืมบ่อน้ำตงหลิน!” หวังหลินข่มจิตใจตัวเองเอาไว้ เรื่องหลายอย่างทำให้เขารู้สึกประหลาดและตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
“บ่อน้ำตงหลิน…” ชายชราขบคิดเล็กน้อยและค่อยๆ พยักหน้า
“น้ำในบ่อน้ำตงหลินเชื่อมต่อกับวิญญาณที่ปิดผนึกในแคว้นมหาปราชญ์…วิญญาณปิดผนึกที่นี่ไม่ใช่อสูร แต่เป็นเซียนต่างแดน…”
“เขาพ่ายแพ้ต่อบรรพชนเทพและถูกผนึกไว้ที่นี่ เขาตายมานานแล้วแต่วิญญาณไม่หายไปไหน กลับผสานเข้ากับแม่น้ำใต้ดินในแคว้น บ่อน้ำตงหลินจึงเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่น้ำไหลออกมา…”
“เซียนคนหนึ่งสามารถเข้าบ่อน้ำตงหลินได้เพียงสองครั้งเท่านั้น เมื่อเข้าไปครั้งที่สาม เจ้าจะตายทันที มีคนนอกไม่กี่คนที่รู้ว่าสำนักตงหลินมีบ่อน้ำตงหลิน คนที่รู้ก็ต้องแลกด้วยสิ่งมีค่ามหาศาลเพื่อให้เข้าไปในบ่อน้ำตงหลินได้”
“ข่าวลือทั้งด้านนอกและด้านในสำนักต่างก็พูดกันว่าบ่อน้ำตงหลินสามารถช่วยสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ แต่นั่นเป็นเรื่องโกหก…หากเป็นแบบนั้นจริง สำนักตงหลินคงกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเผ่าเทพไปแล้ว เราคงไม่สามารถรักษาไว้ได้และบ่อน้ำตงหลินก็คงถูกมหาชั้นฟ้าเอาไป”
“แม้จะเป็นเช่นนั้นก็เกิดข้อสงสัยจำนวนมาก แต่ชื่อเสียงของบรรพชนรุ่นแรกแห่งสำนักตงหลินคือมหาชั้นฟ้าตงหลิน จึงทำให้บ่อน้ำไม่ถูกเคลื่อนย้ายไป และยิ่งผลลัพธ์อ่อนแอลงไปตามกาลเวลา จึงไม่มีใครเข้ามาขโมยมัน”
“มหาชั้นฟ้าตงหลิน?” หวังหลินหรี่ตาแคบ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้
“มหาชั้นฟ้าทั้งห้าแห่งเผ่าเทพไม่ได้อยู่ไปชั่วนิรันดร์ มีบางส่วนที่ตาย…บรรพชนรุ่นแรกแห่งสำนักตงหลินคือมหาชั้นฟ้า แต่เขาก็ตาย…ไม่มีใครรู้ว่าร่างเขาไปอยู่ไหน…หลายคนค้นหาร่างเขา รวมไปถึงมหาชั้นฟ้ารุ่นหลัง แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ…”
“ลือกันว่าหากมีคนพบเจอร่างของบรรพชน อาจทำให้กลายเป็นมหาชั้นฟ้าได้โดยไม่ต้องผ่านบททดสอบในแดนเทพบรรพกาล…แต่นี่ก็แค่ข่าวลือ” ชายชราพูดอย่างสงบนิ่ง
หวังหลินสูดหายใจลึก ไม่คิดว่าสำนักตงหลินจะมีพื้นหลังเช่นนี้ และก่อนหน้าก็ยังมีมหาชั้นฟ้าเกิดขึ้นในสำนัก!
“ตอนนี้ผลลัพธ์ของบ่อน้ำตงหลินอ่อนแอลงไปมาก ข่าวลือที่ว่ามันสามารถช่วยเจ้าสร้างร่างแก่นแท้ได้ แต่ผลลัพธ์จริงของมันคือทำให้เจ้าเข้าไปสู่สภาวะแปลกประหลาด จากนั้นเจ้าจะได้รับโอกาสในการเข้าใจแก่นแท้พิเศษที่เป็นของเซียนต่างแดนคนนั้น!”
“หากล้มเหลว มันก็ทำให้แก่นแท้ของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น”
………………………………………