Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1951 เจิดจรัส! (1)
บททดสอบชั้นฟ้ามีมาตั้งแต่ยุคโบราณในมิติอันประหลาดแห่งนี้ มีเพียงสัมผัสวิญญาณของเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้นที่สามารถทะยานตรงเข้าสู่ท้องฟ้าและเข้ามาสถานที่นี้ได้
มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่สามารถมองทะลุโครงสร้างของมัน พวกเขารู้ว่าบรรพชนเทพได้สร้างขึ้นมาเลียนแบบแดนเทพบรรพกาล ซึ่งทำให้ลูกหลานของเผ่าเทพสามารถคุ้นชินกับแดนเทพบรรพกาลในอนาคตเพื่อมีโอกาสที่จะกลายเป็นมหาชั้นฟ้ามากขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีผู้สูงส่งชั้นฟ้าหลายคนมาที่นี่หลายครั้งเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองและมีชื่อเสียงทั่วเผ่าเทพ
บททดสอบชั้นฟ้าเป็นสถานที่ที่มหาชั้นฟ้าทั้งห้าคนให้ความสนใจอย่างมาก เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าเกือบเก้าในสิบต่างก็ใช้ความพยายามเพื่อผ่านตำหนักแต่ละระดับ
เบื้องหน้าสายตาของผู้สูงส่งชั้นฟ้านับร้อยด้านนอกตำหนักระดับแรก หวังหลินมาถึงเป็นลำแสงสายหนึ่ง พอเข้ามาใกล้ตำหนักระดับแรก แสงก็หายไปและร่อนลงบนพื้น
ยามที่หวังหลินก้าวเข้าสู่บริเวณด้านนอกตำหนักระดับแรก สายตาเซียนรอบด้านทั้งหมดต่างก็จับจ้องมาที่เขา
หวังหลินมองรอบๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาเคยเจอผู้สูงส่งชั้นฟ้าอยู่บางคนและส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเจอมาก่อน อีกทั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมามีคนเข้าออกอยู่เรื่อยๆ บางคนก็จากไปและบางคนก็มาลองอีกครั้ง
คนที่รู้จักเขาถึงกับยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน หวังหลินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน หลายคนมักจะผูกมิตรเว้นแต่จะเป็นคนที่มีนิสัยโอหังหรือมีความบาดหมางเท่านั้น
แม้หวังหลินจะหายตัวไปหลายสิบปี เขาก็ยังทำให้หลายคนเกิดความประทับใจเล็กๆ ตอนที่ผ่านหลายระดับในครั้งเดียว ดังนั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคนจึงอยากผูกมิตรกับเขา
ทว่าการผ่านสี่ระดับก็ไม่มากพอในสายตาผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางคน บางส่วนยังมีสายตาเย็นชา
“หลายปีก่อนข้าได้ยินมาว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวคนนี้เข้าสู่ระดับแรกและล้มเหลว จากนั้นก็ผ่านสี่ระดับรวดในครั้งเดียว เขาไม่ใช่คนธรรมดา!”
“สี่ระดับ? แค่สี่ระดับแล้วอย่างไร? ในกลุ่มเรามีใครที่ไม่ผ่านสี่ระดับบ้าง? การที่เขาล้มเหลวในระดับแรกและจากนั้นผ่านสี่ระดับในครั้งเดียวก็แค่กลลวงให้เราสนใจ”
“นั่นก็จริง ข้าประเมินว่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าผมขาวผ่านได้อย่างมากก็แค่ด่านที่ห้า”
รอบด้านต่างก็มองมาที่หวังหลิน คนที่เป็นสหายต่างก็พูดกันในใจ ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีบางส่วนจำหวังหลินได้ ส่วนคนอื่นรู้สึกดูถูก แต่ละคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง ทว่าในขั้นผู้สูงส่งชั้นฟ้านี้พวกเขาไม่อาจเผยอะไรออกมาทางสีหน้าได้
ห่างออกไปมีผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินกำลังนั่งมองหวังหลินอยู่ตรงนั้น ครู่ต่อมาเขาก็หลับตาและไม่มองอีก
เขาไม่อยากดูถูกเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้าคนใด แต่ไม่คิดว่าหวังหลินจะผ่านด่านที่เจ็ดไปได้ แม้เขาจะให้ความสนใจคนที่ต่ำกว่าด่านที่เจ็ด นั่นก็มากพอแล้ว
หวังหลินไม่ได้เข้าไปทดสอบในทันทีแต่ยืนอยู่นอกตำหนักระดับแรกและมองขึ้นไป แต่ละตำหนักสูงกว่าอีกแห่งและตำหนักที่เก้าช่างพร่าเลือนมาก
หวังหลินเข้าใจอยู่แล้วว่าบททดสอบชั้นฟ้ามีทั้งสิ้นสิบเก้าด่าน มีผู้สูงส่งชั้นฟ้าไม่ถึงหกสิบคนที่สามารถทะลวงผ่านชั้นที่เก้าไปได้ ส่วนคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า หากผ่านตำหนักระดับสิบได้ เมื่อนั้นจะกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
ทุกคนที่ได้เข้าบททดสอบชั้นฟ้าสามารถทำให้เกิดความสนใจได้ นอกจากนี้การเป็นพยานรู้เห็นการเกิดใหม่ของผู้สูงส่งชั้นเทวะนับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าเกิดความสนใจและมาหาด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามเผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียงสี่สิบแปดคนเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีคนที่สี่สิบเก้า นั่นแสดงให้เห็นว่าตำหนักระดับสิบนั้นยากเย็นแค่ไหน
มีแต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้นที่สามารถทะลวงผ่านชั้นสิบเอ็ดได้ หากสามารถผ่านไปถึงชั้นสิบเก้า ลือกันว่าจะมีโอกาสกลายเป็นมหาชั้นฟ้า! ผู้สูงส่งชั้นเทวะที่สามารถผ่านไปถึงชั้นสิบเก้าจะมีพลังอำนาจที่แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่กล้าดูถูกดูแคลน!
อย่างไรก็ตามไม่มีผู้สูงส่งชั้นเทวะที่ทะลวงผ่านชั้นสิบเก้าเลย ผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวซึ่งแข็งแกร่งที่สุดก็ยังหยุดที่ชั้นสิบหกและไม่สามารถผ่านไปได้
ตลอดหลายหมื่นปียังไม่มีใครข้ามผ่านอันดับของผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวได้เลยสักคนเดียว ตอนนี้เขาแทบเป็นคนที่จะเป็นมหาชั้นฟ้าคนถัดไปแล้วและบางคนก็เริ่มเรียกเขาว่าตะวันดวงที่หกแห่งเผ่าเทพ!
แม้ชื่อเสียงเขาจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ามหาชั้นฟ้า เขาก็ยังมีชื่อเสียงมากที่สุดใต้มหาชั้นฟ้า มหาชั้นฟ้าแปดสุดขั้วยังเสนอสิ่งมีค่ามหาศาลเพื่อดึงหมิงต้าวมาร่วมกับเขา เขาไม่ได้ปฏิบัติกับหมิงต้าวเหมือนผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะเหมือนคนอื่น แต่มีมารยาทมากยิ่งกว่า
‘ข้าอาจได้เจอผู้สูงส่งชั้นเทวะหมิงต้าวระหว่างทางไปเมืองหลวง เขาเป็นอันดับหนึ่งในผู้สูงส่งชั้นเทวะและต้องพิเศษแน่…’ หวังหลินอดไม่ได้ที่จะมีแววตาเปล่งประกาย
‘ครั้งนี้ข้าต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงในคราเดียว! ครั้งนี้ข้าอยากจะเห็นว่าข้าไปได้ไกลแค่ไหนโดยไม่มีเกราะวิญญาณ!’ หวังหลินหลับตาด้วยความสงบนิ่ง ครู่ต่อมาจึงลืมตาและเปล่งประกายเจิดจ้า เขาทะยานผ่านตำหนักระดับแรกไปและทะยานขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว
พอเขาขึ้นไปในอากาศ ผู้สูงส่งชั้นฟ้าบางส่วนจึงมองขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่ต่างก็หลับตาและไม่ให้ความสนใจมากนัก
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินเองก็หลับตาบ่มเพาะและไม่ได้มองมา
เมื่อเคยผ่านไปแล้วจะสามารถข้ามไปและไม่โดนตำหนักก่อนหน้านี้ส่งแรงกดดันอีก
หวังหลินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและผ่านสี่ระดับแรกไปอย่างรวดเร็ว เขาหยุดเบื้องหน้าตำหนักที่ห้าและก้าวเข้าไปข้างในโดยไม่ลังเล
วินาทีที่เข้าสู่ระดับห้า ทัศนวิสัยจึงพร่าเลือน เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขามาที่นี่ครั้งล่าสุด ครู่ต่อมาทัศนวิสัยก็ชัดเจนและอยู่ในดาราจักรแห่งหนึ่ง
‘ตำหนักระดับสี่มีดาวเคราะห์ 36 ดวงและมีดาวเคราะห์สีทอง! ดาวเคราะห์สีทองมีพลังไม่ด้อยไปกว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดรวมกัน ข้าสงสัยจริงว่าระดับนี้จะมีดาวเคราะห์สีทองกี่ดวง!’ หวังหลินมองดาราจักรเบื้องหน้าและดวงตาเปล่งประกาย
เบื้องหน้าเขา ดาวเคราะห์ 45 ดวงเปลี่ยนทิศทางการโคจรและทะยานเข้าหาจากทุกทิศทาง เกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง
ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้ ดาวเคราะห์ห้าดวงพลันเปลี่ยนเป็นสีทองในพริบตา มันปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังพุ่งมาหาหวังหลิน
‘ห้า…’ หวังหลินยืนอยู่ในอวกาศ สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ขณะที่ดาวเคราะห์เข้ามาหาเขา หวังหลินพลันยกแขนขวาขึ้นมาและระเบิดระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญ
‘หนึ่ง สอง สาม…สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม!’ หวังหลินกำหมัดและเกิดเสียงดังปะทุขึ้นเนื่องจากวิชาสิบสามวิชาปรากฏรอบฝ่ามือ วินาทีนั้นระดับบ่มเพาะหวังหลินยังอยู่ในขั้นวิบากดับสูญระดับกลางแต่ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘หลังจากบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลางข้ายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ มาดูกันว่าตอนนี้ข้าจะผสานเข้าไปในกำปั้นได้กี่วิชา’ เส้นผมสีขาวและเสื้อผ้ากำลังพริ้วสะบัด สายลมกรรโชกรุนแรงพัดผ่านมา ระดับบ่มเพาะระเบิดขึ้น กลิ่นอายเปลี่ยนจากวิบากดับสูญระดับต้นไปสู่ระดับกลาง!
‘วิชาที่สิบสี่!’ อีกวิชาปรากฏขึ้นในกำปั้นหวังหลิน จากนั้นก็เป็นวิชาที่สิบห้า สิบหกและสิบเจ็ดโดยไม่มีการหยุดชะงัก
พริบตาเดียวมีถึง 21 วิชา!
‘ตามที่ข้าคาดการณ์ แต่ขั้นของวิบากดับสูญสามารถเพิ่มจำนวนวิชาขึ้นไปได้ทีละเก้าวิชา…ขีดจำกัดของวิบากดับสูญระดับต้นคือเก้า หลังจากบรรลุระดับกลางก็ควรเป็นสิบแปด แต่ด้วยแก่นแท้ไม้และแก่นแท้โลหะ ระดับบ่มเพาะของข้าจึงเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อยและบังคับให้ควบแน่นได้อีกสี่วิชาจนไปถึง…ยี่สิบสองวิชา!’ ดวงตาหวังหลินเป็นประกายพลางมีดาวเคราะห์ 45 ดวงเข้ามาใกล้
‘วิชาที่ยี่สิบสอง!’ เสียงดังอึกทึกโผล่ออกมาจากกำปั้นและเกิดวิชาที่ยี่สิบสองขึ้นมา!
พลังอันน่าตกตะลึงโผล่ออกมาจากกำปั้นแรก ราวกับกำปั้นนี้สามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้ทีเดียว
‘น่าจะได้อีก…ยี่สิบสาม!’ หวังหลินคำรามแต่ไม่ได้โจมตีในทันที เขากระโจนขึ้นไป แขนขวาบวมเป่ง พลังแข็งแกร่งคล้ายกับเข้ามาแทนที่การไหลเวียนโลหิตในร่างกายและรวมกันในกำปั้น กลายเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เส้นผมหวังหลินคล้ายกับกำลังเริงระบำ ดวงตาเปล่งประกายและมีวิชาที่ยี่สิบสามก่อตัวในแขน!
‘ยี่สิบสามวิชาเป็นขีดจำกัดของระดับบ่มเพาะตอนนี้แล้ว!! วิชาที่เพิ่มมานี้เกิดขึ้นจากเวลาที่ข้าอยู่ในบ่อน้ำตงหลินจนเสริมพลังแก่นแท้อื่นๆทั้งหมดอีกเล็กน้อย’
หวังหลินก้มศีรษะ ดาวเคราะห์ 45 ดวงด้านล่างกำลังพุ่งเข้ามาหาและมีดาวเคราะห์สีทองห้าดวงเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ตอนนี้พวกมันอยู่ห่างจากหวังหลินเพียงไม่กี่พันฟุตเท่านั้น
‘เพียงแค่ร่างแก่นแท้เดียวก็สามารถผ่านด่านที่ห้าได้มากพอแล้ว!’ ร่างเงาหนึ่งทับซ้อนกับร่างหวังหลินพลางมีร่างแก่นแท้ห้าธาตุปรากฏขึ้นมา หวังหลินชกเข้าใส่เหล่าดาวเคราะห์ทันที!!
กำปั้นที่มีวิชาถึง 23 วิชาผสานกับร่างอวตารอีกจึงเท่ากับ 46 วิชา กำปั้นนี้ได้ทะยานเข้าสู่ดาวเคราะห์ 45 ดวง!
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องอย่างมหาศาล อวกาศพังทลาย แสงสีทองจำนวนมากแทงทะลุผ่านอวกาศนี้ไปด้านนอกและปกคลุมท้องฟ้า เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าด่านล่างนับร้อยต่างก็เห็นแสงสีทอง!
………………………………………