Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1953 เจิดจรัส! (3)
ณ สำนักต้าวยี่ แผ่นดินทิศใต้
สำนักต้าวยี่ถือเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดินทิศใต้ ทั้งยังมีชื่อเสียงไปทั่วเผ่าเทพ เนื่องจากมหาชั้นฟ้าต้าวยี่มาจากสำนักแห่งนี้!
ด้านหลังภูเขามีน้ำตกไหลผ่านจนกลายเป็นเสียงน้ำไหลกระทบผิวน้ำด้านล่าง ถัดจากน้ำตกมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งและมีชายหนุ่มชุดคลุมเต๋ากำลังนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เขาถือกิ่งไม้แห้งในมือและเหวี่ยงไปบนบ่อน้ำราวกับกำลังตกปลา
ทันทีที่หวังหลินผ่านตำหนักระดับแปด ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋าถึงลืมตาขึ้นมา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนด้วยความสงบนิ่ง
‘ผ่านตำหนักระดับแปดแล้ว…’ ชายหนุ่มชุดคลุมเต๋ายิ้มขึ้น เขาขยับกิ่งไม้ในมือและเกิดเป็นระลอกขึ้นในบ่อน้ำ ภาพเหตุการณ์บททดสอบชั้นฟ้าปรากฏออกมา
ทางด้านแผ่นดินทิศเหนือที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี สายลมของที่นี่ทำให้หิมะปลิวไสวราวกับเสียงภูติผีกำลังร่ำร้อง อาจทำให้จิตใจเซียนส่วนใหญ่ที่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกต้องสั่นเทา
ภายในเทือกเขาแห่งหนึ่งทางทิศเหนือสุดเขตแผ่นดิน ภูเขาลูกนี้คือเทือกเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ไม่ละลายมาหลายหมื่นปี มันมีรูปทรงไม่เป็นระเบียบและดูเหมือนกระบี่หันปลายขึ้นสู่ท้องฟ้า น้ำแข็งส่องประกายอยู่ใต้แสงตะวันและเปล่งกลิ่นอายเย็นยะเยือก
ที่แห่งนี้คือถ้ำของมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงแห่งแผ่นดินทิศเหนือ
ภายใต้ธารน้ำแข็งมีชายวัยกลางคนหัวล้านตัวสูงโปร่ง แสงอาทิตย์สาดไปบนธารน้ำแข็งและเกิดภาพมายาสะท้อนออกมา แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า
เซียนหัวล้านตัวสูงโปร่งมีท่าทีสงบนิ่งและมองร่างคนผู้หนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตำหนักระดับเก้า ดวงตาเขาพลันเปล่งแสงเป็นประกาย
เมื่อมีเซียนคนหนึ่งได้ผ่านตำหนักระดับแปดไป เหล่ามหาชั้นฟ้าจะรับทราบ ยามนี้บนภูเขาจักรพรรดิที่อยู่ห่างออกไปไกลบนแคว้นกลาง สตรีงดงามผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางใบไม้แห้งที่กำลังร่วงหล่น ใบไม้หนึ่งในนั้นไม่เคลื่อนไหวและเผยภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า
ด้านข้างสตรีงดงามเป็นชายชรา เขาดูขี้เกียจราวกับไม่มีเรี่ยวแรง เพียงแค่กวาดสายตาดูยังคล้ายกับไร้จิตวิญญาณ ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้าไม่ได้ทำให้เขาสนใจมากนัก
สตรีงดงามมองใบไม้แห้งเบื้องหน้าและเอ่ยขึ้นเบาๆ “อาจารย์ หากเขาผ่านตำหนักระดับเก้า ท่านจะเชิญชวนเขาหรือไม่?”
ชายชราด้านข้างลืมตาขึ้นมาและกวาดสายตาผ่านใบไม้นั้นไป
“หากอาจารย์เชิญชวนทุกคนที่ผ่านด่านระดับเก้า ภูเขาจักรพรรดิจะไม่เสียงดังไปหรอกหรือ? ตำหนักระดับเก้านั้นถือว่ามากพอให้ต้าวยี่และหวู่เฟิงสนใจเพราะพวกนั้นกลายเป็นมหาชั้นฟ้ารุ่นหลังและกระหายในการขยายอำนาจ พวกนั้นยังต้องหาคนมาคุ้มกันในช่วงการเกิดใหม่ด้วย”
“แต่สำหรับอาจารย์ การผ่านด่านระดับเก้าก็เหมือนมดไต่บนพื้นดิน แค่มดตัวเดียวที่ใหญ่กว่าตัวอื่นแล้วอย่างไร? หากเขาสามารถผ่านตำหนักระดับสิบห้าได้เหมือนหมิงต้าว คงทำให้อาจารย์คิดเรื่องเชิญชวนเขาได้บ้าง” ชายชราเอ่ยขึ้น
นางขบคิดและกัดริมฝีปาก มองดูใบไม้แห้งและไม่กล่าวอะไร
รวมไปถึงในเมืองหลวงของแคว้นกลาง มีพระราชวังอันหรูหราซึ่งไม่มีใครอยู่ในนั้นแต่มีม่านวารีที่เผยฉากเหตุการณ์หวังหลินทดสอบชั้นฟ้าอย่างชัดเจน
ทางด้านแผ่นดินทิศตะวันออก สำนักอันดับหนึ่งในเหล่าเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง สำนักตะวันม่วง
ในดินแดนต้องห้ามของสำนักตะวันม่วง ในห้องหินมีชายวัยกลางคนกำลังมองดูกระจกบานยักษ์ที่เผยเหตุการณ์ในบททดสอบชั้นฟ้า ทว่ามีแสงสีทองเต็มไปทั่วกระจกและร่างนั้นก็พร่าเลือน
ด้านข้างชายวัยกลางคนเป็นเด็กหญิงสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีแดง อีกคนสวมชุดสีม่วง ทั้งคู่อายุราวๆ เจ็ดถึงแปดขวบเท่านั้น หน้าตาดูราวกับตุ๊กตาหินหยกอันละเอียดอ่อน สายตาทั้งสองเปล่งประกายเจิดจ้าทั้งยังดูน่ารัก ยามนี้เด็กสาวชุดแดงเอามือหนึ่งเชิดคางพร้อมกับเล่นผมตัวเองไปด้วยและมองดูกระจก แต่ความจริงนางกำลังคิดว่าจะออกไปเล่นได้อย่างไร นางมองดูหญิงสาวชุดม่วงและทั้งสองก็กะพริบตาให้กัน
ด้านข้างเด็กสาวชุดม่วงมีเซียนอีกคน เซียนผู้นี้มีใบหน้าขมขื่นและถูกโซ่ล่ามคอเอาไว้ ดูเหมือนสองตาคล้ายกับจะมีน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ซึ่งมาจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเป็นเวลาหลายปีและเขาก็ตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่
“เอ๋เจ้าสุนัขน้อย ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นเล่า? ทำตัวดีดี ห้ามไม่เชื่อฟังนะ” เด็กสาวชุดม่วงมองดูเซียนที่มีท่าทีขมขื่นและยกแขนขึ้นมาลูบหัวอีกฝ่าย การลูบแต่ละครั้งทำให้เซียนคนนั้นก้มหัวเล็กน้อยและยิ่งมีน้ำตาขึ้นทุกขณะ
“บรรพชนน้อยทั้งสอง อาาา…อย่าคิดออกไปเล่นตลอดเวลาสิ…ดูคนผู้นี้ ข้าได้หาข้อมูลเขามาก่อน เขาก็มาจากแผ่นดินตะวันออก ไม่ว่าเขาจะผ่านตำหนักระดับเก้าได้หรือไม่ เขาก็ต้องถูกชักชวน” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นเบาๆ พลางมองสาวน้อยทั้งสองด้วยความขมขื่น
“ได้ เจ้าก็จัดการเอาเองเลย ฮานฮาน เจ้าต้องสั่งสอนเจ้าสุนัขน้อยที่ไม่เชื่อฟังตัวนี้ดีดี เราควรโยนมันเข้าไปในบ่อน้ำเก้าหยินเหมือนครั้งที่แล้วที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากผ่านไปไม่กี่วันเขาก็จะจงรักภักดีและจะพบว่าเล่นกับเราสนุกที่สุดแล้ว” สาวน้อยชุดแดงยิ้มออกมาให้กับชายวัยกลางคนแต่เดินไปข้างเซียนที่ดูขมขื่น นางตบศีรษะเซียนคนนั้นอย่างรุนแรง
ชายวัยกลางคนมองดูเรื่องนี้ด้วยความตกตะลึงและยิ้มอย่างขมขื่น เขาลุกขึ้นและโค้งคำนับให้แก่สาวน้อยทั้งสองคนที่กำลังเล่นอยู่รอบๆ ท่าทีเขากำลังเคร่งเครียดมาก
“มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!!”
สาวน้อยทั้งสองยังคงลูบศีรษะเซียนที่ตั้งชื่อว่าสุนัขน้อย ในที่สุดน้ำตาของเซียนผู้นั้นก็เริ่มไหลออกมา
“อา วาวา เขากำลังร้องไห้ใช่หรือไม่?”
“เขากำลังแกล้ง สุนัขน้อยนี่ไม่เชื่อฟัง ต้องแกล้งอยู่แน่ๆ!”
ชายวัยกลางคนรู้สึกจะเป็นบ้าตามกันไปและร้องคำรามใส่สาวน้อยทั้งสองคน “มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!!!” น้ำเสียงตะโกนดุจสายฟ้าและทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน ในที่สุดสาวน้อยทั้งสองก็หันกลับมามองเขา
“กุ้ยหยาน้อย เจ้ากำลังทำตัวไม่เชื่อฟังด้วยหรือ?” สาวน้อยวาวาถึงกับขมวดคิ้วและมองมาที่ชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนเมินเฉยนางพลางสูดหายใจลึกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มหาชั้นฟ้าชวงจื่อ คนผู้นี้เราจะต้องเชิญชวนเขา!”
“เช่นนั้นก็ไปสิ เจ้าไปพาเขากลับมาและให้เราได้เจอเขา” สาวน้อยฮานฮานสะบัดแขนคว้าเซียนชื่อสุนัขน้อย จากนั้นหายเข้าไปในห้องหินพร้อมกับสาวน้อยอีกคน
ชายวัยกลางคนถูกทิ้งไว้ตรงนั้น จับผมของตัวเองอย่างรุนแรงและยิ้มอย่างขมขื่น
ขณะที่แสงสีทองส่องประกายออกมาจากตำหนักระดับแปดในบททดสอบชั้นฟ้า หวังหลินทะยานเข้าหาตำหนักระดับเก้าภายใต้สายตาของเซียนทั้งหมดด้านล่าง ต่อจากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในอาณาเขตระดับเก้าโดยไม่ลังเล
วินาทีนั้นเซียนทั้งหมดต่างก็กุมลมหายใจตัวเอง สายตาจ้องมองตำหนักระดับเก้า!
‘ตำหนักระดับเจ็ดมีดาวเคราะห์ 63 ดวงแต่ระดับแปดมีถึง 81 ดวง! ตำหนักระดับเก้าถือว่าเป็นจุดสูงสุดของขั้นผู้สูงส่งชั้นเทวะระดับสูงสุดและอาจจะมีถึง 99 ดวง!’ หวังหลินก้าวเข้าไปในระดับเก้าและจ้องมองดาราจักรเบื้องหน้า
ในดาราจักรดวงดาว ดาวเคราะห์ 99 ดวงพลันเปลี่ยนวิถีการโคจรและทะยานเข้าหาหวังหลิน มีเก้าดวงที่เรืองแสงสีทองเจิดจ้า
หวังหลินหรี่ตาแคบและใช้ร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าโดยไม่ลังเล แต่ยังใช้แก่นแท้นามธรรมทั้งสามด้วย เขาสามารถผสานวิชาเข้าไปในร่างได้ถึง 23 วิชา ซึ่งพอใช้ร่างแก่นแท้และแก่นแท้นามธรรมจึงทำให้มีได้ทั้งหมดตอนนี้ 92 วิชา!
นี่คือขีดจำกัดของหวังหลินก่อนจะสวมเกราะวิญญาณ เพียงแค่กำปั้นเดียวก็มีถึง 92 วิชาอยู่ในนั้น ทำให้เขาเข้าใกล้ผู้สูงส่งชั้นเทวะได้มากยิ่งขึ้น
หวังหลินยกแขนขวา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า ความเจ็บปวดรุนแรงผุดออกมาจากแขนขวาพลางเปลี่ยนเป็นดาบหยินให้เขาฟาดฟันใส่ดาวเคราะห์ 99 ดวงด้วยท่วงท่าที่เรียบง่ายที่สุด!
การฟาดฟันนี้ได้สร้างร่างเงาดาบ 92 ร่างและผสานกันกลายเป็นร่างเงาเดียวก่อนจะผ่านเข้าใส่ดาราจักร
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นไปทั่ว ดาวเคราะห์ 92 ดวงจาก 99 ดวงพลันเกิดการระเบิด ก่อนที่พวกมันจะแตกสลายไปได้อย่างสมบูรณ์มีร่างเงาสองร่างทับซ้อนกับร่างหวังหลิน จากนั้นร่างแก่นแท้ห้าธาตุและร่างแก่นแท้สายฟ้าได้ก้าวเดินออกมา พวกมันทะยานเข้าดาวเคราะห์สีทองที่เหลืออยู่เจ็ดดวง
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุเกิดกะพริบวูบวาบและแยกเป็นร่างแก่นแท้วารี ร่างแก่นแท้เพลิงและร่างแก่นแท้ปฐพี แต่ละร่างพุ่งเข้าหาดาวเคราะห์แต่ละดวง ไม่ไกลกันนั้นร่างแก่นแท้สายฟ้าของหวังหลินได้ปลดปล่อยเสียงคำรามทรงพลังเข้าห่อหุ้มดาวเคราะห์ที่เหลืออีกสี่ดวง สายฟ้าทำลายล้างกระทบเข้าใส่ดาวเคราะห์สี่ดวง ต่อจากนั้นพวกมันก็เกิดการพังทลาย
แม้จะมีช่องว่างระหว่างการทำลายล้างดาวเคราะห์ 99 ดวง หวังหลินก็ทำอย่างดีที่สุดเพื่อลดช่องว่างดังกล่าว มองไกลๆ ราวกับดาวเคราะห์ 99 ดวงได้ระเบิดไปพร้อมกัน
วินาทีที่พวกมันเกิดการระเบิด แสงสีทองแผ่กระจายออกมาดุจคลื่นแสงสาดส่อง!
ตำหนักระดับเก้าที่ไม่ส่องประกายมานานหลายปีถึงกับเกิดการระเบิดเป็นแสงสีทองให้เซียนด้านล่างตกตะลึงและไม่เชื่อสายตาตัวเอง!!
“เขาผ่านตำหนักระดับเก้า!! หลังจากวันนี้ไปชื่อเสียงของหวังหลินต้องดังกระจายไปทั่วห้าแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอน!”
“ตำหนักระดับเก้า…ตำหนักระดับเก้า!! การผ่านตำหนักระดับเก้านั่นหมายความว่าเป็นจุดสูงสุดของผู้สูงส่งชั้นฟ้าและห่างจากผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียงแค่ขั้นเดียว เป็นไปได้ว่าวันนี้ข้าจะได้เห็นผู้สูงส่งชั้นเทวะคนที่ 49 ถือกำเนิด?!”
“ข้ากลัวว่าเหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งหมดกำลังมองดูที่นี่อยู่ด้วย!!”
เหล่าเซียนด้านล่างทั้งหมดต่างก็อ้าปากค้าง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินถึงกับก้มศีรษะด้วยความขมขื่น
“สหายเซียนหวังหลิน ยินดีด้วยที่ผ่านระดับเก้าไปได้!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มพูดประโยคนี้ก่อน แต่เซียนทั้งหมดด้านล่างต่างก็คำนับฝ่ามือไปยังท้องฟ้า
………………………………