Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1955 เจิดจรัส! (5)
ณ ท้องฟ้าอันพร่าเลือนของบททดสอบชั้นฟ้า ตำหนักระดับสิบที่ไม่ได้เปล่งแสงมาหลายหมื่นปีกำลังระเบิดแสงสีทองเจิดจ้า สาดกระจายออกไปจนเต็มสองตาของเหล่าเซียนด้านล่าง
ขณะที่แสงสีทองกระจายออกไป ร่างขนาดยักษ์ผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างนี้ไม่ใช่หวังหลินแต่เป็นร่างเงาที่เต็มไปด้วยอำนาจบารมีอันเหลือล้น
ร่างเงานี้ขนาดใหญ่มากราวกับยักษ์ที่กำลังยืนอยู่บนแผ่นดิน มันปรากฏตัวออกมาจากลำแสงสีทองในตำหนักระดับสิบและไม่นานก็มีรูปทรงชัดเจนขึ้น
พริบตาเดียวร่างเงานี้ก็เด่นชัด เขามีใบหน้าหล่อสมกับเป็นบุรุษ นอกจากกลิ่นอายโบราณแล้วยังมีพลังที่รั่วไหลออกมาทำให้เหล่าเทพทั้งหมดต้องทำความเคารพเขา
ร่างกายสวมชุดสีทองและมีมงกุฎอยู่บนศีรษะ ราวกับกำลังมองลงมายังโลกใต้ฝ่าเท้า
วินาทีนั้นจิตใจของเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้านับแปดร้อยคนและผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสี่คนถึงกับเกิดอาการสั่นเทา
“นั่นมันร่างเงาที่บรรพชนเทพทิ้งเอาไว้ในบททดสอบชั้นฟ้า!! กล่าวได้ว่าร่างเงานี้แยกตัวออกมาจากบรรพชนเทพ ถึงแม้บรรพชนเทพจะตายมันก็ยังอยู่ต่อหลังจากผสานกับบททดสอบชั้นฟ้า!”
“ตำหนักระดับสิบเป็นเส้นกั้นระหว่างผู้สูงส่งชั้นฟ้าและผู้สูงส่งชั้นเทวะ ลือกันว่าผู้สูงส่งชั้นเทวะแต่ละคนจะได้รับฉายาจากบรรพชนเทพเป็นการส่วนตัว ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง!!”
“เขาผ่านตำหนักระดับสิบและมีร่างเงาบรรพชนเทพปรากฏขึ้นมา หวังหลินผู้นี้ได้ผ่านประตูมังกรไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับเราเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าอีกแล้ว!”
“ข้าได้เห็นคนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะด้วยสองตาตัวเอง และยังมีบรรพชนเทพมอบฉายาเป็นการส่วนตัวอีก การเดินทางมาบททดสอบชั้นฟ้าครั้งนี้ไม่เสียเปล่า!”
พอร่างยักษ์สีทองปรากฏขึ้นมา เหล่าเซียนทั้งหมดด้านล่างต่างก็เกิดความเคารพยกย่องและทั้งหมดโค้งตัวคำนับ ไม่มีใครบังคับใครให้โค้งคำนับได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่เหล่าเซียนทั้งหมดทำด้วยใจจริง!
“เราเหล่าลูกหลานบรรพชนเทพขอคารวะบรรพชน!!” น้ำเสียงจากเซียนทุกคนดังกึกก้องอยู่ในบททดสอบชั้นฟ้า
ขณะนั้นร่างหนึ่งได้ทะยานออกมาจากแสงที่กำลังส่องประกายในตำหนักระดับสิบ ร่างนี้คือหวังหลิน
ฉากเหตุการณ์นี้ดูราวกับคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ในสายตาเซียนทั้งหมดด้านล่าง
ในท้องฟ้ามีร่างสีทองสองร่างขนาดหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่อยู่ห่างกันออกไปหนึ่งพันฟุตและมองหน้ากันเอง
หวังหลินหน้าซีดเล็กน้อย ตอนที่เขาปรากฏตัวออกมา เขาเห็นร่างสีทองขนาดยักษ์อยู่ตรงหน้า พอเขาเห็นร่างนั้นจิตใจถึงกับสั่นไหว นี่เป็นบรรพชนเทพที่เขาเคยเห็นมาแล้วสองครั้งก่อนหน้านี้!!
ดวงตาสีทองเต็มไปด้วยอำนาจบารมีมหาศาลกำลังส่งสายตามาที่หวังหลิน สายตานี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจที่มิอาจอธิบายออกมาได้ ราวกับมองทะลุความลับของหวังหลินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หวังหลินจิตใจสั่นเทา เขารู้สึกเหมือนเปลือยเปล่าภายใต้สายตาคู่นี้ ทั้งยังรู้สึกว่าความลับทั้งหมดของเขาถูกเผยออกมา!
หวังหลินไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้เลย แม้แต่อาจารย์ซวนลั่วก็ยังไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะมาถึงจุดนี้ในเผ่าเทพ!
เป็นผลทำให้หวังหลินไม่ได้เตรียมการมา ดังนั้นความลับทั้งหมดของเขากำลังจะเผยออกไป มีฝ่ามือหนึ่งผุดขึ้นในใจหวังหลินและพลิกผ่านความทรงจำของเขาอย่างรวดเร็วโดยไม่อาจซ่อนความลับใดไว้ได้เลย!
มันเริ่มค้นความทรงจำเขาตั้งแต่เกิด!
ทั่วทั้งเผ่าเทพมีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพียง 48 คนเท่านั้น สำหรับเผ่าเทพเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะนับว่าสำคัญยิ่ง เป็นรองเพียงมหาชั้นฟ้าเท่านั้น
แม้แต่บรรพชนเทพยังต้องให้ความสนใจกับเซียนเหล่านี้ ตอนนั้นหวังหลินถือได้ว่าเป็นคนของเผ่าโบราณหรือไม่ก็เป็นเซียนต่างถิ่นที่เปลี่ยนกลิ่นอายเข้ามาที่นี่และยังได้ตำแหน่งเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะอีก
บรรพชนเทพจะยอมได้อย่างไร? การเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้านับว่าเป็นเรื่องดี แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะจะต้องเป็นเซียนของแผ่นดินเซียนดารา! จะต้องถือกำเนิดและยกระดับบนแผ่นดินเซียนดาราโดยไม่มีปัญหา ทั้งยังเป็นเหตุผลในการบอกว่าคนผู้นั้นจะต้องผ่านตำหนักระดับสิบในบททดสอบชั้นฟ้าเพื่อก้าวเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
ผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทวะจะต้องเจอแบบนี้ทุกคน เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้ง 48 คนในปัจจุบันต่างก็ผ่านเรื่องนี้กันทั้งนั้น
นี่เป็นการทดสอบ และหากร่างเงาตัดสินว่าหวังหลินเป็นเซียนต่างถิ่นหรือเซียนโบราณ ข่าวนี้ก็จะแผ่กระจายออกไปยังเผ่าเทพในทันที ลืมเรื่องหวังหลินไปได้เลย แม้จะเป็นมหาชั้นฟ้าก็หนีไม่รอด
ร่างเงาของบรรพชนเทพคงไม่โจมตี แต่เมื่อความลับของเขาถูกเผยออกมา เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะหรือแม้แต่มหาชั้นฟ้าคงจะโจมตีแน่นอน!
ภายใต้สายตาของร่างเงาบรรพชนเทพ ความทรงจำของหวังหลินตั้งแต่วัยเด็กถูกสังเกตการณ์ ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่ได้ผสานเข้ากับวิญญาณพลันปรากฏขึ้นอีกครั้งและหมุนอย่างช้าๆ แสงอ่อนโยนปลดปล่อยออกมาล้อมรอบหวังหลิน ลูกปัดได้สร้างความทรงจำปลอมให้ร่างเงาบรรพชนเทพมองดู
ไม่มีใครรู้ว่าร่างเงาบรรพชนเทพเห็นอะไร แต่ไม่นานสายตาที่มองหวังหลินก็อ่อนโยนขึ้น
ผ่านไปสักพักขณะที่เหล่าเซียนด้านล่างทั้งหมดได้เฝ้าดู ร่างเงาบรรพชนเทพสะบัดแขนซ้าย ปรากฏม้วนคัมภีร์ขึ้นมาจากไหนสักแห่งและดูราวกับเป็นโองการอันศักดิ์สิทธิ์
บนม้วนคัมภีร์นั้นมีชื่ออยู่ 48 ชื่อ แต่ละชื่อส่องประกายเจิดจ้าและมีแรงกดดันโผล่ออกมาทุกชื่อ
“รายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะ!!”
“นั่นมันรายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะในตำนาน!!”
“ลือกันว่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนจะได้รับการแต่งตั้งจากบรรพชนเทพเป็นการส่วนตัวและจะเพิ่มชื่อแต่ละคนเข้าไปในรายชื่อ ซึ่งรายชื่อนี้จะมีแต่คนที่ผ่านตำหนักระดับสิบได้สำเร็จเท่านั้น!”
“นั่นมันรายชื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะ! ทุกคนในรายชื่อจะได้รับการปกป้องจากบรรพชนเทพ พวกเขาคือผู้มีเกียรติแห่งเผ่าเทพ!!”
นอกจากเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทั้งสี่คน คนอื่นๆ ต่างก็อ้าปากค้าง สายตาเต็มไปด้วยความปรารถนา ทุกคนต้องการมีชื่ออยู่บนนั้นแต่พวกเขาเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าจึงถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรายชื่อนี้คือผู้สูงส่งชั้นเทวะเท่านั้น!
ร่างเงาบรรพชนเทพยกแขนซ้ายขึ้นมาปรากฏพู่กันเคลื่อนไหวและเขียนตัวอักษรลงไปหนึ่งบรรทัด!
“หมายเลข 49 หวังหลิน”
หลังจากลากเส้นสุดท้ายจนจบ ร่างเงาบรรพชนเทพได้สลายกลายเป็นแสงสีทองสว่างขึ้นทั่วทั้งบททดสอบชั้นฟ้า
แม้หลังจากร่างเงาจะหายไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ ครู่ต่อมาจึงโค้งคำนับ
“ขอคารวะ ผู้สูงส่งชั้นเทวะ!” เสียงนี้รวมถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้าจูหลินและทุกคนที่สงสัยในตัวหวังหลินว่าจะผ่านระดับเก้าและระดับสิบได้หรือไม่!
ภายในฝูงชนยังมีสตรีงดงามคนหนึ่ง นางรู้สึกเหมือนระยะทางระหว่างเขาดูไกลเหลือเกิน คนหนึ่งอยู่ในท้องฟ้า คนหนึ่งอยู่บนพื้นปฐพี ห่างไกล ห่างไกลกันมาก…
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้นางรู้สึกถึงสัมผัสเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
หวังหลินหลับตาขบคิดอยู่ในท้องฟ้า ผ่านไปสักพักจึงค่อยๆ ลืมตาอีกครั้ง เขาเพิ่งจะผ่านเรื่องความเป็นความตาย ไม่คิดว่าบททดสอบชั้นฟ้าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย
‘ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าโผล่ขึ้นมาเองและช่วยข้า…มันมีจิตวิญญาณของตัวเอง แต่มันคืออะไร…มันมาจากไหน…ถึงกับสามารถหลอกลวงร่างเงาของบรรพชนเทพได้เช่นนี้!’
‘ตำหนักระดับสิบมีดาวเคราะห์สีทอง 99 ดวง มิน่าเล่าถึงมีเพียงไม่กี่คนที่ผ่านได้ แม้แต่ข้ายังต้องใช้เกราะวิญญาณกระทิงสวรรค์เพื่อให้ผ่านได้รวดเร็ว!’
ขณะที่หวังหลินขบคิด มีสามคนทะยานลอยขึ้นไปในท้องฟ้าและหยุดอยู่ข้างเขา ซึ่งคือสามผู้สูงส่งชั้นเทวะ พิรุณหิมะ กงล้อเต๋าและเมิ่งต้าว
ส่วนผู้สูงส่งชั้นฟ้าทารกน้อย เขาอยู่ด้านล่างอย่างสงบนิ่ง มองหวังหลินแต่ไม่ได้พูดอะไร
“ยินดีด้วยสหายเซียนหวัง ฮ่าฮ่า ตอนนี้เผ่าเทพของเราก็มีผู้สูงส่งชั้นเทวะเพิ่มอีกคน!”
“อีกไม่นานผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนในเผ่าเทพก็จะรู้ สหายเซียนหวังจะกลายเป็นคนมีชื่อเสียงในพริบตา หากมีโอกาสเจอกันในแดนเหนือ เราต้องถกเต๋ากันเสียหน่อย”
“สหายเซียนหวัง หลังจากบรรลุมาถึงผู้สูงส่งชั้นฟ้า ข้ากลัวว่าท่านจะต้องเผชิญกับการเชิญชวนของเหล่ามหาชั้นฟ้า ข้าชื่อพิรุณหิมะและอยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง ข้าสงสัยนักว่าสหายเซียนได้ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปอยู่กับใคร?”
ทั้งสามคนยิ้มและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน หวังหลินยิ้มตอบและคำนับฝ่ามือ
“เรื่องตัวเลือกว่าเป็นมหาชั้นฟ้าคนไหน ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจและยังไม่ได้จะจากไปตอนนี้…” หลังจากหวังหลินพูดขึ้น เขามองตำหนักระดับสิบเอ็ดที่ถูกก้อนเมฆปกคลุมจนมิด!
พอเขามองขึ้นไปจึงทำให้ทั้งสามคนมีท่าทีเคร่งขรึม
“หรือว่าสหายเซียนอยากลองระดับสิบเอ็ด?”
“ข้าจะลองดู!” หวังหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ด้านผู้สูงส่งชั้นเทวะพิรุณหิมะ หลังจากมองหวังหลินจึงลังเลก่อนจะเอ่ย
“เราสามคนยังไม่ผ่านด่านที่สิบเอ็ด ในเมื่อสหายเซียนหวังอยากลอง ข้ามีประสบการณ์บางส่วนที่อาจจะช่วยได้บ้าง”
“ความยากของตำหนักที่ผ่านระดับสิบมานั้นนับว่ายากยิ่งกว่าเก้าระดับแรกของผู้สูงส่งชั้นฟ้า และเมื่อล้มเหลวก็ไม่เป็นอันตรายนัก ท่านเพียงแค่บาดเจ็บ ถึงจะไม่หนักหนาสาหัสแต่ก็ต้องระมัดระวัง”
“นอกจากนี้ตำหนักที่เหนือกว่าระดับสิบขึ้นไป การจะผ่านด้วยระยะเวลาอันสั้นได้ถือว่ายากมาก นี่คือเหตุผลว่าแทบไม่มีเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะมาที่นี่เลย เราจะไม่ลองจนกว่าจะมั่นในถึงแปดในสิบส่วน…”
“เท่าที่ข้ารู้มา ท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ 49 คนรวมถึงสหายเซียนหวัง มีอยู่ 27 คนที่หยุดอยู่ระดับสิบเอ็ด นอกจาก 27 คนที่ว่ามา มี 13 คนหยุดอยู่ชั้นที่สิบสาม สหายเซียนทารกน้อยที่อยู่ด้านล่างก็ลือกันว่าได้ผ่านด่านที่สิบสองแล้ว แต่ความจริงเขาหยุดอยู่ที่ด่านสิบสอง”
……………………………………