Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1957 เจิดจรัส! (7)
ขณะที่แสงสีทองแผ่กระจายออกมาจากตำหนักระดับสิบเอ็ดในบททดสอบชั้นฟ้า หวังหลินก้าวออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือดและนั่งลงในแสงสีทองทันที ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตำหนักระดับสิบเอ็ดกำลังฉายซ้ำอยู่ในใจ
เริ่มแรกเป็นจิตวิญญาณแมงป่องมารเขียว หลังจากนั้นก็มีวิญญาณอสูรต่างแดนปรากฏขึ้นมาโดยไม่หยุดพัก ถ้าไม่ใช่เพราะหวังหลินสวมเกราะวิญญาณได้ทันเวลา การจะผ่านด่านนี้ไปถือว่าเป็นเรื่องยากมาก!
โดยเฉพาะวิญญาณดวงสุดท้าย มันเป็นช้างยักษ์ขนาดเท่าดาวเคราะห์ทั้งยังมีความแข็งแกร่งมหาศาล!
หวังหลินรู้สึกได้ว่าวิญญาณต่างแดนทั้งเก้าตัวที่เป็นภาพมายาไม่อาจเทียบกับร่างดั้งเดิมของพวกมันได้เลยแต่ยังทรงพลังยอดเยี่ยม ทุกตัวต่างก็มีระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้าระดับสูงสุดและสี่ตัวสุดท้ายแข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นเทวะได้เลยทีเดียว!
หวังหลินไม่มีเวลามากนัก หลังจากผ่านด่านที่สิบเอ็ดจึงถอดเกราะวิญญาณเพื่อยืดระยะเวลาใช้งานในทันที
ตอนที่หวังหลินก้าวออกมาจากตำหนักระดับสิบเอ็ด เสียงทรงอำนาจบารมีดังขึ้นในใจหวังหลินพร้อมกับแสงสีทองแผ่กระจายออกมา
เสียงนี้คนภายนอกไม่อาจได้ยิน มีแต่เขาที่ได้ยินเท่านั้น
“ข้าเหลียนหยุนจื่อได้ทิ้งสัมผัสวิญญาณไว้ในบททดสอบชั้นฟ้า ข้ายังทิ้งวิชาของข้าไว้ด้วย มันคือวิชาเต๋าแปดสุดขั้ว หากคนรุ่นหลังมีชะตาต้องกันก็อาจจะได้รับมันที่นี่…”
“เจ้าผ่านการทดสอบของข้า ดังนั้นจึงสามารถได้รับเต๋าเพลิงสุดขั้วของข้าได้! มันไม่ใช่วิชาแก่นแท้หรือวิชาเต๋า มันเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาหลังจากได้รับการสืบทอดจากแผ่นดินเทพบรรพกาล…”
ขณะที่เสียงดังกึกก้องในใจหวังหลิน ภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในความคิด มันเป็นฝ่ามือแต่กลับไร้พลังแห่งเปลวเพลิง มือข้างนั้นลอยขึ้นและมีควันสีเขียวปรากฏขึ้นรอบดัชนี ควันหมุนเป็นวงกลมเก้าครั้งและก่อเกิดวงแหวนควันทั้งเก้าที่ขยายออกไปและเปล่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัว!
หวังหลินนั่งหลับตาอยู่ในแสงสีทองพร้อมกับภาพและเสียงปรากฏขึ้นในใจ เขาเคยเห็นฉากเหตุการณ์นี้มาก่อนและกระทั่งยืมร่างอวตารในมิติว่างเพื่อเอามาใช้
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยืมพลังจากร่างอวตารเลย หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและมีควันสีเขียวหมุนวนรอบนิ้วมือ!
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้เซียนทั้งหมดด้านล่างต้องตกตะลึง!
“เขาผ่านด่านที่สิบเอ็ดจริงๆ!”
“มีผู้สูงส่งชั้นเทวะไม่มากนักที่สามารถผ่านด่านสิบเอ็ดได้ เขาทะลุจากระดับห้าและมุ่งหน้าผ่านระดับสิบเอ็ดเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น!”
“ข้าไม่อาจคาดเดาขีดจำกัดของเขาได้อีกแล้ว…” หลังจากหวังหลินผ่านด่านที่สิบเอ็ด เขาก็แยกขาดจากกลุ่มผู้สูงส่งชั้นฟ้าอย่างสมบูรณ์ เหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าด้านล่างไม่สามารถมองเห็นควันสีเขียวตรงปลายนิ้วหวังหลินได้เนื่องจากมีควันหนาแน่น
แต่กลุ่มพิรุณหิมะเห็นด้วยตาอย่างชัดเจน!
ทั้งสามคนมองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนทั้งยังตกตะลึง
“ถึงกับผ่านตำหนักระดับสิบเอ็ดไปได้ในการลองครั้งแรก…ควันสีเขียวนั่น ข้าเคยเห็นผู้สูงส่งชั้นเทวะฉายเว่ยใช้ออกมา มันเป็นเพลิงสุดขั้วของเต๋าแปดสุดขั้วชัดๆ!”
“เราก็คิดว่าเขาเหมือนกับเรา แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะมีพลังอำนาจพอในการผ่านระดับสิบเอ็ดไปได้…ท่ามกลางเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ ช่องว่างระหว่างแต่ละระดับนั้นกว้างใหญ่เหลือเกิน!”
ทั้งสามคนขบคิดและถอนหายใจอย่างเงียบๆ ห่างออกไปไกลผู้สูงส่งชั้นเทวะทารกน้อยกำลังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เขามองหวังหลินด้วยสายตาเกลียดชัง
‘ตำหนักระดับสิบเอ็ด…บัดซบ ตอนนั้นข้ายังต้องใช้เวลานานกว่าจะผ่านไปได้ มันยังได้วิชาของบรรพชนเทพไปอีก!!! ทำไมข้าไม่ได้บ้างหลังจากผ่านระดับนั้น…’
‘ตำหนักระดับสิบเอ็ดต้องเป็นขีดจำกัดของเขาแน่ เขาไม่สามารถผ่านระดับสิบสองได้แน่นอน ตลอดหลายหมื่นปีแม้แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะฉายเว่ยก็ยังหยุดอยู่ที่ระดับสิบสอง! มีเพียงเมิ่งต้าวเท่านั้นที่ผ่านไปได้!’
‘เขาผ่านไม่ได้แน่นอน!’ ขณะที่ผู้สูงส่งชั้นเทวะทารกน้อยจ้องมองหวังหลิน ในใจผุดความอิจฉาขึ้นมา
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงลืมตามองควันวงกลมสีเขียวบนนิ้ว แววตากะพริบเย็นเยียบและจากนั้นควันสีเขียวก็หายไป สายตาหวังหลินมองขึ้นไปและไม่เคยมองลงมา แต่เหล่าเซียนทั้งหมดต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นเทา มองไปยังตำหนักระดับสิบสองที่อยู่ด้านบนไปอีก!
‘ผู้สูงส่งชั้นเทวะพิรุณหิมะได้บอกว่าตั้งแต่ระดับสิบเอ็ดไป แต่ละตำหนักจะมีโชควาสนาของมันเอง…ใช่แน่นอน เต๋าแปดสุดขั้วนี้แตกต่างจากที่ข้าคิด ข้าคิดว่าบรรพชนเทพสร้างขึ้น แต่เขาสืบทอดมาจากแผ่นดินเทพบรรพกาล!’
‘แผ่นดินเทพบรรพกาลคืออะไรกันแน่? ดูเหมือนสัญญาณทั้งหมดได้บ่งบอกว่าลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามาจากที่นั่น และวิธีการกลายเป็นมหาชั้นฟ้าก็มาจากที่นั่นเช่นกัน…’
‘แม้กระทั่งวิชาของบรรพชนเทพก็สืบทอดมาจากแผ่นดินเทพบรรพกาล…ที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหนกัน?!’ หวังหลินขบคิด สายตาเปล่งประกายเจิดจ้า
‘บททดสอบชั้นฟ้าแห่งนี้ไม่ได้ทำให้มีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว ยังได้รับโชควาสนาที่บรรพชนเทพทิ้งเอาไว้อีก…เหลียนหยุนจื่อ…นั่นคือชื่อจริงของบรรพชนเทพใช่หรือไม่…’ หวังหลินสูดหายใจลึก ร่างกายสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันมีเสียงอุทานดังออกมาจากข้างล่างเนื่องจากเขาพุ่งไปต่อในตำหนักระดับสิบสอง
เขาได้ยินเสียงตื่นเต้นและเสียงร้องจากความคาดหวังที่อยู่ด้านล่าง อย่างไรก็ตามหวังหลินไม่ได้สนใจเลย เขาเพ่งสมาธิไปที่เป้าหมายเดิมในการมาที่นี่!
เขามาเพื่อกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืน!!
หวังหลินรู้สึกว่าแค่การผ่านตำหนักระดับสิบเอ็ดยังไม่มากพอ! เขารู้สึกว่าแม้แต่การเอาไปเทียบกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าฉายเว่ยที่แข็งแกร่งอันดับสองและหยุดอยู่ตำหนักระดับสิบสองก็ยังไม่เจิดจรัสมากพอ!
หวังหลินรู้สึกว่าบางทีการข้ามผ่านเมิ่งต้าวผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด แค่นั้นนับว่าเฉิดฉายไปทั่วหล้าได้แล้ว!!
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ตำหนักระดับสิบเอ็ดและสูงขึ้นไป มีโชควาสนารออยู่ หวังหลินสนใจในเต๋าแปดสุดขั้วที่บรรพชนเทพได้รับมาจากแผ่นดินเทพบรรพกาลอย่างยิ่ง!
“บ้า บ้าไปแล้ว เขากำลังจะลองตำหนักระดับสิบสอง!”
“ตำหนักระดับสิบสอง! ข้าไม่รู้ว่ามีผู้สูงส่งชั้นเทวะผ่านไปได้กี่คน แต่คนเหล่านี้ล้วนหาได้ยากยิ่ง!!”
“เขาจะผ่านแน่นอน ครั้งนี้ข้าไม่คิดว่าเขาจะล้มเหลว!”
การกระทำของหวังหลินได้ทำให้กลุ่มของพิรุณหิมะถึงกับจ้องมองร่างหวังหลินที่กำลังหายไปในก้อนเมฆด้วยความตกตะลึง ผ่านไปสักพักสายตาแต่ละคนจึงยิ่งซับซ้อนและเต็มไปด้วยความชื่นชม!
“มีคนบอกว่ามีคนที่รู้ว่าความทะเยอทะยานนั้นไม่มีขีดจำกัด วันนี้ข้าเข้าใจแล้ว…สิ่งที่เขาต้องการเป็นสิ่งที่เราทำได้แค่มองดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น”
“พิรุณหิมะ เจ้าคิดว่าเขาจะผ่านตำหนักระดับสิบสองได้หรือไม่?”
“ได้สิ! แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอเขา แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไม่เข้าใจ ในเมื่อกล้าเข้าไปในตำหนักระดับสิบสอง เขาก็ต้องมั่นใจแล้ว!”
“มันไม่เหมือนกัน มีเพียงผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวเท่านั้นที่สามารถผ่านตำหนักระดับสิบสองได้ตอนที่เขากลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ หากเขาผ่านไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่เหมือนกับผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวหรอกหรือ?”
“ตอนนั้นที่เมิ่งต้าวกลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ เขาได้ผ่านตำหนักระดับสิบสองและทำให้เหล่ามหาชั้นฟ้าต้องมาดูด้วยตาตัวเอง แม้กระทั่งเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะส่วนใหญ่ก็ยังมาหา มหาชั้นฟ้าทุกคนต่างก็มอบเงื่อนไขดีดีให้ทั้งนั้นและสุดท้ายเขาก็เลือกจักรพรรดิเทพ”
ขณะที่กลุ่มทั้งสามคนของพิรุณหิมะกำลังพูดคุยกัน แสงแพรวพราวโผล่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณและมีหลายร่างเริ่มปรากฏให้เห็น
ร่างเหล่านี้ทำให้ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทุกคนต้องเคารพเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาไม่ตกใจเลยที่เหล่าคนซึ่งพบเจอได้ยากมาปรากฏตัวในครั้งนี้!
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะเพลิงสวรรค์!”
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะเฉินฟ่าน!”
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะฝันสลาย!”
“นั่นมันผู้สูงส่งชั้นเทวะฮั่นตวน!”
ชั่วจังหวะแห่งความเงียบนั้น เหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะเกือบสามสิบคนต่างก็มาที่นี่ด้วยสัมผัสวิญญาณ พอพวกเขาปรากฏต่างก็มองขึ้นไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หาดูได้ยากนักที่จะมีเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะและผู้สูงส่งชั้นฟ้าปรากฏตัวจำนวนมากขนาดนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมามีครั้งเดียวที่เกิดขึ้นคือตอนที่ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวได้กลายเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
แม้แต่ผู้สูงส่งชั้นเทวะฉายเว่ยก็ไม่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ขนาดนี้
หลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณเปล่งประกายเจิดจ้า แสงยิ่งหนาแน่นมากขึ้น ชั่วครู่ต่อมามีร่างสูงใหญ่ก้าวเดินออกจากแสง
ร่างเงานี้หัวล้าน หลังปรากฏขึ้นทั้งบททดสอบชั้นฟ้าพลันเงียบสนิท ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้สูงส่งชั้นฟ้าหรือผู้สูงส่งชั้นเทวะ ทุกคนล้วนโค้งตัวให้กับร่างหัวล้านคนนี้
“ขอคารวะ มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง!”
ร่างสูงใหญ่ผู้นี้คือมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง! เขาก้าวเดินออกมาและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสงบนิ่ง สายตามองแต่หวังหลินเท่านั้นในขณะที่กำลังขบคิดอยู่
“หวังหลิน ไม่สำคัญว่าเจ้าจะผ่านระดับสิบสองได้หรือไม่ หากเจ้าติดตามข้า เจ้าขออะไรมา ข้าตกลงไม่มีข้อแม้!” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงไม่ได้พูดเสียงดังมากนักแต่กึกก้องไปทั่วบททดสอบชั้นฟ้าและเข้าสู่จิตใจหวังหลิน
หวังหลินหยุดกึกด้านนอกตำหนักระดับสิบสองไปชั่วขณะ เขาโค้งตัวให้และมองลงมา
“ขอบคุณมากท่านมหาชั้นฟ้า แต่ข้ายังต้องทุ่มความสนใจทุกอย่างไปกับการทดสอบชั้นฟ้า เราไว้พูดเรื่องนี้กันทีหลังได้หรือไม่?”
“ดี!” มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงไม่ใส่ใจเลย ยิ่งมองหวังหลินยิ่งทำให้เขาอยากเชิญเข้ามาร่วมมากขึ้น
เซียนทุกคนรอบด้านล้วนให้ความสนใจ แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปและรู้สึกประหลาดใจ เหตุการณ์นี้เทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวเมื่อตอนนั้น!
“สหายน้อยหวังหลิน เจ้ายังจำข้อตกลงของเราได้หรือไม่?” ชั่วขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้มหาชั้นฟ้าหวู่เฟิงขมวดคิ้ว
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเรืองแสงสว่าง มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ก้าวเดินออกมา
………………………………………