Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1965 เจ้าเห็นหรือไม่?
หวังหลินจากไปแต่กลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในบททดสอบชั้นฟ้า หวังหลินทะลวงผ่านแต่ละระดับจนทำให้ทุกคนตื่นเต้นมากและรู้สึกถึงความแตกต่าง
แต่ทุกคนจดจำชื่อ “หวังหลิน” ว่าเป็นชื่อที่เข้ามาแทนผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวในฐานะอันดับหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า!
ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว!
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเกราะวิญญาณได้ถูกฝังอยู่ใต้จิตใจทุกคนอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลยและเข้าใจดีว่าถึงแม้พวกเขาจะมีเกราะวิญญาณ ก็ไม่สามารถผ่านระดับสิบเจ็ดได้!
สิ่งที่หวังหลินทำเอาไว้ได้ก่อเกิดคลื่นยักษ์ในใจทุกคนที่กำลังทดสอบชั้นฟ้า หลังจากเป็นพยานรู้เห็นในสิ่งที่หวังหลินทำลงไป หลายคนจึงเข้าไปทดสอบเพิ่มเติม
มหาชั้นฟ้าต้าวยี่มองดูหวังหลินจากไปอย่างเงียบๆ แววตากะพริบแสงและเขาก็จากไป เขาต้องการตามหาหวังหลินทันที ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาจะไปชักชวนหวังหลินให้ได้!
หวู่เฟิงถอนหายใจ หลังจากหวังหลินผ่านระดับสิบเจ็ด เขารู้ว่าการชักชวนหวังหลินจะยากยิ่งกว่าการชักชวนเมิ่งต้าวเสียอีก!
‘โชคดีที่ข้าสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา แม้ข้าจะล้มเหลว ความสัมพันธ์กับเขาก็ยังดีกว่ามหาชั้นฟ้าคนอื่น’ หวู่เฟิงขบคิดและหายตัวไป
ทางด้านพระราชวัง เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว บัลลังก์มังกรถูกจักรพรรดิเทพป่นสลายเป็นผุยผง
ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวลืมตาอยู่ข้างๆ สายตาไร้จิตวิญญาณและก้มศีรษะเงียบๆ
“เมิ่งต้าว ข้าจะให้โอกาสเจ้ามุ่งหน้าไปพื้นที่ปิดด่านบ่มเพาะของบรรพชนเทพ เจ้าจะสามารถขับไล่ความอับอายได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง! หวังหลินนั่นควรมาที่เมืองหลวง หากเจ้าสามารถสังหารเขาได้ เจ้าก็ยังเป็นอันดับหนึ่งในเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะ!”
ครั้งนี้เมิ่งต้าวไม่ลังเลเหมือนก่อนและพยักหน้า
ณ แคว้นกลาง ยอดภูเขาจักรพรรดิ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ยืนอยู่บนยอดเขาและถอนสายตาออกมาจากใบไม้แห้ง ผ่านไปสักพัก จึงลืมตาเผยแสงภายใน
‘ข้าไม่สามารถชักชวนเมิ่งต้าวได้และตอนนี้เขาก็บาดหมางกับจักรพรรดิเทพ ข้าอยากเห็นเสียแล้วว่าใครจะมาแย่งชิงกับข้า!’ มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้หันไปมองไฮ่จื่อที่ค่อยๆ ลืมตาและหัวเราะ
“ไฮ่จื่อ ตามอาจารย์มา อาจารย์จะไปรับหวังหลินมาเป็นศิษย์และให้เขาเป็นศิษย์พี่เจ้า ว่าอย่างไร?”
ไฮ่จื่อตกตะลึงและเต็มไปด้วยความสุข
ด้านแผ่นดินตะวันออกในสำนักตะวันม่วง ชายวัยกลางคนมีแววตาส่องสว่างและพึมพำต่อไป
“ตำหนักระดับสิบเจ็ด เขาผ่านระดับสิบเจ็ดได้จริงๆ มหาชั้นฟ้าคนอื่นจะต้องสู้กันเพื่อแย่งเขาแน่นอน!! บรรพชนน้อย ท่านต้องรีบทำนายตำแหน่งเขา เราต้องรีบค้นหาให้เจอโดยด่วน!”
สาวน้อยทั้งสองกะพริบตาปริบๆ และยืนขึ้นทันที ทั้งสามคนเปลี่ยนกลายเป็นสายลมและหายไป ทว่าจังหวะนั้นมีมือเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาจับทันหลางไปด้วย
“อ้าา ข้าลืมพาสุนัขน้อยไปด้วย ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ลืมเจ้าหรอก เจ้าทำผลงานไว้ดี มากับเราซะดีดี”
ทันหลางมีหยาดน้ำตาไหลออกมาจนถึงคอ เขาหายตัวไปจากห้องหิน
ณ แคว้นมหาปราชญ์ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำโดยมีมังกรสมุทรหดตัวลงนอนขวางไว้อย่างขี้เกียจ หลิวจินเปียวกระโดดไปรอบร่างมังกรสมุทร บางครั้งก็แตะจุดหนึ่งและข่วนอีกจุดราวกับมีอาการคัน
เจ้ามังกรสมุทรเหล่ตาราวกับมันปลอดโปร่งมาก กระทั่งบิดตัวพร้อมกับหาว
“ฮี่ฮี่ เป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่? ปู่จินศึกษาเรียนรู้วิธีพิเศษในการเลี้ยงสัตว์ดุร้ายตั้งแต่อยู่ในโลกถ้ำ มันคือเคล็ดการนวด หากใช้ทุกวันจะทำให้โลหิตไหลเวียนและทำให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายเหมือนลอยอยู่ในก้อนเมฆ! อดทนเอาไว้ อดทนเอาไว้ ห้ามขยับ มันยังไม่จบ!”
“หากเจ้าไม่อดทน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าอีกแล้ว!” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เขาทำอยู่นานก่อนจะนอนลงสูดหายใจพะงาบๆ
“บัดซบ ข้าเหนื่อยแทบตาย เราต่างเป็นมังกรสมุทรทั้งคู่ ข้าทำให้เจ้าเสร็จแล้ว ตอนนี้ถึงตาเจ้าบ้าง!” หลิวจินเปียวมองดูมังกรสมุทร
“ข้าเป็นมังกรสมุทรจริงๆ ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือ ข้าอยู่ในวังโบราณและโดนวิชาที่ทำให้ข้ากลายเป็นคน”
มังกรสมุทรมองหลิวจินเปียวด้วยความลังเลและเอี้ยวตัวราวกับไม่เต็มใจ พอเห็นมังกรสมุทรเป็นเช่นนี้ หลิวจินเปียวเบิกตาและเต็มไปด้วยความโกรธ
“เฮ้ ไม่ใช่ว่าเราพูดกันด้วยเหตุผลหรือ? ข้ากำลังจะบอกเจ้าว่า หากเจ้าไม่ทำ ข้าจะไม่นวดผ่อนคลายให้เจ้าอีกแล้ว! นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เจ้าก็รู้นี่! ข้าบอกให้ฟัง มีอีกคนที่ติดตามนายท่านชื่อฉวี่ลี่กั๋ว เขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก และหากเจ้าไม่ร่วมมือ เจ้าก็จะต้องระมัดระวังเมื่อเขามาที่นี่” หลิวจินเปียวเต็มไปด้วยสายตาหวาดกลัวพลางพูดกับมังกรสมุทร
มังกรสมุทรลังเลอยู่สักพักและโกรธขึ้นมา ระหว่างนี้หลิวจินเปียวยังปลูกฝังไปอีกว่าฉวี่ลี่กั๋วเป็นคนที่อำมหิตโดยเฉพาะชอบกลั่นแกล้งมังกรสมุทร เพียงแค่คิดถึงฉวี่ลี่กั๋ว คนที่มันไม่เคยเจอหน้ามาก่อนก็ทำให้มันรู้สึกไม่เป็นสุขแล้ว
ผ่านไปสักพัก มันอ้าปากและพ่นแกนพลังดั้งเดิมออกมา หลิวจินเปียวรีบดูดซับทันที สายตาเต็มไปด้วยความภูมิใจที่ซ่อนเอาไว้พลางเริ่มบ่มเพาะ
‘ฮี่ฮี่ ข้าจินเปียวจื่อกำลังแข็งแกร่งขึ้น มังกรสมุทรตัวนี้โง่นักและหลอกง่าย เพียงมีมันช่วยเหลือ ข้าสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะได้ง่ายดาย จากนั้นข้าก็จะฝึกฝนมันให้จ้องมองฉวี่น้อย อีกไม่นานถึงจะไม่มีข้า เจ้ามังกรสมุทรก็จะทำตัวข่ม ฮ่าฮ่า รอก่อนเถอะฉวี่น้อย!!’
ขณะที่หลิวจินเปียวรู้สึกภูมิใจ หวังหลินลืมตาขึ้นมาและส่องสว่าง ทว่าพอเขาเห็นหลิวจินเปียวและมังกรสมุทร จึงตกตะลึงไปชั่วครู่
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาเห็นมังกรสมุทรยอมด้วยความเต็มใจ ดังนั้นจึงเมินเฉย
ผ่านไปสักพักเจ้ามังกรสมุทรพ่นลมหายใจเสร็จและนอนอย่างขี้เกียจ
หลังจากหลิวจินเปียวบ่มเพาะเสร็จและดูดซับแกนพลังดั้งเดิมจากมังกรสมุทร หวังหลินยืนขึ้นจ้องมองเขา
“อย่าทำอะไรใหญ่โต ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
พอหวังหลินชำเลืองมา หลิวจินเปียวรู้สึกเหมือนความคิดทุกอย่างถูกเผยไปหมด เขากะพริบตาพลางเผยสีหน้าละอายและรีบยืน
“นายท่านเรียบร้อยแล้ว? ได้ขอรับ เราพร้อมไปทุกเมื่อ ว่าแต่…เมื่อไรเราจะไปตามหาฉวี่ลี่กั๋ว?”
เจ้ามังกรสมุทรกำลังลุกขึ้น พอได้ยินชื่อ “ฉวี่ลี่กั๋ว” แววตาจึงเกิดความโกรธ มันจำชื่อ “ฉวี่ลี่กั๋ว” และรู้สึกเกลียดชังผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งสหายมังกรสมุทรเป็นพิเศษ
“แขกกำลังมา เราจะมุ่งหน้าไปแคว้นกลางเร็วๆ นี้ ส่วนการตามหาฉวี่ลี่กั๋ว ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว” หวังหลินสะบัดแขน เก็บฉวี่ลี่กั๋วและมังกรสมุทรกลับไป เขาก้าวออกมาจากถ้ำและปรากฏตัวบนยอดเขา ยืนเผชิญกับสายลมจนเสื้อผ้าปลิวไสว
“ใครจะมาถึงเป็นคนแรก…” หวังหลินพึมพำ เขาอยากให้ทุกคนตกตะลึงในตอนนี้!
ขณะที่หลิวจินเปียวกำลังสั่งสอนมังกรสมุทรให้โกรธฉวี่ลี่กั๋ว ห่างออกไปไกลในเมืองหลวงของแคว้นกลาง มีคนชุดฟ้าอยู่คนหนึ่ง เขามีใบหน้าแบบโจรชั่วและทำท่าดูถูก
เมืองหลวงอยู่ใจกลางของเผ่าเทพและปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่จนเกือบมีขนาดเท่าแผ่นดินขนาดใหญ่ที่มีหลายแคว้นรวมกัน มีเมืองหลวงอันงดงามที่คนธรรมดามิอาจสร้างได้เว้นแต่จะใช้คนมากมายสร้างขึ้นเป็นเวลาหลายพันปี
เมืองแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล!
ด้านตะวันออกของเมืองมีถนนที่ค่อนข้างวุ่นวาย ชายหนุ่มสวมเสื้อดอกไม้ก้าวเดินช่วงใหญ่และมีท่าทีจองหอง มีองครักษ์นับสิบเดินตาม แต่ละคนเป็นเซียนขั้นที่สามและองครักษ์ชุดม่วงยังเป็นถึงผู้สูงส่งชั้นทอง!!
เหล่าองครักษ์ล้วนเป็นบุรุษและเดินตามอย่างเงียบๆ
ด้านข้างชายหนุ่มมีอีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นวัยรุ่นที่ดูโอหังและสวมชุดสีฟ้า แต่เขาเดินแตกต่างกว่าคนอื่น ราวกับซ่อนอะไรไว้ระหว่างขา
อีกคนเป็นชายหนุ่มชุดแดงดูเหมือนคนที่มีความทะเยอทะยาน
“เฮ้ ท่านฉวี่ ลมหนาวพัดมาหรือถึงทำให้เราได้ยินเสียงจามของเจ้า?” วัยรุ่นท่าทีโอหังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคมชัด
“บ้ะ เจ้าสหายน้อยที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง เมื่อคืนปู่ฉวี่เจ้าออกไปเล่นสนุก เจ้ามาหาข้าต้องการให้ทำอะไร? มาสิ ไปกับเราคืนนี้” ชายหนุ่มมีสายตาดุร้าย
“ฮึ่ม เจ้าโจรไร้ยางอาย!” หนุ่มวัยรุ่นกลอกตา
“ข้าไร้ยางอาย? ปู่ฉวี่เป็นคนไร้ยางอาย? คืนนี้เจ้าระวังตัวไว้ให้ดี ข้าจะไปห้องเจ้าและจะให้อับอายยิ่งกว่า ฮี่ฮี่ ระวังไว้ให้ดี” ชายหนุ่มแซ่ฉวี่ยิ้มออกมาอย่างมีเจตนาร้าย พลางมองชายหนุ่มวัยรุ่น
“ไม่ต้องทะเลาะกัน เจ้าสองคนเสียงดังโวยวาย ทะเลาะไม่จบไม่สิ้น น้องแดงไปเตะประตู ให้ตระกูลลี่นั่นได้รู้ว่าราชาผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน เจ้าบัดซบถึงกล้ากลั่นแกล้งข้า!!”
“ส่วนเจ้า ฉิงน้อย จำไว้ว่าหากหลายอย่างกำลังแย่ จงรีบบีบหินหยกเพื่อให้พี่ใหญ่ข้ามาสั่งสอนบทเรียนพวกมัน!” ชายหนุ่มเสื้อลายดอกด้านหน้ากำลังพ่นลมหายใจและชี้ใส่คฤหาสน์ขนาดใหญ่ตรงหน้า
คฤหาสน์ขนาดใหญ่มาก มองไกลๆ มันเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ประตูปิดสนิทและไม่มีคนคุ้มกัน บนประตูมีแผ่นสีเขียวพื้นหลังสีแดงและมีตัวอักษรสีทองเขียนเอาไว้!
คฤหาสน์ลี่
เพียงตัวอักษรนี้เปล่งกลิ่นอายกระบี่เต็มไปทั่วบริเวณ
“ดี!!” ชายหนุ่มแซ่ฉวี่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับชอบทำเรื่องแบบนี้ เขาพุ่งเข้าหาประตูและเตะออกไป
เกิดเสียงดังปังแต่ประตูไม่ขยับเลย ทว่าชายหนุ่มแซ่ฉวี่ไม่สนใจราวกับรู้อยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้
“คนของคฤหาสน์ลี่ จงฟังให้ดี ปู่ฉวี่อยู่นี่แล้ว เปิดประตูมาต้อนรับแขก!!”
ชายหนุ่มเสื้อดอกไม้หัวเราะออกมาหลังจากได้ยิน เขาดูตื่นเต้นและพูดกับชายหนุ่มชุดสีฟ้าด้านข้าง
“เจ้าเห็นหรือไม่ เจ้าเห็นหรือไม่? รู้ไว้ซะบ้างว่าทำไมราชาผู้นี้ถึงให้คุณค่ากับฉวี่ ‘ต้อนรับแขก’ ช่างเป็นคำพูดที่ดีอะไรปานนั้น!”
…………………………………………