Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1968 โกหก โกหก
พอเจอกับสองสาวน้อย ต้าวยี่พลันขมวดคิ้ว หวู่เฟิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเข้าใจความหมายของนาง ดูเหมือนพวกเขารู้จักหวังหลินมาสักพักและกระทั่งพาเซียนที่หวังหลินคุ้นเคยมาด้วย
จิ่วตี้ยิ้มอย่างขมขื่นพลางมองสองสาวน้อย เขาเลือกที่จะไม่สนและพูดกับหวังหลิน
“หวังหลิน บอกข้าว่าเจ้าเลือกคนใด!”
“อาา เฒ่าโลงผุ เจ้ากล้าทำตัวไม่เชื่อฟังหรือ!?”
“เฒ่าโลงผุ ข้าจำเจ้าได้ เจ้าไม่สามารถเอาชนะเราได้!” สองสาวน้อยตาโตหลังจากได้ยินมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้พูด
“ชวงจื่อ หลังจากเจ้าเกิดใหม่ก็ทำให้วิญญาณแบ่งออกเป็นสอง เจ้ายังชอบทำนิสัยแบบนี้ได้อย่างไร!? คนผู้นี้ผ่านระดับสิบเจ็ดและตอนนี้เราก็อยู่กันที่นี่ ดังนั้นเราจะต้องกล่าวเงื่อนไขกันทีละคนเพื่อให้เขาตัดสินใจ เจ้า…” จิ่วตี้ขมวดคิ้วแต่ก่อนจะได้พูดจบ สองสาวน้อยกระโจนมาข้างหน้า
“ฮานฮาน เราไปตีเขากันเถอะ!” สาวน้อยวาวาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างทั้งสองในท้องฟ้าคล้ายกับทับซ้อนกันและมีกลิ่นอายระเบิดออกมา
สองสาวน้อยยกแขนขึ้นมาพร้อมกันและทำเป็นวงกลมกับร่างกาย แสงสีทองโผล่ออกมาจากวงกลมราวกับกลายเป็นดวงอาทิตย์สีทอง!
แสงจากดวงอาทิตย์เข้ามาแทนแสงทุกอย่างในโลกและห่อหุ้มมหาชั้นฟ้าสี่คน ไม่มีใครมองเห็นข้างในได้ชัดเจน
เกิดเสียงดังกึกก้องออกมาจากแสง มหาชั้นฟ้าต้าวยี่ถูกเตะออกมาคนแรก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแต่เขาก็ไม่ได้หันกลับมา ทะยานออกไปไกลแทน
คนที่สองที่ลอยออกมาคือมหาชั้นฟ้าหวู่เฟิง เขาถอยร่นออกมาจากแสงสีทองด้วยรอยยิ้มขมขื่น พลางถอนหายใจและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
‘เด็กดื้อสองคนนั้นใช้พลังของเก้าตะวันบนแผ่นดินเซียนดาราจริงๆ…นี่…นี่มันจะเกิดการต่อสู้จริงๆ…อ๊าก!!’
คนที่สามที่ออกมาคือมหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ เขาขมวดคิ้วออกมา สะบัดแขนเสื้อและทำให้แสงสีทองทั้งหมดหายไป
“หวังหลิน ข้าจะรอเจ้าตอบกลับอยู่ที่ภูเขาจักรพรรดิ!” มหาชั้นฟ้าจิ่วตี้ค่อนข้างรู้สึกทำอะไรไม่ถูก แขนขวายื่นออกไปและหายวับไปกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าไฮ่จื่อ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา มหาชั้นฟ้าทั้งสามถูกชวงจื่อบังคับให้ล่าถอยด้วยการกระทำอันบ้าคลั่ง
แสงสีทองหายไป สองสาวน้อยลอยอยู่ในท้องฟ้าด้วยความภูมิใจ
“ฮึ่ม กุ้ยหยาน้อย เห็นไหมว่าเราแข็งแกร่งแค่ไหน? สามคนนั่นหวาดกลัวการใช้พลังของเก้าตะวัน แต่เราไม่กลัว!”
“ข้ารู้ พวกเขาถึงกับไม่กล้าสู้ด้วย จนหนีป่าราบออกไปเลย!”
กุ้ยหยารีบก้าวเดินไปและเริ่มยกย่อง
“มหาชั้นฟ้าชวงจื่อทรงพลังจริงๆ กุ้ยหยาขอชื่นชม ชื่นชมจากใจ อาา!” เขาไม่ต้องพูดอะไรมากจริงๆ ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่บรรพชนน้อยทั้งสองคิดตอนที่เขาบอกว่ากังวลเรื่องการชักชวนหวังหลิน
ตอนนี้เขารู้ว่าวิธีนั้นเหมือนกับการโยนหินให้ทุกคนหวาดกลัว
กุ้ยหยาพูดขึ้นกลางมองหวังหลินด้วยความลำบากใจและคำนับฝ่ามือ
“กุ้ยหยาขอคารวะผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว เรื่องนี้…ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ ผู้อาวุโสเป็นคนมีชื่อเสียงและมีตัวเลือกหลายอย่าง แต่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อเป็นคนใสซื่อและเมตตาเหมือนเด็ก หากผู้อาวุโสยอมติดตาม เราจะไม่เห็นแก่ตัวกับผู้อาวุโสแน่นอน”
“เราจะพยายามทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจด้วยความสามารถของเราอย่างดีที่สุด” กุ้ยหยาโค้งตัว
หวังหลินขบคิดและมองทันหลางที่ใบหน้าขมขื่น
“กุ้ยหยาน้อย ทำไมเจ้าพูดอะไรเยอะแยะ? หวังหลินน้อย ตอนนี้ไม่มีมหาชั้นฟ้าคนอื่นอยู่ที่นี่แล้ว เราขอถามเจ้าว่า เจ้าจะมาหรือไม่มา?” สาวน้อยฮานฮานบุ้ยปากและชำเลืองมองหวังหลิน
ท่าทีของสาวน้อยดูน่ารักมาก เพียงแค่หวังหลินมองดูเขาก็คิดถึงโจวลี่ตอนที่นางเป็นเด็ก
“หวังหลินน้อย ข้าช่วยเจ้าเอาไว้นะ! เจ้าจำได้หรือไม่? เจ้าจำได้หรือไม่? ฮึ่มฮึ่ม หากเจ้าเป็นคนอกตัญญู ข้าจะไปตีเจ้า!” อีกด้านหนึ่งวาวาเบิกตากว้างและดูเหมือนนางกำลังโกรธ
หวังหลินยิ้มขมขื่น เบื้องหน้ากุ้ยหยามีท่าทีลำบากใจ เขารู้ว่าไม่มีผู้สูงส่งชั้นเทวะคนใดอยากจะโดนเชิญชวนด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ยิ่งเป็นคนแบบหวังหลินด้วยแล้ว มหาชั้นฟ้าคนใดจะไม่เสนอผลประโยชน์มหาศาลกันเล่า?
“เรื่องนี้…ผู้อาวุโสหวัง…” กุ้ยหยากำลังจะพูดกลบเกลื่อนสถานการณ์
สาวน้อยฮานฮานพ่นลมหายใจและลอยลงมาหาหวังหลิน แต่นางตัวเล็กเกินไปจึงต้องแหงนหน้ามอง รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ นางทะยานขึ้นไปทันทีเพื่อให้ศีรษะสูงกว่าหวังหลิน นางมีแววตาใสซื่อ กะพริบตาดูภูมิใจและเริ่มคุกคามหวังหลิน
“หวังหลินน้อย หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะตีเจ้า ข้าจะให้พ่อข้าตีเจ้าด้วย! กุ้ยหยาพูดว่าพ่อข้าแข็งแกร่งมาก บรรพชนเทพหรือบรรพชนโบราณอะไรกัน? แค่เขียนคำว่า ‘ตาย’ ทุกคนก็ตายกันหมด”
หวังหลินตกตะลึง
“โกหก โกหก…” กุ้ยหยาร่างสั่นเทาและคิดขึ้นมา ‘อา บรรพชนน้อย ท่านจะบอกเขาแบบนี้ไม่ได้’ เขาไม่ห่วงอะไรอื่นและรีบส่งข้อความให้หวังหลิน
“เด็กน้อยสองคนนี้…ที่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อพูดถึงคือพ่อธรรมดาของนางหลังจากเกิดใหม่ พวกนางสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไปหลังจากเกิดใหม่ และข้าก็กลัวว่าจะเศร้า จึงพูดอะไรมั่วๆออกไป ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าใส่ใจ…”
“เอ๋ กุ้ยหยาน้อย เจ้ากำลังส่งข้อความสัมผัสวิญญาณอะไรออกไป? ขอข้าฟังด้วยคน” วาวาพลันมองกุ้ยหย้าด้วยความสนใจและอยากฟัง แต่กุ้ยหยารวดเร็วมากและระมัดระวังอยู่ตลอด
“ฮึ่ม กุ้ยหยาน้อย เจ้าไม่เชื่องและไม่ให้ข้าฟังด้วยคน! พ่อข้าแข็งแกร่งมากนะ ข้าจะให้พ่อข้าตีเจ้า!” วาวาเผยท่าทีภูมิใจและตบศีรษะกุ้ยหยา
หวังหลินเผยรอยยิ้มขมขื่นพลางมองสองสาวน้อยทั้งสองและถอนหายใจ ทันใดนั้นเขาเทียบกับมหาชั้นฟ้าคนอื่น สองสาวน้อยทั้งสองคนนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร
โดยเฉพาะ…แววตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นมาตอนที่มองทันหลาง
‘ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้มองเห็นปัญหา! แม้จะมีพลังของอาจารย์ซวนลั่วก็ไม่สามารถนำคนออกมาจากโลกถ้ำได้ เขาทำได้แค่ปกป้องคนที่ไปเกิดใหม่เท่านั้น แม้แต่ข้าเองอาจารย์ยังต้องใช้อะไรหลายอย่างเพื่อให้ข้าออกมา’
‘แต่ระดับบ่มเพาะของทันหลางไม่ได้สูงมาก การที่มหาชั้นฟ้าชวงจื่อพาออกมายังเป็นเรื่องไร้ค่าอีก’ หวังหลินสูดหายใจลึกและกวาดสายตาผ่านสองสาวน้อยตรงหน้า โดยเฉพาะฮานฮาน ท่าทีภูมิใจของนางช่างน่ารัก
‘แม้มหาชั้นฟ้าชวงจื่อเจอกับเหตุบังเอิญระหว่างการเกิดใหม่ก็ยังมีพลังขนาดนี้…หากไม่เจอเรื่องบังเอิญ…เช่นนั้นคงแข็งแกร่งที่สุดในในมหาชั้นฟ้าของเผ่าเทพ ข้าสงสัยจริงว่านางจะเทียบกับมหาชั้นฟ้าตงหลินได้หรือไม่…’
‘สิ่งสำคัญที่สุด ข้าได้ละทิ้งเรื่องมหาชั้นฟ้าชวงจื่อแห่งสำนักตะวันม่วงไป มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกับโลกถ้ำ…’
“เฮ้ หวังหลินน้อย เจ้าอยากพูดหรือไม่ หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปพาพ่อมาตีเจ้าจริงๆนะ!” ฮานฮานมองหวังหลินอย่างโกรธๆ
หวังหลินยิ้มอีกครั้งและพยักหน้าทั้งที่กุ้ยหยารู้สึกละอาย
“ก็ได้ ข้าจะยอมติดตามมหาชั้นฟ้าชวงจื่อ!”
หวังหลินตอบทันทีพลางคำนับฝ่ามือกับฮานฮาน นางยิ่งดูภูมิใจมากกว่าเดิม
“ใช่แล้ว เจ้าควรจะพูดแบบนั้นเร็วๆ ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่พาพ่อมาตีเจ้าหรอก”
วาวาซึ่งอยู่ด้านข้างกำลังมีความสุขมาก ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วนางจึงดึงฮานฮานมาหาทันหลางที่เต็มไปด้วยความกลัว
“สุนัขน้อย ผลงานของเจ้าวันนี้ไม่ค่อยดี แต่ข้าจะให้ดอกไม้แดงกับเจ้าสักหน่อย! ฮานฮาน เราควรให้ดอกไม้แดงกับเขากี่ดอกกันดี?”
“ให้สักห้าดอกก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าอย่างไรวาวา?”
“ให้ไปหกดอก ข้าคิดว่าหกดอกมันนับง่าย เจ้าไปเอามาสามและข้าก็เอามาสาม”
กุ้ยหยาไม่สนบรรพชนทั้งสองที่กำลังเหยียดหยามทันหลาง เขาจ้องมองหวังหลินและไม่เชื่อว่าหวังหลินจะตอบตกลงแบบนี้
แม้จะคิดว่าตัวเองมาสาย เขาก็จินตนาการได้ว่าต้าวยี่ หวู่เฟิงและจิ่วตี้คงเสนออะไรอันน่าอัศจรรย์และล่อลวงเซียนได้ทุกคน
“ผู้อาวุโส ท่าน…” กุ้ยหยารู้สึกเหมือนฝันไป
หวังหลินมองเด็กสาวทั้งสองที่กำลังออกไปเล่นพลางตบศีรษะทันหลางไป จากนั้นเขาหันกลับมาหากุ้ยหยา “แต่ข้ามีคำขอเรื่องหนึ่ง ข้าไม่สามารถอยู่กับมหาชั้นฟ้าชวงจื่อได้นานนัก ข้ากำลังจะเดินทางไปแคว้นกลาง…จากนั้นก็จะปิดด่านบ่มเพาะและไม่สนโลกภายนอก”
“ตอนที่ข้าจากไป เจ้าไม่สามารถรั้งข้าได้ และหากมหาชั้นฟ้าลงมือกับข้าขณะที่ข้าอยู่ในแคว้นกลาง เจ้าจะต้องช่วยข้า บางทีข้าคงเป็นคนเดียวที่อยู่ใต้อำนาจมหาชั้นฟ้าชวงจื่อในรอบหลายปี…”
“หากเจ้าตกลง ข้าก็ตกลง!”
“เป็นแบบนี้เอง…” กุ้ยหยาก้มหน้าขบคิด ผ่านไปสักพักจึงเงยหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น
“ขอรับ ข้าสามารถเป็นตัวแทนมหาชั้นฟ้าชวงจื่อและให้สัญญากับท่านได้! แต่ข้าหวังว่าถึงแม้ท่านจะปิดด่านบ่มเพาะ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน…” หวังหลินเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อความหมายโดยไม่รอให้พูดจบ
“ในเหล่าห้ามหาชั้นฟ้าแห่งแดนเทพ ในชีวิตข้าจะไม่ติดตามคนอื่น ในเผ่าเทพ ข้าจะติดตามเพียงมหาชั้นฟ้าชวงจื่อเท่านั้น!” หวังหลินสัญญาขึ้นกับตัวเอง
“เยี่ยม!” กุ้ยหยาสูดหายใจลึกและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในสายตาเขาเรื่องนี้มันยอดเยี่ยมมาก แม้จะมีคนติดตามเพียงคนเดียวก็ยังดีกว่าไม่ได้ใครมาเลย
นอกจากนี้คนที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในผู้สูงส่งชั้นเทวะก็แทบจะรั้งไว้ตลอดเวลาได้ยากมาก
“ผู้อาวุโส เรากลับสำนักตะวันม่วงกันเถอะ เมื่อผู้อาวุโสอยากออกไปไหน ท่านสามารถไปพักผ่อนที่ไหนก็ได้ในสำนักตะวันม่วง รวมถึงสถานที่ปิดด่านบ่มเพาะของมหาชั้นฟ้าชวงจื่อที่เคยใช้ก่อนจะเกิดเหตุบังเอิญ!” กุ้ยหยาคำนับฝ่ามือและเคารพยิ่ง
“ไปกันเถอะ…” หวังหลินมองกลับมาทางสำนักตงหลิน ราวกับเขากำลังอำลาชายชราผู้โดดเดี่ยวคนนั้น
………………………………………