Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1971 คฤหาสน์ลี่!
ลึกเข้าไปในเมืองรองทิศตะวันออกของเมืองหลวง มีคฤหาสน์ที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่มันครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่และดูไกลๆ เหมือนอสูรดุร้าย
ด้านนอกคฤหาสน์เงียบสนิท ไม่มีร่องรอยผู้คนราวกับเป็นสถานที่ต้องห้ามในเมืองรองทิศตะวันออก หากมีคนมองไกลๆ คงผ่านไปและไม่เดินเข้ามาที่นี่
สายลมพัดหวิวและนำพาหิมะหนาปกคลุมพื้นดิน แสงสีเงินสะท้อนหิมะทำให้ทั่วบริเวณหนาวเย็น แสงสีเงินส่องประกายบนประตูคฤหาสน์จนเปล่งแรงกดดันทรงพลัง
ด้านนอกประตูมีสิงโตหินยืนอยู่สองตัว พวกมันหลับตาแต่เปล่งกลิ่นอายดุร้ายน่าหวาดกลัว ราวกับแค่พวกมันลืมตาก็ทำให้คนที่จ้องมองต้องฉี่ราดได้แล้ว
เหนือประตูขึ้นไปมีกรอบสีเขียวพื้นหลังสีแดง สลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่เอาไว้
“คฤหาสน์ลี่”
กลิ่นอายพุ่งพรวดออกมาจากสองตัวอักษร ทำให้เกล็ดหิมะรอบด้านร่วงหล่นคล้ายกับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ภายในมีห้องโถงยาวแต่กลับไม่มีเสียงและไร้ผู้คน
ต่อจากห้องโถงคือห้องหินสีเขียว เพียงหิมะปกคลุมห้องหินจึงคล้ายกับมีสีเงินคลุมทับ แต่วินาทีที่หวังหลินเข้ามาในเมืองตะวันออก เสียงดีดผึงดังกังวาลในห้องหิน!
เพราะบริเวณเงียบสงัด เสียงดีดคันธนูจึงแผ่กระจายออกไปชัดเจน
ข้างในห้องเป็นชายชรานั่งอยู่และชั้นวางทำจากไม้อยู่เบื้องหน้า ชั้นวางนี้เป็นสีม่วงและดูโดดเด่น มันดูแปลกประหลาดและคล้ายกับมีอะไรขาดหายไป
หากวางคันธนูไว้บนชั้นวางก็จะสมบูรณ์!
นาทีนี้เสียงอื้ออึงดังออกมาจากชั้นวางสีม่วง ร่างเงาของคันธนูปรากฏขึ้นและส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่อง
ชายชราพลันลืมตาขึ้นมา ดูคล้ายกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายลูกศรอันแข็งแกร่ง เขาพลันจ้องมองชั้นวาง
‘ชั้นวางคันธนูของบรรพชนเกิดเสียงขึ้นมา…นี่…เกิดขึ้นครั้งเดียวตอนที่คันธนูของบรรพชนอยู่ใกล้ หรือว่า…คันธนูของบรรพชนอยู่แถวนี้!!’ ชายชราสูดหายใจลึกและโบกสะบัดใส่ชั้นวาง ลำแสงสีม่วงกะพริบวาบและเปลี่ยนกลายเป็นลูกธนู มันทะยานออกไปจากห้องหินแต่ไม่ได้เร็วนักและเหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง จากนั้นก็หายวับออกไปไกล
ชายชรามีแววตาส่องสว่างและร้องตะโกนทันที่ “ลี่หยุน ลี่ชาน เจ้าสองคนติดตามคันธนูไปและดูว่าจะตามหากลิ่นอายคันธนูของบรรพชนเจอหรือไม่!”
เพียงเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ร่างสองคนปรากฏขึ้นมาจากตำหนักอันเงียบงันดุจหมอกควัน ทั้งสองหายตัวไปตามลูกธนูสีม่วง
ตอนนี้หวังหลินกำลังเผชิญหน้ากับสายลมและหิมะ เขาเดินลอดผ่านเมืองรองทิศตะวันออกไป หิมะบนพื้นหนามาก หวังหลินมองเมืองขนาดใหญ่อันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
หากเมืองรองตะวันออกเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงทั้งเมืองหลวง ซึ่งหาได้ยากในโลกนี้!
หลายคนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคนสังเกตหวังหลินได้แต่ก็เพียงมองผ่านๆ และจากไป
รอบด้านมีร้านค้ามากมายและมีคฤหาสน์หลายแห่งเปล่งปราณสวรรค์อันทรงพลัง หลายแห่งเป็นสถานที่อันหรูหรา ทั้งเมืองรองตะวันออกแห่งนี้อยู่ใต้พลังปราณสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
หวังหลินเดินผ่านเมืองแห่งนี้อย่างเงียบๆ จนกระทั่งดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟ้า เขาหยุดตรงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งและนำหินปราณสวรรค์ออกมาบางส่วนเพื่อจ่ายเป็นค่าพักแรม
ในห้องไม่กว้างใหญ่และเรียบง่าย แต่พลังปราณสวรรค์ที่นี่หนาแน่นยิ่งกว่าข้างนอก แม้จะไม่ใช่ถ้ำแต่มีกำแพง ประตูและหน้าต่างที่ถูกวางเขตอาคมเอาไว้ เขาอาคมเหล่านี้สามารถเปิดใช้งานเพื่อทำให้กลายเป็นสถานที่ปิดด่านบ่มเพาะได้เป็นอย่างดี
หลิวจินเปียวอยู่ข้างๆ และมองรอบด้าน มังกรสมุทรหดตัวลงจนมีขนาดเท่านิ้วน้อยและนอนอยู่บนไหล่ของหลิวจินเปียว มันดูค่อนข้างขี้เกียจ
เจ้ามังกรสมุทรและหลิวจินเปียวมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี หวังหลินไม่ประหลาดใจเลยเพราะเป็นธรรมดาที่หลิวจินเปียวจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วยวิชาของตัวเอง
ค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว หิมะตกเบาบางลงไปมาก หลิวจินเปียวมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นคนเดินเท้ามากขึ้น เขามองแสงสว่างไกลๆ และได้ยินเสียงดนตรีทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
“นายท่าน ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดี เมืองทั่วไปแทบจะมีเหมือนกันหมด ท่านเองก็เห็น ข้ากล้าบอกได้เลยว่ามันต้องมีสาวงามอยู่แน่ๆ!” หลิวจินเปียวชี้ออกไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
“นายท่าน นิสัยของฉวี่ลี่กั๋วเปลี่ยนแปลงได้ยาก เขาต้องสุขสมทุกค่ำคืน หากท่านต้องการค้นหาเขา การไปค้นหาที่นั่นมีโอกาสเจอได้มาก”
“เอ๋ ข้าหลิวจินเปียวเป็นสุภาพบุรุษ ข้า…ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่ข้าจะไปดูว่าฉวี่ลี่กั๋วอยู่นั่นจริงหรือไม่ นายท่านคิดเห็นอย่างไร…” หลิวจินเปียวระงับอาการตื่นเต้นพลางมองหวังหลิน
หวังหลินมองหลิวจินเปียวและรู้ว่าเขาไม่อยากอยู่ในห้อง หลังจากขบคิดจึงพยักหน้าให้
พอได้สัญญาณพยักหน้า หลิวจินเปียวพลันตื่นเต้นทันทีและก้าวออกไปพร้อมมังกรสมุทร
หลังหลิวจินเปียวจากไป หวังหลินจึงนั่งตัวคนเดียว เขานำสุราออกมาและเริ่มดื่มพลางมองหิมะด้านนอก
‘เหลียนต้าวเฟย…เจ้ายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกถ้ำได้หรือไม่…’ แสงจันทรานอกหน้าต่างยิ่งสว่างชัด สุราในมือพลันว่างเปล่า
หวังหลินถอนหายใจพลางวางขวดสุรา ลุกขึ้นและเดินออกไป เขาสวมเสื้อกันหนาวและเดินไปในเมืองรองทิศตะวันออกยามค่ำคืน
เสียงเพลงและเสียงพูดคุยดังทั่วสองฝั่ง แต่หวังหลินรู้สึกเหมือนเดินไปบนถนนอย่างโดดเดี่ยว จำนวนคนรอบตัวเขาค่อยๆ ลดลงจนเหลือแต่หวังหลินคนเดียวท่ามกลางหิมะ
หวังหลินหยุดลงและเอ่ยขึ้น “เจ้า ต้องการอะไร?”
พอเอ่ยเสียงดังขึ้นมา แรงกดดันจึงถาโถมออกไปจากน้ำเสียง ทำให้สายลมและหิมะแข็งค้าง มากพอที่จะบังคับคนที่กำลังซ่อนตัวให้ออกมา!
อากาศด้านหลังบิดเบือนและมีร่างคลุมเครือปรากฏ ก่อนที่ร่างนั้นจะปรากฎชัดเจนได้มีลูกศรสีม่วงพุ่งมาหาหวังหลิน
คนที่ปรากฏขึ้นมาใช้ฝ่ามือสร้างผนึกปรากฏคันศร ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังถือคันศรเอาไว้และยิงออกมาอีกดอก!
ลูกศรทะยานเข้าหาหวังหลินตามลูกศรสีม่วงก่อนหน้านี้
“ตระกูลลี่?” หวังหลินสวมเสื้อคลุมมิดชิด ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ พอหันกลับมาใช้แขนขวาชี้ออกไป
เท่านั้นลูกศรสีม่วงก็แตกสลาย แม้แต่ลูกศรที่ตามกันมายังสั่นเทาก่อนจะเลือนหายไปด้วย
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา หวังหลินลงมือโดยไม่ต้องก้าวถอยหลัง เขาแค่หันกลับมาและชี้ออกไปอย่างลวกๆ
คนที่ยิงลูกศรมาถึงกับเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่คิดว่าลูกศรที่เขายิงด้วยพลังสูงสุดของระดับผู้สูงส่งชั้นทองจะถูกอีกฝ่ายจัดการได้ง่ายๆ
เส้นขนเส้นผมทั้งหมดในร่างตั้งขึ้นและเกิดความหวาดกลัวสูงสุด เขาล่าถอยโดยไม่ลังเลและกระทั่งพ่นโลหิตใช้วิชาหลบหนี ร่างเปลี่ยนกลายเป็นเงาสีแดงและหายวับไปหลายพันลี้
หากหวังหลินต้องการไล่ตาม คนผู้นั้นไม่สามารถหนีรอดได้ แต่เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆ เฝ้าดูร่างเงาโลหิตจากไป
‘ข้าแค่เข้ามาในเมืองทิศตะวันออกก็ได้รับความสนใจจากตระกูลลี่แล้ว…คงเป็นคันศรลี่กวงในร่างข้าที่พวกนั้นสัมผัสได้’
‘พวกนั้นน่าจะแค่สัมผัสได้และไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งผู้สูงส่งชั้นทองออกมาติดตามข้าแค่สองคน’ หวังหลินไม่มีความเกลียดชังต่อตระกูลลี่ ดังนั้นจึงไม่ได้สังหารใคร
“ครั้งต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้!” หวังหลินพึมพำก่อนจะหันกลับไป
ทว่าคำพูดเขาดังกึกก้องดุจสายฟ้าเข้าไปในหูของร่างเงาที่กำลังหลบหนี ทำให้เขากระอักโลหิตอีกครั้ง สีหน้าท่าทางหวาดกลัว
‘เขา…ระดับบ่มเพาะอะไรกัน!? ระดับบ่มเพาะอะไรกัน?! เรื่องนี้ต้องรีบรายงานแก่บรรพชนโดยด่วน เขาต้องเป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าและไม่ใช่คนธรรมดา! ไม่ดีแล้ว ลี่ชานกับข้าขอแยกกันก่อน ข้าจะไปจับตาดูเขา ส่วนลี่ชานไปจับพรรคพวกเขา…’ สีหน้าท่าทางของร่างสีโลหิตพลันเปลี่ยนไปและรู้ได้ว่าการกระทำของตระกูลลี่อาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
หวังหลินยังคงสวมเสื้อกันหนาวปิดศีรษะและเดินอยู่บนถนน เขาไม่มีเป้าหมายและเพียงแค่ต้องการเดินเงียบๆ เพียงที่เดินไปมีแสงและเสียงดังออกมาจากเบื้องหน้า
หวังหลินเงยหน้าขึ้นมองสถานที่คล้ายพระราชวังซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงไฟ เขากำลังจะจากไปแต่พอมองขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเผยแสงประหลาดใจ
สายตาคล้ายกับสามารถมองทะลุได้ทุกอย่างและเห็นชายชุดแดงที่ดูภูมิใจ หวังหลินคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายของคนผู้นี้
เบื้องหลังชายชุดแดงมีเซียนอีกหลายคนที่ทำการอารักขา ทุกคนล้วนเป็นเซียนขั้นที่สามและต่างก็มองชายชุดแดงด้วยความเคารพ
‘ห่างขนาดนี้ข้าก็ยังสามารถสัมผัสตัวตนของเขาได้ มีคนวางผนึกไว้กับเขา!’ หวังหลินหรี่ตาแต่ก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุข
‘ฉวี่ลี่กั๋ว…’ หวังหลินส่ายศีรษะและกำลังจะเข้าไป ทว่าเขากลับขมวดคิ้วและหันมองออกไปไกล แววตากะพริบเย็นเยียบทันที
‘คฤหาสน์ลี่ นั่นมันก็เกินไปหน่อย!’ หวังหลินกะพริบตาและหายตัวไปทันที ชายชุดแดงในวังตรงหน้าโยนจอกสุราไปกับพื้นและร้องตะโกนใส่
“นี่มันสุราอะไร?! อย่ามาโกหกปู่ฉวี่นะ ข้ารู้ว่าตระกูลเจ้ามีสุราพันปี รีบนำมันมาที่นี่เร็วๆ ไม่เช่นนั้นปู่ฉวี่จะเล่าเรื่องที่นี่ทุกอย่าง!”
ชายชุดแดงมีสีหน้าดุร้ายแต่ไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งกำลังมองเขา สายตานั้นอาจทำให้เขาเกิดความสับสนขึ้นมาภายใน
…………………………