Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1973 ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว!
“ลูกศรเก้าดอกกลายเป็นฝนธนูนับไม่ถ้วนและกลายเป็นฝ่ามือ พลังระดับนี้แทบจะใกล้เคียงกับผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ผ่านตำหนักระดับเจ็ด…พวกเจ้าทั้งเก้าน่าจะมีพลังของผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่ผ่านตำหนักระดับสี่”
“สมควรแล้วที่เป็นคฤหาสน์ลี่ รากฐานช่างล้ำลึก!” หวังหลินกล่าวพลางก้าวเดินออกมา
“ในกลุ่มพวกเจ้ามีสามคนที่เป็นผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่อยู่ตำหนักระดับสิบและมีสองคนที่อยู่ตำหนักระดับเจ็ด ด้วยพลังที่รวมกันจึงสามารถไปถึงจุดสูงสุดของตำหนักระดับสิบได้ ข้าไม่สังหารใครเลยระหว่างทาง แต่หากพวกเจ้าสามคนโจมตี ข้าจะไม่ออมมือ!” หวังหลินกวาดสายตาผ่านคนนับร้อยเบื้องหน้าและหยุดที่ตำแหน่งแตกต่างกันสามแห่ง
เพียงเขาเอ่ยดังออกมา คนทั้งสามปรากฏตัวในตำแหน่งที่ว่า ชายชราด้านขวาเบื้องหน้าหวังหลินคือผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
เรือนผมครึ่งนึงเป็นสีดำและครึ่งนึงเป็นสีขาว เขาจ้องมองหวังหลินด้วยความตกตะลึงปนลังเล คล้ายกับคาดเดาระดับบ่มเพาะของหวังหลินเอาไว้แต่ก็ไม่มั่นใจ
“ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับคฤหาสน์ลี่ นอกจากนี้สมบัติของลี่กวงก็ช่วยข้าไว้มาก” หวังหลินพูดเรื่องที่คันศรลี่กวงช่วยเขาหลบหนีอันตรายได้หลายครั้งในโลกถ้ำ
“คนที่ยังไม่เผยตัวเอง ทำไมเจ้าไม่ออกมา?” หวังหลินเงยหน้าขึ้นทันที คนนอกไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาเขาได้ เห็นแต่เพียงแสงสีทองโผล่ออกมาจากดวงตาเท่านั้น
แสงสีทองมีแรงกดดันทรงพลัง ทั้งยังทรงพลังยิ่งกว่าแรงกดดันจากเมืองหลวงเสียอีก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะหรือคนธรรมดาต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว
หลังจากแรงกดดันเพิ่มถึงขีดสุดมันก็กลายเป็นการข่มไปโดยปริยาย แสงสีทองจากดวงตาหวังหลินมีพลังสะกดข่ม เขากำลังใช้พลังกระบี่ของบรรพชนเพื่อสะกดข่มทุกสิ่งทุกอย่าง!
เพียงหวังหลินกวาดสายตาสีทองผ่านไป คันธนูในมือของผู้คนคฤหาสน์ลี่ก็แตกสลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน
แม้แต่คันธนูที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าทั้งเก้าคนกำลังถือยังแตกเป็นเศษมากมายราวกับไม่สามารถต้านทานสายตาจากหวังหลินได้
ส่วนชายชราที่แข็งแกร่งที่สุดสามคน นอกจากผู้สูงส่งชั้นเทวะแล้ว ล้วนมีรอยแตกร้าวบนคันศรของตัวเองและแตกหักไปอีกด้วย
มีเพียงคันศรของผู้สูงส่งชั้นเทวะที่ไม่ได้แตกหัก แต่สายรั้งเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน
หวังหลินร้องคำราม สายตาเขาทำให้ไม่มีใครในคฤหาสน์ตระกูลลี่กล้าจ้องมอง ทุกคนล้วนแตกกระเจิงโดยไม่รู้ตัว เผยให้เห็นห้องหินไกลๆ
เวลานี้รอบด้านเงียบสนิท ไม่มีเสียงร้องแต่เซียนทุกคนที่คันศรของตัวเองแตกหักกำลังกลืนน้ำลาย ทุกคนหวาดกลัวต่อสายตาหวังหลินเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะผู้สูงส่งชั้นฟ้าที่คล้ายกับคาดเดาตัวตนของหวังหลินได้ แต่ละคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความหวาดกลัว
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว…” หลังจากนั้นสักพักน้ำเสียงขมขื่นดังออกมาจากห้องหิน ประตูห้องหินถูกผลักเปิดออกและมีชายชราผมขาวก้าวเดินออกมา
ชายชราสวมชุดคลุมสีทองและเปล่งแรงกดดันที่ไม่ใช่อารมณ์โกรธเกรี้ยว แม้สีหน้าจะขมขื่นเขาก็ไม่หลีกเลี่ยงสายตาสีทองจากหวังหลิน
หวังหลินยกแขนขึ้นมาเปิดผ้าคลุมศีรษะ เผยให้เห็นเรือนผมสีขาว เขามองชายชราอย่างสงบนิ่ง
พอหวังหลินเปิดเผ้าคลุม ผู้คนรอบด้านถึงกับอ้าปากค้าง สายตาทุกคนรวมมาที่เขา
ตลอดทั้งปีมีข่าวลือเรื่องหวังหลินไปทั่วแผ่นดินเซียนดารา ยิ่งข่าวลือเสมือนไฟลามทุ่งในเมืองหลวง ทุกคนต่างได้ยินเรื่องเขามาแล้วหลายครั้ง!
คฤหาสน์ลี่เป็นหนึ่งในสี่ราชาของเมืองหลวง แทบทั้งตระกูลต่างก็จดจำชื่อ “หวังหลิน” ไว้ขึ้นใจหลังจากได้ยินข่าวลือ
พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอผู้สูงส่งชั้นเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด อันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้า!
สิ่งที่พวกเขากังวลยิ่งก็คือพวกเขากลับพยายามสังหารคนผู้นี้ไปจริงๆ!
“ข้าขอคำอธิบาย” หวังหลินพูดขึ้นพลางมองชายชราที่ก้าวเดินออกมาจากห้องหิน ชายชราเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะ หวังหลินประเมินไว้ว่าเขาผ่านตำหนักระดับสิบเอ็ดแล้วและอาจติดอยู่ที่ระดับสิบสาม
‘คฤหาสน์ลี่มีผู้สูงส่งชั้นเทวะสองคนและผู้สูงส่งชั้นฟ้า 11 คน…มีสามคฤหาสน์ที่เป็นแบบนี้ในเมืองหลวง’ หลังจากสังเกตคฤหาสน์ลี่ หวังหลินก็เข้าใจเหล่าราชาทั้งสี่ของเมืองหลวงแล้ว
“ก่อนหน้านี้คันศรของบรรพชนได้ส่งเสียงขึ้นมานั่นหมายความว่าคันศรอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นคันศรของบรรพชนได้ถูกส่งต่อให้ลี่กวงและมันก็หายไปโดยไม่ทราบข่าวเลย…หลังจากสังเกตเสียงจากชั้นวางได้ ข้าจึงส่งผู้สูงส่งชั้นทองออกไปตรวจสอบ แต่พฤติกรรมของทั้งสองค่อนข้างสุดขั้วไปหน่อย อีกทั้งคันศรของบรรพชนก็สำคัญต่อตระกูลลี่เป็นอย่างมาก…” แม้ชายชราพยายามสบตาหวังหลิน เขาก็รู้สึกถึงพลังสะกดข่มจากสายตาหวังหลินว่ามันรุนแรงเกินไป
หวังหลินยังไม่พูดและยังจ้องมองชายชรา
‘ข่าวลือทั้งหลายไม่เกินเลยจริงๆ…หวังหลินผู้นี้คู่ควรต่อการถูกเรียกว่าอันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้า ข้าไม่ได้เห็นเขาผ่านบททดสอบด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงอว่าข่าวลือเกินจริงตั้งแต่ได้ยินว่าใช้เกราะวิญญาณช่วยเหลือ…แต่ไม่คิดว่าแค่สายตาก็สร้างแรงกดดันขนาดนี้ได้แล้ว!’ บรรพชนของตระกูลลี่ขบคิดเงียบๆ พลางถูกหวังหลินจ้องมอง
“คฤหาสน์ลี่ของข้าทำอะไรวู่วามไปก่อน…ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวต้องมาที่เมืองหลวงเพื่อพิธีมอบตำแหน่งเป็นแน่ ท่านพักที่คฤหาสน์ลี่ดีหรือไม่?”
“ให้คนของคฤหาสน์ลี่คุ้มกันท่านไปยังวังหลวง…และในเมื่อผู้สูงส่งชั้นเทวะมีคันศรของบรรพชนและคันศรก็ช่วยท่าน เช่นนั้นท่านก็ถือว่าไม่ใช่คนนอก”
“คฤหาสน์ลี่ของข้ามีตำหนักลูกศร ซึ่งมีลูกศรเต๋าที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ ท่านผู้สูงส่งชั้นเทวะสามารถเข้าไปดูได้ตามที่ต้องการ เพื่อตอบแทนที่เราทำอะไรไม่ยั้งคิด ท่านเห็นว่าอย่างไร?” ชายชราคำนับฝ่ามือและโค้งตัวให้หวังหลิน
เขาทำให้ตัวเองตกต่ำมากแต่ไม่มีใครในคฤหาสน์ลี่รู้สึกอับอายขายหน้า พวกเขายังรู้สึกว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้ เพราะกำลังเผชิญหน้ากับคนอันดับหนึ่งใต้มหาชั้นฟ้า!
คนผู้นี้มีแต่เหล่ามหาชั้นฟ้าต่อสู้กันเพื่อแย่งตัว แม้คฤหาสน์ลี่จะเป็นถึงหนึ่งในสี่ราชาของเมืองหลวงและแข็งแกร่งกว่าสำนักส่วนใหญ่ พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าจากหวังหลินได้
หากพวกเขาทำหวังหลินบาดเจ็บ มหาชั้นฟ้าจะออกมารับหน้าอย่างแน่นอน แต่หากหวังหลินสังหารพวกเขาก็ยังเป็นโอกาสดีที่มหาชั้นฟ้าจะไม่ทำอะไร…มันคือช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งและอ่อนแอบนแผ่นดินเซียนดารา ผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าวแทบไม่ค่อยออกมาจากวัง แต่เมื่อเขาออกมาก็ไม่มีใครกล้าดูหมิ่น!
แม้แต่ราชาทั้งสี่ยังต้องทำความเคารพเมิ่งต้าวอย่างมาก เพราะเขาอาจเป็นตะวันดวงที่หกในอนาคต!
ตอนนี้หวังหลินก้าวข้ามผู้สูงส่งชั้นเทวะเมิ่งต้าว หากคฤหาสน์ลี่รู้ว่าคันศรอยู่กับหวังหลิน พวกเขาคงแกล้งทำเป็นไม่รู้และคงไม่กล้าขอมันคืน
“ตำหนักลูกศร?” หวังหลินมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขามีความคาดหวังต่อคฤหาสน์ลี่ นอกจากหวังหลินจะมองเห็นความหวาดกลัวจากสายตาชายชราได้ เขายังเห็นคันศรของบรรพชนที่อยู่มานานอีกด้วย
พวกเขาไม่สามารถเอาไปได้ ดังนั้นจึงดูแลหวังหลินด้วยความเคารพ เพื่อหวังว่าสักวันหวังหลินจะส่งคันศรกลับคืน
“คันศรนี้…” หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมา แสงรวมตัวกันปรากฏเป็นคันศรลี่กวงในมือหวังหลิน วินาทีนั้นชายชรามีประกายแววตาตื่นเต้น
เขาเคยเห็นคันศรนี้อยู่ในมือของลี่กวง แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของคนนอก
เหล่าคนตระกูลลี่ล้วนแต่ขบคิดเงียบๆ และมองไปที่คันศร บางคนเคยเห็นและมีหลายคนไม่เคยเห็น
“ข้ายังต้องใช้คันศรนี้อยู่บ้าง เมื่อข้าเสร็จเรื่องทุกอย่างแล้ว ข้าจะคืนมันให้” หวังหลินสะบัดแขน คันศรหายกลับเข้าไปในร่าง
ชายชราจากตระกูลลี่ถอนหายใจแต่ไม่ผิดหวัง เพราะหวังหลินได้สัญญาเอาไว้และด้วยตัวตนของเขาจึงไม่จำเป็นต้องมาโกหก นั่นหมายความว่าหวังหลินมีเจตนาจะส่งมันคืน ดังนั้นเขาก็โล่งใจที่ยังคิดได้ว่าหวังหลินเพียงแค่ยืมไปเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือคันศรนี้หวังหลินเป็นคนพบเจอ แล้วจะคืนมันเพียงเพราะเคยเป็นของพวกเขาตั้งแต่อดีตได้อย่างไร? หากเขาวางตัวเองไว้ใต้เท้าหวังหลิน เขาก็คงกลัวว่าจะไม่ให้สัญญาแบบนั้น
หวังหลินพักอยู่ที่คฤหาสน์ลี่โดยไม่ปฏิเสธ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉวี่ลี่กั๋วอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่รีบไปปลดผนึกความทรงจำ เขาพักอยู่คฤหาสน์ลี่เพื่อเข้าไปดูลูกศรเต๋า
หลิวจินเปียวมีความสุขอย่างยิ่ง เพียงหวังหลินเป็นเจ้านาย เขาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
พริบตาเดียวผ่านไปสามวัน ยามบ่ายของวันที่สาม หิมะกำลังร่วงลงมา ทันใดนั้นปรากฏระลอกคลื่นขนาดใหญ่ขึ้นทั่วคฤหาสน์พร้อมกับระเบิดเป็นแรงกดดัน
แรงกดดันเข้าห่อหุ้มคฤหาสน์ลี่ทำให้ผู้คนต้องก้าวเดินออกมามองบนท้องฟ้า
มีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาพร้อมกับแสงสีทอง เขาสวมชุดคลุมสีเขียวและดูท่าทีโอหัง ถือม้วนคัมภีร์อยู่ในมือและมองลงมายังผู้คนของคฤหาสน์ลี่
“หวังหลินอยู่ไหน? ทำไมไม่รีบเข้ามารับราชโองการ!”
“อ่านซะ!” หวังหลินเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมาจากส่วนลึกของตำหนักลูกศร
“เจ้า…” คนชุดเขียวในท้องฟ้าตกตะลึง เขามาที่นี่เพื่ออ่านเจตจำนงของจักรพรรดิเทพซึ่งเท่ากับจักรพรรดิเทพมาด้วยตัวเอง แต่หวังหลินผู้นี้ไม่แม้แต่จะเผยใบหน้าให้เห็น
หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ชายชุดเขียวจึงพ่นลมหายใจอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าเผยความไม่พอใจ เขาเปิดราชโองการในมือและเริ่มอ่าน
หวังหลินไม่ได้ฟังอย่างละเอียดและแค่ได้ยินว่าจักรพรรดิเทพแจ้งให้เขาไปที่วังหลวงในเจ็ดวันเพื่อรับการแต่งตั้ง!
หวังหลินได้ยินจากสำนักตะวันม่วงว่าผู้สูงส่งชั้นเทวะทุกคนจะได้รับแต่งตั้งตำแหน่งเป็นการส่วนตัวจากจักรพรรดิเทพคนปัจจุบัน นี่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติและสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง
ช่วงการแต่งตั้งมีโอกาสที่จะถูกท้าประลอง แต่ในอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเมินเฉย เพราะเหล่าผู้สูงส่งชั้นเทวะคือคนที่ได้รับการยอมรับจากร่างเงาของบรรพชนเทพและมีน้อยคนที่ทำตัวเหมือนน่าเบื่อ
หลังจากชายชุดเขียวอ่านจบ เขาก็ไม่เห็นหวังหลินออกมาและรู้สึกผิดหวังมากขึ้น เขาทิ้งราชโองการไว้ด้านหลังและเดินทางจากไป
‘น่าสงสัยจริงว่าเหลียนต้าวเจินจะทำอะไรในพิธีแต่งตั้ง…ข้าน่าจะได้เจอเหลียนต้าวเฟยที่นั่น…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ เขาแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปทั่วเมืองทิศตะวันออกแต่ก็ไม่พบเหลียนต้าวเฟย
………………………………………