Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2004 ดาวหายนะขององค์ชาย
“ส่วนเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ผู้น้อยก็มิทราบ แต่การมีองค์ชายมาด้วยนั่นหมายความว่าจักรพรรดิโบราณยอมตกลง ไม่เช่นนั้นจ้าวเมืองคงไม่สั่งให้ปิดเมือง” ชายร่างกำยำอธิบาย
‘เลือกนางสนม?’ หวังหลินตกตะลึงและไม่คิดเลยเถิด เขาแค่คิดว่าจักรพรรดิของอาณาเขตเต๋า สถานที่ที่เขากำลังจะไปปกป้อง กลับส่งคนออกมาถึงอีกสองอาณาเขตเพื่อเลือกนางสนมช่างเป็นเรื่องที่บัดซบยิ่ง
‘อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข้าสามารถเจอคนของอาณาเขตเต๋าที่นี่ พวกนั้นต้องมีแผนที่ที่มีรายละเอียดของสิบสองแคว้นอาณาเขตเต๋า ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาค้นหาแผนที่ของข้าไปได้เยอะ’ หลังจากขบคิดชั่วขณะ หวังหลินกำลังจะสอบถามเพิ่มขึ้นแต่สายตาหันไปทางเมือง มีเสียงฝีเท้าดังออกมาและมีทหารเกราะเขียวสองชุดพุ่งทะยานจากประตูเมือง
ทหารสองชุดรวมกันเกือบพันคน พุ่งออกมาจากประตูและเปล่งกลิ่นอายสังหาร จากนั้นมีสามคนก้าวเดินออกมาจากเมือง
คนที่อยู่หน้าสุดในสามคนเป็นชายร่างกำยำ เขาสูงเกือบสิบฟุตและสูงกว่าคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด สวมเกราะสีทองและมีผ้าคลุมสีแดง เปล่งสัมผัสแรงกดดันและก้าวเดินอย่างสง่า
ด้านหลังชายร่างกำยำชุดทองทางด้านซ้ายเป็นชายวัยกลางคน เขามีหน้าตาเฉียบคม สวมเสื้อสีฟ้าเหมือนเซียนและมีกลิ่นอายเทพรั่วไหลออกมา
ผิวกายสีขาว เคราสามเส้นและถือพัดสีดำ แม้จะเปล่งกลิ่นอายดุจเทพแต่สายตาชั่วร้ายอย่างชัดเจน ดวงตาซ้ายมีหมอกแปลกประหลาดหมุนอยู่ภายใน
คนสุดท้ายยืนอยู่ด้านขวา เป็นชายหนุ่มชุดดำท่าทีเย็นชา แต่แววตากลับไม่ซ่อนจิตสังหารอำมหิตเลย เขายืนราวกับมีเปลวเพลิงกำลังเผาไหม้อยู่ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทว่าเปลวเพลิงนี้เป็นเพลิงเย็น
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนมีชายร่างกำยำตรงกลางเป็นผู้นำ เขาเดินผ่านทหารสองกองและทอดสายตามองออกไปไกล คล้ายกับสังเกตบางอย่างได้และหันมามองหวังหลิน!
ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่สองคนด้านหลังเองก็หันศีรษะมาพร้อมกัน สายตาจับจ้องมองดาวเก้าดวงกลางหน้าผากหวังหลิน ดวงตาของตัวเองเปล่งประกาย
“ขอคารวะจ้าวเมืองมหาเทพ จอมมารและจ้าวปิศาจ!” ชายร่างกำยำสองคนสวมชุดหนังข้างหวังหลินและอีกห้าคนนอกประตูเมืองต่างก็คุกเข่าโดยไม่ลังเล ทุกคนทำความเคารพนบนอบเป็นอย่างดี
แต่ชายร่างกำยำเกราะทองไม่สนใจ เขามองหวังหลินด้วยความงุนงง
“สหายร่วมเผ่าผู้นี้แปลกตายิ่ง ข้าคือจ้าวเมืองศิลาดำ ชักสงสัยเสียแล้วว่าสหายร่วมเผ่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่?” ชายร่างกำยำเกราะทองคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน
“ข้านาม กงฉี” ชายวัยกลางคนชุดฟ้ายิ้มออกมาและคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน
มีเพียงชายหนุ่มชุดดำแค่มองหวังหลินและไม่เอ่ยอะไร
หวังหลินยิ้มและคำนับฝ่ามือ “ข้าชื่อหวังหลิน บังเอิญว่าข้าได้ยินเรื่ององค์ชายและทูตอาณาเขตเต๋ากำลังผ่านมาที่นี่ หากไม่ว่าอะไรข้าอยากจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย แต่หากไม่สะดวก ข้าก็จะไป”
หวังหลินไม่เผยความหยิ่งยโสจากระดับบ่มเพาะและตำแหน่งอันสูงส่งอันใด นิสัยของหวังหลินมักจะเป็นเช่นนี้ หากคนอื่นเคารพเขา หวังหลินก็จะเคารพกลับเป็นธรรมดา
“ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้วก็เป็นแขกของเรา พี่หวังสามารถพักที่นี่และรอกับเราได้อยู่แล้ว” ชายร่างกำยำเกราะทองยิ้มออกมา
หวังหลินมองอีกฝ่าย โดยเฉพาะพลังเทพโบราณที่สัมผัสได้จากชายร่างกำยำ จึงรู้สึกถึงความคุ้นเคย เขายิ้มพลางก้าวเท้าและมาถึงข้างๆ ทั้งสามคน
“พี่หวังก็เป็นมหาเทพเช่นกันและขอเดาว่าได้ผ่านบททดสอบที่สองไปแล้ว ท่านน่าจะเข้าสู่ขั้นของการผสานปิศาจและหลอมมาร คืบหน้าถึงไหนแล้ว?” ชายร่างกำยำมองหวังหลินและยิ้มแย้ม
‘ผสานปิศาจ หลอมมาร?’ จิตใจหวังหลินสั่นเทาแต่สีหน้ายังปกติดี เขายิ้มส่ายศีรษะและไม่ได้พูดอะไร
“เชื่อมต่อ ผสานและหลอมรวมเป็นเรื่องยากมาก มันจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร? จากรูปลักษณ์ของเขาแล้วไม่เปล่งกลิ่นอายปิศาจหรือกลิ่นอายมารเลย แปลว่าเขากำลังหาทางอยู่ เหลียงหยุน นี่ก็เหมือนกับการไม่ได้ถาม” ชายหนุ่มชุดดำพูดอย่างเย็นชา สายตากวาดผ่านหวังหลินด้วยความดูถูก
“เมิ่งลั่ว!” ชายร่างกำยำเกราะทองถึงกับขมวดคิ้วมองชายหนุ่มชุดดำ เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“พี่หวังคงเดาได้แล้วว่าเมิ่งลั่วผู้นี้เป็นจอมมารและมีนิสัยค่อนข้างแย่ ข้าหวังว่าพี่หวังจะไม่นำมาใส่ใจ การเชื่อมต่อ ผสานและหลอมช่างยากเกินไปจริงๆ ข้าเองก็ก้าวหน้าไม่มากนัก” ชายร่างกำยำเกราะทองกล่าวขอโทษ
“ข้าไม่ถือสา” หวังหลินยิ้ม เขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้จริงๆ
การสนทนาดำเนินไปสักพัก เหลียงหยุนซึ่งเป็นชายร่างกำยำสวมเกราะทอง และกงฉีพยายามเค้นหาต้นกำเนิดของหวังหลิน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับคำตอบอันใด
ทั้งสองค่อยๆ หมดเรื่องพูดและเริ่มเงียบ
ความเงียบอยู่ได้ไม่นานนักก่อนที่หวังหลินจะสังเกตสิ่งหนึ่งได้ เขาแหงนมองท้องฟ้า กงฉีเองก็กำลังมองหวังหลินและจับความสนใจหวังหลินไปด้วย เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกันแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
ทว่าขณะที่กำลังถอนสายตา ดวงตากลับหรี่แคบลง ชายร่างกำยำและชายหนุ่มชุดดำมองไปบนท้องฟ้าด้วยความเคารพและตื่นเต้นเช่นกัน
วินาทีนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนไปและเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้อง กำปั้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่าและชกลงมาจากท้องฟ้า
ระลอกคลื่นกระเพื่อมมากยิ่งขึ้นราวกับท้องฟ้ากำลังแตกสลาย มันรุนแรงจนเกิดรอยแตกร้าวจนกระทั่งมีแขนยักษ์สองข้างทะลวงผ่านท้องฟ้าและฉีกเปิดรอยแยกขนาดใหญ่ออกมา
ร่างเงาสีเขียวขนาดยักษ์สูงหลายพันฟุตมีหนึ่งข้างอยู่ตรงหัวได้โผล่ตรงรอยแยกและก้าวออกมา!
ร่างเงาสีเขียวสวมชุดเกราะเขียวเต็มยศและเปล่งกลิ่นอายปิศาจอันมหึมา กลิ่นอายนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นสายหมอกแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างไร้ขอบเขต
นี่มันเป็นปิศาจโบราณชัดๆ!! ดวงตาสีแดงโลหิตและเต็มไปด้วยเจตนารุนแรง มันโผล่ออกมาส่งเสียงคำราม ก้าวออกมาจากรอยแยกและเหยียบลงบนพื้นดิน!
เมื่อมันเหยียบลงไปจึงเกิดระลอกคลื่นกระจายไปทุกทิศทางดังสนั่นและเกิดฝุ่นตลบราวกับคลื่นทะเลหนุน
เพียงหวังหลินมองปิศาจโบราณตัวนี้ จิตใจก็สั่นเทาและหรี่ตามอง
‘นี่…นี่มันไม่ใช่ปิศาจโบราณธรรมดา!’ หวังหลินเห็นปัญหาในทันที เขาเคยเห็นเหล่าปิศาจโบราณในโลกถ้ำแต่พวกมันดูเหมือนคนธรรมดาเว้นแต่จะเปิดเผยร่างจริงของตัวเอง
กระนั้นถึงจะเผยร่างจริงก็ยังต้องประคองสติและไม่บ้าคลั่งไปเสียก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือกลิ่นอายปิศาจที่เจ้าปิศาจโบราณตัวนี้เปล่งออกมาช่างทรงพลังเท่าเซียนผู้สูงส่งชั้นฟ้า
เพียงเจ้าปิศาจโบราณก้าวไปบนพื้นดินและส่งเสียงคำราม ชายเกราะทอง จ้าวปิศาจและชายหนุ่มชุดดำจึงคุกเข่าลงหนึ่งข้างและเอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “ขอคารวะ องค์ชาย!”
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่เหล่าทหารนับพันที่อยู่เคียงข้างล้วนคุกเข่าและตื่นเต้น แม้แต่คนที่อยู่ในเมืองซึ่งเห็นปิศาจโบราณต่างก็รู้สึกจิตใจสั่นเทาและคุกเข่าอยู่บนพื้น
คนเดียวที่ไม่ได้คุกเข่านั่นคือหวังหลิน
ชายเกราะทองสังเกตเห็นว่าหวังหลินยังคงยืนนิ่ง เขาตกตะลึงและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ กงฉีเองก็เช่นกัน แม้แต่ชายหนุ่มชุดดำยังเผยอาการหวาดกลัว
เป็นแค่องค์ชายจะทำให้หวังหลินคุกเข่าได้อย่างไร? แม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่สามารถทำให้หวังหลินคุกเข่าได้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่เบื้องหน้าจักรพรรดิเทพ หวังหลินเพียงแค่คำนับฝ่ามือเท่านั้น
หวังหลินมองดูปิศาจโบราณที่กำลังคำรามด้วยความสงบนิ่งและเห็นคนที่ยืนอยู่บนศีรษะมัน เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์ เรือนผมสีดำสะบัดพริ้วในสายลม เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูธรรมดาแต่เปล่งความรู้สึกที่มิอาจอธิบายออกมาได้
ด้านหลังเป็นสตรีชุดฟ้า นางดูเหมือนเทพธิดา เมื่อส่งสายตามาที่หวังหลินจึงเกิดอาการประหลาดใจ
ชายหนุ่มชุดคลุมสูงศักดิ์เห็นหวังหลินที่ยืนอยู่คนเดียวเช่นกัน ท้องฟ้าส่งเสียงดังลั่นอีกครั้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาและมองกลับไปยังท้องฟ้าด้านหลัง
ร่างเงายักษ์อีกร่างก้าวเดินออกมาจากรอยแยก ร่างเงานี้มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย เมื่อมันก้าวออกมากลับเผยเงาสองข้างและลำตัวสีดำ มันคือมารโบราณ!
ดวงตาของมารโบราณตัวนี้เป็นสีแดง ทั้งยังเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและดุร้าย ราวกับกำลังจะสูญเสียการควบคุมและส่งเสียงร้อง บนศีรษะมันมีคนยืนอยู่เจ็ดคน
ในเจ็ดคนนั้นมีบุรุษห้าคนและสตรีสองคน พวกเขาคำนับฝ่ามือไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าและเมื่อมองมาที่พื้น สายตาแต่ละคนจับจ้องมาที่หวังหลินซึ่งเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่
“พวกพ้องร่วมเผ่าพันธุ์ข้ามีคนไร้ความเคารพ ทุกคนได้เห็นเรื่องน่าอับอาย” ชายหนุ่มยิ้มให้กับเจ็ดคนที่อยู่บนมารโบราณ จากนั้นหันกลับมามองชายร่างกำยำเกราะทองข้างตัวหวังหลิน
“เหลียงหยุน เขาคือคนที่เจ้ารับเข้ามาใหม่หรือ?”
“รายงานต่อองค์ชาย ข้าไม่รู้จักเขา เขาเพิ่งปรากฏตัวที่นี่ เขาพูดว่า…เขาต้องการมาดูองค์ชาย ผู้ต้อยต่ำคนนี้ผิดเองที่ปล่อยให้เขาอยู่…ผู้ต้อยต่ำจะสังหารเขาเอง!” ชายร่างกำยำเกราะทองเผยความโกรธเกรี้ยวและจิตสังหาร
“ไม่จำเป็น!” องค์ชายพูดอย่างเย็นชา สายตาเป็นประกายและจ้องมองหวังหลิน
“ต้าวลั่ว สังหารเขา!” หลังจากองค์ชายเอ่ยขึ้น ปิศาจโบราณสูงร้อยฟุตข้างล่างพลันร้องคำราม มันยกเล็บมือขึ้นมาโดยมีเป้าหมายที่หวังหลิน
ดูราวกับมันต้องการจับหวังหลินและบดขยี้! เล็บอันคมกริบอาจผ่าเปิดช่องว่างในอากาศได้ในคราเดียว ทั้งยังมีกลิ่นอายปิศาจมหึมาและเข้าใกล้หวังหลินในพริบตา
…………………………………………………..