Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2005 ซ่งจื่อ!!
หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่ง เรือนผมสีขาวพริ้วสะบัด เขาพ่นลมหายใจและก้าวออกไป เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมต่อเผ่าโบราณ
‘ข้ามองเห็นพลังสายราชวงศ์จำนวนมากของเผ่าโบราณมาจากเรื่องเล็กน้อยแค่นี้…’ นอกจากการหาหยกแผนที่แล้ว หวังหลินอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูว่าพลังสายราชวงศ์ของเผ่าโบราณจริงๆ แล้วแข็งแกร่งแค่ไหน
เป็นแค่องค์ชายกลับทำให้ทั้งเมืองต้องคุกเข่า เพียงหวังหลินไม่คุกเข่าคนเดียวกลับทำให้ทุกคนตกตะลึงไปแล้ว
ชายร่างกำยำเกราะทองเดิมทีทำตัวสุภาพ พริบตาเดียวเต็มไปด้วยจิตสังหารและโกรธเกรี้ยว ราวกับการไม่คุกเข่าถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!
และองค์ชายผู้นี้ แค่เขาไม่คุกเข่าถึงกับต้องเอาชีวิตกันเลย จากท่าทีขององค์ชายแล้ว การสังหารคนร่วมเผ่าพันธุ์นั้นง่ายดายดุจการหายใจ
เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพลังอำนาจของราชวงศ์เพิ่มไปอยู่ในจุดสูงสุด สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนล้วนคุกเข่ามององค์ชายด้วยความเคารพนับถือและตื่นเต้นจากก้นบึ้งจิตใจ ราวกับพวกเขาจะทำอะไรก็ได้เพียงแค่องค์ชายบอกให้ทำ แม้แต่การฆ่าตัวตายก็ตาม
‘ในเมื่ออาณาเขตฉีก็เป็นแบบนี้แล้ว อาณาเขตเต๋าก็คงเหมือนกัน…บางทีข้าคงไม่เหมาะกับที่นี่…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ และก้าวออกไป เพียงแค่เขาก้าวครั้งที่สาม กรงเล็บปิศาจโบราณได้เข้าประชิด ทุกคนได้เห็นกรงเล็บทับซ้อนกับร่างหวังหลิน!
ราวกับหวังหลินถูกจับได้แล้ว!
เพียงแค่ทุกคนเห็นแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นชายร่างกำยำเกราะทอง จ้าวปิศาจกงฉี ชายหนุ่มชุดดำ ทุกคนที่กำลังคุกเข่าและแม้แต่ทหารเกราะหนังที่มอบหินหยกให้หวังหลิน ทุกคนล้วนเผยสายตาเย็นเยียบ
สายตาเย็นเยียบแต่ละคนราวกับบอกออกมาได้หนึ่งประโยค
“ทุกคนที่ไม่เคารพต่อพลังอำนาจของราชวงศ์จะต้องตาย…” เสียงหวังหลินดังกึกก้องขึ้นมา กรงเล็บปิศาจโบราณซึ่งทับซ้อนกับร่างเขาดูเหมือนกลายเป็นภาพโปร่งใสและหวังหลินก้าวเดินผ่านมาอย่างสงบนิ่ง
หรือพูดได้ว่าหวังหลินโปร่งใสและกรงเล็บปิศาจโบราณคว้าอะไรไม่ได้เลย หวังหลินเพียงแค่เดินเข้ามาหามารโบราณและทูติอาณาเขตเต๋า
พอปิศาจโบราณคว้าอะไรไม่ได้ แววตาบ้าคลั่งของมันยิ่งรุนแรง มันยื่นแขนขวาออกไปหาแผ่นหลังหวังหลิน แต่สายตาองค์ชายก็หรี่แคบ เขาจ้องมองหวังหลินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ทุกคนที่กำลังคุกเข่าล้วนตกตะลึง จากมุมมองแต่ละคนหวังหลินควรจะตายไปแล้ว ทว่ากลับเดินออกมาได้อย่างไร
ชายร่างกำยำเกราะทองถึงกับหรี่สายตา เขาเป็นเทพโบราณเก้าดาวเช่นกันและรู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำแบบนี้ได้ บางทีคงมีเพียงร่างของจ้าวปิศาจเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ได้
แต่ทว่าจิตใจของจ้าวปิศาจกงฉีกลับตกอยู่ในความปั่นป่วน วินาทีที่หวังหลินก้าวเดินออกมา เขาไม่อาจสัมผัสพลังปิศาจอันใดได้ ทว่านี่กลับทำให้มันยิ่งผิดปกติมากขึ้น!
‘เขา…เขาเป็นใคร!?’
ชายหนุ่มชุดดำตกตะลึงมากที่สุด เขาคือจอมมารและคิดว่ามองทะลุหวังหลินได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่หลังจากเห็นหวังหลินก้าวเดินออกมาจากกรงเล็บด้วยความสงบนิ่ง เขาจึงสูดหายใจลึกแต่แววตาเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้
คนทั้งเจ็ดบนร่างมารโบราณมาจากอาณาเขตเต๋าตามคำสั่งของจักรพรรดิเต๋า พอเห็นหวังหลินไม่คุกเข่าจึงคิดว่าจะได้เห็นการแสดงอะไรดีดี แต่กลับต้องประหลาดที่หวังหลินก้าวเดินออกมา กระนั้นก็ไม่นำมาใส่ใจเพราะเรื่องภายในอาณาเขตฉีไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา
แต่ตอนที่พวกเขาเห็นหวังหลินเดินเข้ามาหา จึงเกิดอาการงุนงง
หวังหลินไม่ช้าไม่เร็ว ด้านหลังมีกรงเล็บของปิศาจโบราณกำลังหดกลับไป มันส่งเสียงคำรามและยื่นกรงเล็บไปหาหวังหลินอีกครั้ง หวังหลินเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยุดลง พอกรงเล็บเข้าใกล้จึงหันกลับไปมองปิศาจโบราณ
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
คำพูดไม่ได้กระแทกดุดันเหมือนสายฟ้าและไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนสีสัน ทว่าเจ้าปิศาจโบราณถึงกับตัวสั่นและแววตาบ้าคลั่งหายไปกลายเป็นความหวาดกลัว ราวกับสายตาหวังหลินรุนแรงพอที่จะทำให้มันแตกสลายและถูกห่อหุ้มไปด้วยความตาย
เสียงคำรามหยุดชะงักและกลายเป็นเสียงร้องน่าเวทนา มันรีบถอยและคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างใหญ่ยักษ์เริ่มหมอบคลานให้แก่หวังหลิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง เกิดอาการหวาดหวั่นและตกตะลึง เจตจำนงการต่อสู้ของชายหนุ่มชุดดำพลันหายไป ร่างกายสั่นสะท้านและชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ชายร่างกำยำเกราะทองกำลังตัวสั่นเช่นกัน เขาคิดว่าตัวเองเพิ่งพูดว่าจะสังหารหวังหลิน แต่กลับไม่คาดว่าหวังหลินแค่ใช้สายตาจ้องมองก็ทำให้ปิศาจโบราณหวาดกลัวได้แล้ว
องค์ชายและสตรีข้างกันทะยานขึ้นสู่อากาศ ทั้งสองมองลงมาด้วยความตกตะลึง องค์ชายรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของปิศาจโบราณตัวนี้เป็นอย่างดี มันกระทั่งสามารถต่อสู้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้าของเผ่าเทพได้ด้วยซ้ำ!
ทว่าเจ้าปิศาจโบราณที่ทรงพลังตัวนี้กลับหวาดกลัวขนาดนั้น แสดงให้เห็นว่าคนที่ไม่คุกเข่ามีความแข็งแกร่งแค่ไหน
“เจ้า…เจ้า…” องค์ชายจี้ตูหน้าซีด
หวังหลินไม่สนใจและถอนสายตาออกจากปิศาจโบราณ ขณะที่ทุกคนมองมาที่หวังหลิน หวังหลินได้ก้าวเข้าหามารโบราณ
เดิมที่สายตาของมารโบราณตัวนี้เป็นสีแดงและเกิดอาการบ้าคลั่ง แต่วินาทีนั้นมันกลับร้องครวญคราง ทั่วร่างสั่นสะท้านและหมอบบนพื้นแสดงท่าทีเชื่อฟัง มันไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ทั้งเจ็ดคนบนศีรษะมันถึงกับหวาดกลัวที่หวังหลินเดินเข้ามา นอกจากชายชราหนึ่งในนั้นแล้ว อีกหกคนล้วนถอยร่นและระเบิดพลังเผ่าโบราณของตัวเอง
ในเจ็ดคนนั้นมีอยู่สี่คนบรรลุเก้าดาวและอีกสองคนไปถึงระดับการเชื่อม ผสานและหลอมรวม
คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือชายชราที่ไม่เดินถอยไป สีหน้าท่าทางหนักแน่นพลางร้องคำราม ปรากฏดาวเก้าดวงกลางหน้าผากและดวงตาสองข้าง!
มีทั้งสิ้น 27 ดวง! ดาวทั้ง 27 ดวงเปล่งแสงน่ากลัวและมีร่างเงาขนาดใหญ่สามร่างปรากฏขึ้นด้านหลังชายชรา พวกมันคือเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณ!
เงาสามร่างยืนตรงนั้นและจ้องมองหวังหลินที่กำลังเข้าไปหา
“ไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไรกับอาณาเขตฉี มันไม่เกี่ยวอะไรกับอาณาเขตเต๋าของเรา!” ชายชรารู้สึกจิตใจขมขื่น เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเดินเข้ามาหา
‘กลุ่มทั้งสามของเหลียงหยุนมีระดับบ่มเพาะประมาณแก่นแท้ดับสูญ บางทีเพราะมีความแตกต่างในสายโลหิต จึงมีระดับบ่มเพาะไม่เท่ากัน ส่วนชายชราที่มีดาว 27 ดวงนี้ระดับบ่มเพาะเท่ากับวิบากดับสูญ’
‘ตอนที่ข้าอยู่ในโลกถ้ำ ดาว 27 ดวงของข้าไม่สมบูรณ์แต่ช่วงที่ข้าอยู่ในเผ่าเทพมันค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น กระนั้นข้ากลับสามารถแสดงพลังได้เหนือกว่าคนผู้นี้เสียอีก’
‘บางทีนี่คือความแตกต่างในสายโลหิต ระดับบ่มเพาะของเย่โม่นั้นสูงกว่าของสีรุ้งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสีรุ้งถึงต้องให้ลี่กวงช่วยเหลือ ระดับบ่มเพาะของลี่กวงตามที่ข้าเข้าใจน่าจะอยู่ที่ผู้สูงส่งชั้นฟ้า โอกาสที่เขาจะเป็นผู้สูงส่งชั้นเทวะไม่ได้มากนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ตาย’
‘จากจุดนี้ เย่โม่น่าจะมีพลังประมาณผู้สูงส่งชั้นฟ้า เขาผสานดาว 27 ดวงได้หมดและผ่านบททดสอบทั้งสามด่าน ซึ่งระดับนี้ในเผ่าโบราณเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้า’
‘เผ่าโบราณน่าจะคล้ายกับเผ่าเทพ ซึ่งมีคนที่มีพลังเช่นนี้ไม่ถึงพันคน’ หวังหลินก้าวไปบนแขนของมารโบราณและมาถึงศีรษะของมัน เขามองดูชายชราที่กำลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปและมีเหงื่อปกคลุมใบหน้า ชายชราไม่สามารถทนรับแรงกดดันจากแววตาหวังหลินได้จึงถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
หากเขาเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงอีกหกคนด้านหลัง ทุกคนล้วนล่าถอยด้วยใบหน้าซีดเผือด
“พวกเจ้ามาจากเมืองหลวงอาณาเขตเต๋าใช่หรือไม่?” หวังหลินพูดอย่างสงบนิ่ง เขาเปล่งกลิ่นอายปรมาจารย์และสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นจนริมฝีปากชายชราแห้งผาก หัวใจเต้นถี่รัว เขารู้สึกแบบนี้เมื่อตอนที่เผชิญกับจักรพรรดิโบราณเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมาจากมรดกของจักรพรรดิโบราณ
แต่คนตรงหน้าเขาพึ่งพาเพียงพลังของตัวเอง!
“ใช่…ข้าได้ชื่อเย่ไห่มาจากจักรพรรดิโบราณ นี่เป็นการเดินทางเยี่ยมเยียนอาณาเขตฉีครั้งที่หกของข้าเพื่อช่วยจักรพรรดิค้นหานางสนม” ชายชราสูดหายใจลึกและหยุดการต่อต้านแรงกดดันของหวังหลิน แต่เผยความเคารพแทน
“เลือกนางสนมเป็นร้อยปีเลยหรือ?” หวังหลินได้ยินอีกครั้งและยังประหลาดใจ
ชายชรายิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า
หวังหลินถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “น่าสนใจเล็กน้อย ยังไม่มีใครได้รับเลือก?”
“ครั้งนี้ด้วยองค์ชายจี้ตูเป็นคนนำทาง เราจึงไปได้ถึงหกแคว้นและเลือกสาวงามได้สามคน คนสุดท้ายอยู่ที่เมืองศิลาดำ หลังจากนี้เราจะกลับไปอาณาเขตเต๋า” ชายชราตอบอย่างรวดเร็วและไม่กล้าซ่อนงำอะไรไว้ เขาลูบเจ้ามารโบราณด้านล่างอย่างเบามือ
ร่างมารโบราณสั่นเทาพลางมีสาวงามสองคนก้าวเดินออกมาจากระลอกคลื่น แต่ละคนโค้งคำนับไปที่หวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว
ชายชราพูดอย่างเคารพ “ทั้งสองคนคือคนที่ถูกเลือก”
หวังหลินกวาดสายตาผ่านหญิงสาวสองคนไปและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเจ้ามาจากอาณาเขตเต๋า จงมอบแผนที่ไปเมืองหลวงอาณาเขตเต๋ามาให้ข้า”
ชายชราตกตะลึง หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงนำหินหยกออกมาและส่งให้หวังหลินอย่างเคารพ
หลังจากหวังหลินรับไปดูจึงก้าวเดินออกจากศีรษะมารโบราณ เขาเตรียมพร้อมจะไปแล้ว ส่วนด้านองค์ชาย หวังหลินไม่ถือว่าเขาคู่ควรให้ใส่ใจ
“ผู้อาวุโส รอก่อน!” องค์ชายพูดขึ้นก่อนจะปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังหลิน เขาโค้งคำนับให้หวังหลินอย่างจริงจังและมีสีหน้าจริงใจอย่างยิ่ง
“ผู้น้อยจี้ตูล่วงเกินผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่นำมาใส่ใจ โปรดให้ผู้น้อยได้มีโอกาสชดใช้ท่าน”
“โอ้? เจ้าจะชดใช้ข้าอย่างไร?” หวังหลินเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
หลังจากเห็นหวังหลินพูดขึ้นมา องค์ชายจึงมุ่งมั่นและรีบคำนับฝ่ามือ
“ข้าขอให้ผู้อาวุโสรอสักครู่ เมื่อข้าได้ส่งทูตอาณาเขตเต๋ากลับไปแล้ว ข้าจะทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจแน่นอน” หลังจากหวังหลินพยักหน้า องค์ชายจึงส่งข้อความออกไปหาชายร่างกำยำเกราะทองด้านล่าง
“ไปเชิญแม่นางซ่งจื่อให้ไปกับทูตอาณาเขตเต๋า”
หลังจากนั้นไม่นานสตรีสวมชุดสีฟ้าคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากประตูเมือง รูปร่างหน้าตาของนางไม่ได้เลิศเลออะไรนักแต่นางมีอารมณ์ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ เพียงแค่นางก้าวเดินออกมาและเงยศีรษะ จังหวะนั้นหวังหลินก็มองเข้าไป
สองสายตาประสานกัน
………………………………………………….