Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2009 ชาหนึ่งถ้วยอบอุ่นเหมือนบ้าน
ณ วังหลวงอาณาเขตเต๋า จักรพรรดิกำหมัดและมีสีหน้ามืดมน
ชายชราด้านหลังไม่กล้ากลืนน้ำลาย เขาตกตะลึงจริงๆ แต่เพราะแรงกดดันทับใส่จึงไม่กล้าเผยอะไรออกมา
‘ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโลหิตวิญญาณ…’ จักรพรรรดิเผยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาได้แต่คาดเดามาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาและมันเป็นเหมือนหนามในใจไปแล้ว!
ผ่านไปสักพักจักรพรรดิจึงพูดขึ้น “เร็วเข้า ผสานหญิงที่เลือกมาพวกนั้นเข้ากับวิญญาณ!”
“รับคำสั่ง!” ชายชราคุกเข่าทันที แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ การเผชิญกับจักรพรรดิเต๋าผู้เจ้าอารมณ์เช่นนี้ เขาได้เห็นคนถูกประหารชีวิตอย่างไร้เหตุผลมานักต่อนักแล้ว
จักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อและหายตัวไป
ทางด้านทิศใต้ของเมือง ด้านนอกอารามเต๋า หวังหลินถูกล้อมรอบด้วยผู้คนที่กำลังมองมาด้วยความหวาดหวั่น หวังหลินก้าวเข้าสู่อารามแต่ไม่ได้เข้าไปและหายวับเบื้องหน้าแทน
เขาปรากฏตัวอีกครั้งด้านหลังภูเขา ซึ่งมีวังที่เหมือนสรวงสวรรค์ ด้านข้างเป็นกระแสน้ำสดใสไหลผ่านก้อนหินและมีเหล่าปลาแหวกว่ายอย่างมีความสุข
ด้านข้างกระแสน้ำมีกระท่อมแห่งหนึ่ง มีโต๊ะหินหนึ่งตัวตรงหน้ากระท่อมพร้อมกับเก้าอี้หินสองสามตัว ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน แม้จะดูเยาว์วัยแต่เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับมีชีวิตอยู่มานาน
เขามองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม
บนโต๊ะหินมีกาน้ำชาวางเอาไว้ วินาทีที่หวังหลินปรากฏตัว น้ำก็เดือดและเกิดฟอง
“มาสิ อาจารย์ต้มน้ำไว้เผื่อเรามาลิ้มรสชานี้ด้วยกัน”
หวังหลินยิ้มและเดินเข้าไปหา เขารินชาครึ่งถ้วยให้แก่กัน ยกขึ้นมาหนึ่งถ้วยและประคองส่งให้แก่ชายหนุ่มชุดเชียวด้วยสองมือ
ชายหนุ่มรับไว้ด้วยรอยยิ้มและมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยน
หวังหลินนั่งอยู่ด้านข้างและหยิบถ้วยชาตัวเองขึ้นมา เขาดื่มไปหนึ่งจิบ หลับตาลงพลางสัมผัสถึงกลิ่นหอมในลำคอ ความร้อนแผ่กระจายและทำให้ทั่วร่างอบอุ่น
“เป็นอย่างไร?” ชายหนุ่มชุดเขียวยิ้ม
“อบอุ่นเหมือนบ้าน” หวังหลินลืมตาและเผยรอยยิ้ม
พอชายหนุ่มชุดเขียวได้ยินเช่นนี้จึงเริ่มหัวเราะ เขารอให้ศิษย์มาถึงที่นี่และกระทั่งเตรียมชาร้อนไว้ให้ เป็นการบอกหวังหลินว่านับแต่นี้ไป ที่นี่คือบ้าน!
เพราะชาสามารถอบอุ่นร่างกายและทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นได้
ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาหลายร้อยปี ยามนี้ไม่มีม่านอะไรกั้น ชายหนุ่มชุดเขียวมองมาที่หวังหลิน ยิ่งเขามองยิ่งเกิดความพึงพอใจ
“ตอนที่อาจารย์ออกมาจากเผ่าเทพ ข้ารู้สึกหมดหนทาง แต่พอข้าสังเกตได้ว่าเจ้าปรากฏตัวในเผ่าเทพ ข้าจึงรู้ว่าวันหนึ่งเราทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้ง!”
“อาจารย์ได้เตรียมชาหม้อนี้ตั้งแต่นั้น!” ชายหนุ่มชุดเขียวคือมหาชั้นฟ้าซวนลั่ว!
“อาจารย์เฝ้าดูเจ้าทำทุกอย่างในเผ่าเทพ แต่อาจารย์ไม่สามารถช่วยเหลือได้ หากอาจารย์ช่วย เหล่ามหาชั้นฟ้าทั้งหมดในเผ่าเทพคงสังเกตเห็น…” ซวนลั่วพูดขึ้นพลางมองหวังหลิน
“แต่ข้าเชื่อว่าศิษย์คนเดียวที่ข้ารับมาคงเป็นคนพิเศษ เขาจะเดินออกมาจากเผ่าเทพและมาที่อาณาเขตเต๋าได้!”
หวังหลินวางถ้วยชาลง สายตาประสานกับซวนลั่ว
“ศิษย์สัญญากับอาจารย์แล้วว่าจะมาที่นี่และคุ้มกันอาณาเขตเต๋า…”
“ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาว อันดับหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า!” ซวนลั่วหัวเราะพลางยืนขึ้น
“หวังหลิน พักผ่อนก่อนเถอะ ในอีกสามวันอาจารย์จะพาเจ้าไปสถานที่หลายแห่งเพื่อช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นอีกมหาศาล มันจะเป็นของขวัญชิ้นแรกของเจ้าที่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์!”
ซวนลั่วมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหายตัวไป
“หวังหลิน ข้ามอบที่นี่ให้เจ้า!”
หวังหลินยืนขึ้นและโค้งตัวให้กับท้องฟ้า ผ่านไปสักพักจึงเงยศีรษะ มองรอบๆ ด้วยสายตาซับซ้อนและค่อยๆ เลือนหายไป
‘ช่างมันเถอะ พักอยู่ที่อาณาเขตเต๋าก่อน…’ หวังหลินถอนหายใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หินและดื่มชาเงียบๆ
เขาตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ไปสักพัก หากไม่มีเหตุบังเอิญ…เขาสามารถคุ้มกันอาณาเขตเต๋าได้จนกว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับซวนลั่ว แม้จะรู้สึกไม่คุ้นชินที่นี่ก็ตามที
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินพักอยู่ในสถานที่คล้ายสรวงสวรรค์ เฝ้าดูดวงอาทิตย์ขึ้นและตกพร้อมกับสูดอากาศสดชื่นเข้าปอด จากนั้นหวังหลินก็รู้สึกว่าซวนลั่วกำลังเรียกหา เขาก้าวทะยานและเกิดระลอกคลื่น จากนั้นหายตัวไปจากที่นี่
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้าอารามเต๋า เวลานี้เป็นยามเช้าของวันที่สี่ ภูเขาปกคลุมไปด้วยหมอกเขียวหนึ่งชั้น ซวนลั่วกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าอารามเต๋า ด้านหลังมีคนอีกเก้าคน
ในเก้าคนนั้นมีอยู่เจ็ดคนเป็นบุรุษและอีกสองคนเป็นสตรี ระดับบ่มเพาะแต่ละคนพิเศษยิ่งและทุกคนล้วนมีดาว 27 ดวงจนได้รับชื่อบัญชาโบราณ พอหวังหลินปรากฏตัว สายตาทุกคนจึงจ้องมองมารวมกัน
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและกวาดสายตาผ่านคนทั้งเก้าไป คนที่มีระดับบ่มเพาะสูงที่สุดเป็นชายชรา หวังหลินรู้สึกว่าเขามีความสามารถเท่ากับผู้สูงส่งชั้นเทวะของเผ่าเทพ
ส่วนอีกเก้าคนเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นฟ้า
เพียงหวังหลินมองมาที่พวกเขาและพวกเขาก็มองมาที่หวังหลินด้วย แต่เทียบกับความสงบนิ่งของหวังหลินแล้ว วินาทีที่ทั้งเก้าคนเห็นหวังหลิน จิตใจแต่ละคนสั่นไหว
ในสายตาแต่ละคน หวังหลินราวกับวังวนยักษ์ดูดกลืนจิตใจ แม้แต่พลังโบราณภายในร่างก็คล้ายจะถูกดูดกลืนไปด้วย
ทั้งเก้าคนขบคิดเงียบๆ และจากนั้นโค้งตัวให้แก่หวังหลิน “เราขอคารวะปรมาจารย์น้อย!”
“หวังหลิน ทั้งเก้าคนนี้ทำตามคำสั่งข้าและติดตามข้ามาหลายปี ตั้งแต่นี้ไปทั้งเก้าคนจะเชื่อฟังคำสั่งเจ้าด้วย” หวังหลินยิ้มและมองทั้งเก้าคนที่กำลังโค้งคำนับ
หวังหลินพูดขึ้น “ขอบคุณ อาจารย์”
ซวนลั่วยิ้มและกำลังจะพูดต่อไป แต่ทันใดนั้นกลับขมวดคิ้วและมองไปบนท้องฟ้า หวังหลินสังเกตอะไรบางอย่างได้เช่นกันและมองไป
ส่วนทั้งเก้าคนเพิ่งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในท้องฟ้า สายตามองไปเบื้องบน
ชั่วขณะต่อมาระลอกคลื่นจำนวนมากปรากฏในท้องฟ้าและแผ่กระจาย แสงสีม่วงวูบวาบและมีหมอกสีม่วงหนาแน่นกระจายกันออกมา จากนั้นเสียงคำรามดังสนั่น มือขนาดใหญ่หนึ่งคู่โผล่ออกมาจากหมอกสีม่วง ตามมาด้วยชายร่างสูงหลายพันฟุตก้าวเดินออกมา
ด้านหลังมีปิศาจโบราณขนาดสูงหลายพันฟุตติดตามมาอีกหลายตัว ต่อจากนั้นมีคนเกือบร้อยคนก้าวเดินออกมาจากหมอกม่วง
ไม่มีใครที่มีระดับบ่มเพาะอ่อนแอ มีไม่มากนักที่มีระดับผู้สูงส่งชั้นฟ้า แต่เกือบทั้งหมดเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นทอง มีทั้งเทพโบราณ ปิศาจโบราณและมารโบราณ
หลังจากปรากฏตัวจึงยืนนิ่งอยู่ในท้องฟ้าและคุกเข่าลงเข้าหาหมอกม่วง
“ยินดีต้อนรับ จักรพรรดิโบราณ!” เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
เพียงเหล่าเสียงดังกึกก้อง หมอกม่วงปั่นป่วนรุนแรงและมีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์และสวมมงกุฎเปล่งแรงกดดันมหาศาล
ด้านหลังเป็นชายชราสองคน ทั้งสองหลังค่อมและติดตามมาใกล้ๆ
หวังหลินกวาดสายตาผ่านชายชราสองคนไป ดวงตาเรืองแสงโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งสองคนมีกลิ่นอายไม่ด้อยไปกว่าขั้นผู้สูงส่งชั้นเทวะ!
“ยินดีต้อนรับ จักรพรรดิโบราณ!” ทั้งเก้าคนที่อยู่ใต้อำนาจซวนลั่วพลันเกิดความเคารพเมื่อเห็นหมอกม่วง วินาทีที่ชายในชุดคลุมสูงศักดิ์ปรากฏตัว พวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้นและคุกเข่าลงหนึ่งข้างทันที
มีเพียงซวนลั่วและหวังหลินที่ยืนมองอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง
“เย่ต้าวขอทักทายท่านซวน” ชายในชุดคลุมสูงศักดิ์ยิ้มขึ้นมาและกลิ่นอายหลอมรวมกลายเป็นสายลมอบอุ่น ใครที่เห็นต่างก็รู้สึกเป็นมิตร
หวังหลินยืนมองอยู่ตรงนั้น จากผู้คนที่คุกเข่าและคำพูดที่เอ่ยขึ้นมา หวังหลินจึงรู้ว่าชายคนนี้คือจักรพรรดิเต๋า!
พอมองเช่นนี้ หวังหลินจึงอดไม่ได้ที่จะเทียบกับจักรพรรดิเทพเหลียนต้าวเจิน ไม่ว่าจะเป็นระดับบ่มเพาะหรือนิสัยใจคอ เขาไม่สามารถเทียบกับจักรพรรดิเทพได้เลย แต่กลับได้รับความเคารพจากผู้คนซึ่งเห็นได้ชัดจากคนทั้งเก้าใต้อำนาจซวนลั่ว
‘ระดับบ่มเพาะของเขาแค่ผู้สูงส่งชั้นฟ้าเท่านั้น’ หวังหลินมีสีหน้าเป็นปกติ พลังอำนาจของสายเลือดราชวงศ์สามารถส่งผลกระทบต่อทุกคนในอาณาเขตเต๋า แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อหวังหลิน
ซวนลั่วมีสีหน้าเป็นปกติเช่นกันพลางเอ่ยถาม “เจ้ามาทำไม?”
“สามวันก่อน เย่ต้าวสังเกตเห็นควันลอยขโมงในท้องฟ้าและเดาได้ว่ามีคนทรงพลังผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตเต๋า ดังนั้นข้าจึงมาดูเสียหน่อย ใช่เขาหรือไม่?” จักรพรรดิเต๋าพยักหน้าให้กับหวังหลิน
“เขาคือศิษย์ข้า ข้าเดาว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องเขาแล้ว ผู้สูงส่งชั้นเทวะผมขาวแห่งเผ่าเทพ หวังหลิน! เขาจะมาแทนที่ข้าในระหว่างการเกิดใหม่ของข้าเพื่อปกป้องอาณาเขตเต๋า” ซวนลั่วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่งพลางมองจักรพรรดิเต๋า
“หวังหลิน เขาคือจักรพรรดิของอาณาเขตเต๋าของเรา! ทั้งยังเป็นคนที่เจ้าจำเป็นต้องคุ้มกันในภายภาคหน้า หากเขาลงจากบัลลังก์ เมื่อนั้นเจ้าจำเป็นต้องเลือกองค์ชายให้กลายมาเป็นจักรพรรดิคนใหม่ นี่คือสิทธิ์ของมหาชั้นฟ้า!”
หวังหลินมีท่าทีเดียวกันแต่จิตใจเต้นกระดอน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าจักรพรรดิในแต่ละรุ่นถูกเลือกมาจากมหาชั้นฟ้า!
‘สายเลือดราชวงศ์และมหาชั้นฟ้าอยู่ร่วมกันนับตั้งแต่โบราณ…บางทีมันคงมีเหตุผลอยู่! มิน่าเล่าองค์ชายจี้ตูถึงขอให้ข้าช่วย พลังการต่อสู้ของข้าเป็นหนึ่งใต้เหล่ามหาชั้นฟ้า ได้รับการช่วยเหลือจากข้าจะทำให้เขาได้รับความดีความชอบจากมหาชั้นฟ้า’
ขณะที่หวังหลินขบคิด เสียงคำรามหนึ่งดังออกมาจากชายชราด้านข้างจักรพรรดิเต๋า
“แม้เจ้าจะเป็นศิษย์ของมหาชั้นฟ้า เจ้ายังเป็นคนของอาณาเขตเต๋า ตามกฎแล้วทุกคนในเผ่า นอกเหนือจากมหาชั้นฟ้า จะต้องคุกเข่าเบื้องหน้าจักรพรรดิเต๋า!”
“เจ้า ทำไมถึงไม่คุกเข่า!” ชายชราเผยแววตาเย็นเยียบและพูดอย่างเย็นชา
……………………………………………………