Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2017 คำเชิญชวนจากวังหลวง!
น้ำเสียงไม่ได้ดังและไม่สั่นสะเทือนสวรรค์ ทว่าพอมันปรากฏขึ้นมากลับมีแรงกดดันไม่ด้อยไปกว่าภูเขากุ้ยต้าวส่งเข้าหาหวังหลิน!
แรงกดดันมากพอจะสั่นคลอนทุกคนที่สัมผัส!
ต้องกล่าวว่าแรงกดดันของภูเขากุ้ยต้าวมาจากมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา! ทว่าแรงกดดันที่หวังหลินส่งออกมาเทียบได้กับของมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว!
ความหมายนี้มากพอที่จะทำให้ทุกคนขวัญผวาได้แล้ว!
เพียงแค่เขาคำราม ทั้งภูเขาจึงเริ่มสั่นเทา ก้อนดินก้อนหินร่วงลงมาราวกับภูเขากำลังพังทลาย ชายชุดเทาทั้งสองคนผสานร่างเป็นคนเดียวและโยนกำปั้นเข้าใส่เขา รอบกำปั้นผุดหมอกสีเทาเปลี่ยนเป็นศีรษะส่งเสียงร้องอย่างรุนแรงและเข้าใกล้หวังหลินจากระยะสามสิบฟุต
ศีรษะได้ถูกสายลมรุนแรงพัดผ่านไปและสูญสลายไม่เหลือชิ้นดี กำปั้นจากชายชุดเทาสองคนผสานร่างกันได้พังทลายทันที!
วินาทีนั้นร่างเขาคล้ายกับถูกพลังรุนแรงกระแทกใส่และแบ่งออกมาเป็นสองคน ทั้งสองกระอักโลหิต ท่าทีสงบนิ่งเผยความไม่เชื่อ
หลังจากกระอักโลหิตมายังกระเด็นถอยกลับไปมากกว่าหมื่นฟุตโดยไม่อาจหยุดยั้งได้
ภูเขากุ้ยต้าวสั่นสะเทือน บนยอดหอคอยมีแขนขนาดใหญ่โผล่ออกมาคล้ายกับสายลมและมีขนาดหลายพัตฟุต ราวกับภูเขาห้านิ้วสีดำกระแทกลงใส่หวังหลิน
ภูเขาห้านิ้วลูกนี้เข้าปะทะกับพลังผสานระหว่างพลังเทพและพลังโบราณของหวังหลิน
เกิดเสียงคำรามดังกึกก้องรุนแรง ภูเขาห้านิ้วสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนจะกระเด็นกลับไปและสลายไปในอากาศ ขณะเดียวกันร่างหวังหลินได้สั่นเทา พลังที่เขาผสานไปแล้วได้ถูกแบ่งกลับไปเป็นพลังเทพและพลังโบราณดังเดิม พลังที่ผสานไปแล้วเพียงแค่หยิบมือเริ่มจะโคจรรอบที่สองแต่มันช้ามากและคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะโคจรให้สมบูรณ์อีกครั้ง
ซวนลั่วเห็นเหตุการณ์นี้และอ้าปากค้าง
ภายในหอคอย ร่างนั้นขบคิดและจากนั้นเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมา
“ขึ้นมา ข้าจะปลุกโลหิตวิญญาณให้เจ้า…”
หวังหลินยืนอยู่บนขั้นที่สามร้อยอย่างหน้าซีด เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ยกเท้าเพื่อก้าวไปอีกขั้น เมื่อเท้าเหยียบไปบนขั้นที่ 301 โลหิตวิญญาณในร่างกายพลันหลอมละลายและผสานเข้ากับร่างหวังหลินอย่างสมบูรณ์
หวังหลินไม่จำเป็นต้องให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวช่วยทำให้โลหิตวิญญาณผสานกับร่างกายอีกแล้ว สายโลหิตที่หวังหลินสืบทอดมาค่อยๆ เผยตัวตนของมันออกมาเอง
หวังหลินยืนอยู่ตรงนั้น ขบคิดเงียบๆ และคำนับฝ่ามือไปยังยอดเขากุ้ยต้าว
“ขอบคุณมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวสำหรับการช่วยเหลือ” หวังหลินไม่ใช่คนไม่ยั้งคิด ช่องว่างระหว่างเขาและกุ้ยต้าวนั้นกว้างใหญ่มาก แม้กุ้ยต้าวจะบอกให้เขาจากไปได้หลังจากข้ามถึงขั้นที่สามร้อย หวังหลินก็ยังเฉยเมยต่อกุ้ยต้าวและกล่าวอำลา
ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถผสานพลังเทพและพลังโบราณได้เพราะแรงกดดันจากกุ้ยต้าว บางทีมันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือบางทีมันอาจเป็นสิ่งที่กุ้ยต้าวรู้อยู่แล้ว
แต่ไม่ว่าจะทางไหน หวังหลินก็เข้าใจดีว่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความเคารพ
ผ่านไปสักพัก มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมาจากหอคอย “เจ้าสบายใจได้ ข้าบอกว่าหากเจ้าผ่านขั้นที่สามร้อย เจ้าถึงจะไปได้…ตอนนี้เจ้าผ่านแล้ว เจ้าก็ไปได้!”
ราวกับมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวกำลังขบคิดก่อนจะพูดประโยคนั้นขึ้นมา
หวังหลินไม่พูดอะไรอีกแต่เดินลงภูเขา พอมาถึงข้างซวนลั่วจึงเห็นระลอกคลื่นที่ซ่อนไว้รอบซวนลั่ว เห็นได้ชัดว่าหากกุ้ยต้าวผิดคำพูด ซวนลั่วพร้อมจะลงมือ
“อาจารย์…” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ ท่าทีของซวนลั่วทำให้รอยร้าวที่เขามีต่อเผ่าโบราณเกิดความอบอุ่นขึ้นมา
“ไปกันเถอะ” ซวนลั่วมองหวังหลินและเก็บความตกตะลึงจากแปดบทเพลงสองสัญญาณเอาไว้ เขาสะบัดแขนและทะยานออกไปไกลพร้อมหวังหลิน
จนกระทั่งหายไปลับขอบฟ้าแล้ว ร่างชายชุดเทาที่บาดเจ็บสองคนจึงกลับคืนสู่เสา พวกเขามองออกไปไกลด้วยสีหน้าซับซ้อนและหลับตาบ่มเพาะต่อไป
ผ่านไปสักพักเกิดเสียงถอนหายใจดังออกมาจากหอคอย
ร่างในสายหมอกยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าต่าง เขามองออกไปในท้องฟ้า สายตาคล้ายกับมองไปทิศทางของซวนลั่วและหวังหลิน
ซวนลั่วพาหวังหลินกลับมายังเมืองหลวงอาณาเขตเต๋าต่อด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขากลับมาที่ภูเขาหลังอารามเต๋าและนั่งลง
ซวนลั่วไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่ภูเขากุ้ยต้าวและหวังหลินก็ไม่อธิบาย เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปราวกับทุกอย่างได้หายไปดุจหมอกควัน
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้หวังหลินได้เข้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในบ้านไม้ ก่อนที่เขาเดินทางไปภูเขากุ้ยต้าวหวังหลินได้ไปสถานที่หลายแห่งและดูดซับแก่นแท้จำนวนมาก พลังของแก่นแท้จึงเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่และทำให้ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นไปอีก
ช่วงเดือนนี้พลังแก่นแท้และพลังโบราณคล้ายกับคืนสู่ตำแหน่งเดิม แก่นแท้กลับคืนสู่ร่างแก่นแท้ของแต่ละแก่น ส่วนพลังโบราณกลับคืนสู่รูปร่าง 27 ดวงดาว
พวกมันดูเหมือนปกติ แต่เพียงแค่หวังหลินคิดคราเดียวก็สามารถทำให้ผสานกันได้อีกครั้งและระเบิดพลังได้ชั่วเวลาสั้นๆ
พลังและแรงกดดันนี้เทียบได้กับภูเขากุ้ยต้าว!
เมื่อพลังแก่นแท้และพลังโบราณเพิ่มขึ้น ระยะเวลาการผสานพลังก็จะยิ่งยาวนานมากขึ้น! จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเขาสามารถผสานพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ หวังหลินคงมีพลังเทียบเท่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว
ตอนนี้พลังการผสานเพียงแค่หยิบมือกำลังโคจรในร่างกายอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องใช้เวลานานมากเพื่อให้มันโคจรครบหนึ่งรอบ
ในวันนี้หวังหลินลืมตาขึ้นจากการบ่มเพาะและดวงตาเปล่งประกาย เขาสะบัดแขนปรากฏวัตถุทรงกระบอกขึ้นในมือ หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงเปิดมัน ข้างในมีของเหลวบรรจุแก่นแท้ไม้อันบริสุทธิ์
หวังหลินดึงออกมาหนึ่งหยดและผสานเข้ากับร่างกาย หยดของเหลวหายไป ขณะเดียวกันแก่นแท้ไม้ของหวังหลินได้เพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาล
ผ่านไปสามวัน เมื่อหวังหลินผสานเข้ากับหยดของเหลวอีกหนึ่งหยด แก่นแท้ไม้จึงก้าวกระโดดมาถึงขั้นการสร้างร่างแก่นแท้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นอีกไม่ถึงครึ่งเดือน เมื่อของเหลวทั้งหมดถูกดูดซับไป หวังหลินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น มีภาพทับซ้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังก้าวออกมาและยืนอยู่เบื้องหน้า
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุยังคงเหมือนเดิมและเปล่งแสงห้าสี สีที่เป็นตัวแทนของไม้และโลหะนั้นหม่นหมองมากกว่าอีกสามสี ทว่าสีของไม้ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นจนกระทั่งหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน มันได้เพิ่มระดับมาเทียบเท่าวารี เพลิงและปฐพี!
ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสั่นเทากลายเป็นสี่ร่างและหนึ่งก้อนแสง ซึ่งสี่ร่างนี้นอกจากธาตุวารี เพลิงและปฐพี มีร่างแก่นแท้อีกร่างคือธาตุไม้!
ใจกลางร่างแก่นแท้ทั้งสี่คือก้อนแสงสีทอง มันคือแก่นแท้โลหะและยังไม่ได้สร้างร่างแก่นแท้
หวังหลินลืมตามองก้อนแสงสีทองด้วยสีหน้าตั้งคำถาม ชั่วขณะต่อมาจึงเผยสายตามุ่งมั่นและสะบัดแขน ปรากฏเศษเสี้ยวสีทองขึ้นมา
เศษเสี้ยวนี้คือเศษกระบี่ที่หวังหลินได้รับมาจากจิ่วตี้บนถนนในเมืองหลวงของเผ่าเทพ เขาหลอมมันแต่ยังไม่ได้ผสานอย่างสมบูรณ์ หวังหลินกำลังจะใช้แก่นแท้โลหะที่เขาดูดซับขณะที่อยู่กับซวนลั่ว เอามารวมกับเศษกระบี่ชิ้นนี้เพื่อทำให้ร่างแก่นแท้ห้าธาตุสมบูรณ์แบบ!
เมื่อแก่นแท้โลหะสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้ พลังของร่างแก่นแท้ห้าธาตุจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลและมันจะช่วยกำหนดเส้นทางการฝึกฝนในอนาคตของเขาได้อย่างถูกต้อง
‘ร่างแก่นแท้ห้าธาตุกำลังจะสมบูรณ์ หากระดับบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น แสดงว่าการคาดเดาของข้าถูกต้อง!’ หวังหลินพ่นควันสีทองออกมาโดยไม่ลังเล มันล้อมรอบเศษกระบี่เอาไว้
วันเวลาผ่านไปในพริบตาอีกหนึ่งเดือน…
ผ่านมาได้สองเดือนครึ่งแล้วตั้งแต่ที่หวังหลินและซวนลั่วกลับมา หวังหลินพักอยู่ในบ้านไม้มาตลอดและไม่ออกมาเลย ซวนลั่วมาหาสองครั้งและยืนสังเกตอยู่นอกบ้าน เขารู้ว่าหวังหลินกำลังควบแน่นแก่นแท้และไม่ได้อยู่ในอัตราย ดังนั้นจึงจากไป
ยามเช้าของวันนี้เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่องกระทบผืนดิน ขับไล่ความมืดมิด ส่งความอบอุ่นไปทั่วใบไม้ใบหญ้า หินหยกก้อนหนึ่งลอยออกมาจากอารามเต๋า หมุนวนรอบบ้านไม้อยู่สองสามครั้งก่อนจะหล่นลงบนหญ้านอกบ้าน
ทว่าครู่ต่อมาหินหยกก็สั่นไหวและลอยเข้าไปในบ้าน หวังหลินซึ่งอยู่ในบ้านไม้กำลังจับเอาไว้
เขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยก มันคือหินหยกข้อความ ไม่มีอะไรข้างในมากนัก เป็นแค่การเชิญชวน
“จักรพรรดิเต๋าจะมีพิธีแต่งตั้งจักรพรรดินีภายในสิบวัน…” หวังหลินมีสีหน้าเช่นเดิม หินหยกก้อนนี้ส่งออกมาจากจักรพรรดิเต๋าเพื่อเชิญชวนหวังหลินเข้าร่วมพิธี
‘ในเมื่อหินหยกมาอยู่ที่นี่ได้ เช่นนั้นมันต้องได้รับการยอมรับจากอาจารย์ไปด้วย พิธีครั้งนี้ต้องสำคัญยิ่งต่ออาณาเขตเต๋า’ หวังหลินขบคิด
‘จักรพรรดิเต๋าเลือกนางสนมมาหลายร้อยปี ในที่สุดตอนนี้ก็เลือกได้แล้วและจะแต่งตั้งนางเป็นจักรพรรดินี…ข้าควรไปดีหรือไม่…’ หวังหลินมาถึงช่วงวิกฤติของการผสานแก่นแท้โลหะ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการไปพิธีแต่งตั้งจักรพรรดินีอะไรเช่นนี้
……………………………………………………