Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2022 เต็มไปด้วยความโกรธแค้น (1)
นางสวมชุดราตรีลายหงห์สีสันสดใส เปล่งบรรยากาศอันสูงส่ง นางก้มศีรษะแต่ใบหน้าคลุมด้วยม่านลูกปัด ซ่อนใบหน้าขมวดคิ้วเอาไว้และนางได้เดินเข้าหาจักรพรรดิเต๋า
เสียงกระดิ่งไม่ได้ดังออกมาจากกระดิ่งจริงๆ แต่ดังออกมาจากเสียงม่านลูกปัดกระทบกันที่ปกคลุมใบหน้า
เวลานี้ทุกคนของทั้งสามอาณาเขตทั้งบนลานกว้างและบนแท่นลอยฟ้าต่างก็มองมาที่นาง นางไม่ได้สวยงดงามไร้ที่ติแต่มีความรู้สึกอธิบายไม่ได้ นางทั้งบอบบางและละเอียดละออ ราวกับสามารถทำให้ดวงวิญญาณสงบลงได้
บรรยากาศของนางช่างสงบนิ่งคล้ายกับหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงนกที่บังเอิญบินผ่านมาจากที่สูงและมองเห็นความงามของสถานที่แห่งนี้
เพียงหวังหลินยืนอยู่ตรงนั้น ความขัดข้องในใจหายวับไปทันทีที่นางปรากฏตัว ราวกับมันไม่เคยมีความรู้สึกนี้
“ซ่งจื่อ…” หวังหลินจำนางได้ทันที เขาจำได้ว่าเห็นนางครั้งแรกด้านนอกเมืองศิลาดำ
จักรพรรดิเต๋าเผยรอยยิ้มแฝงความสุข เพียงนางก้าวเดินขึ้นมา เขาสะบัดแขนและเอ่ยปาก
“จักรพรรดินี มานั่งใกล้ๆ ข้า วันนี้เป็นวันแห่งความสุขของอาณาเขตเต๋าและเป็นวันสำคัญสำหรับเรา”
การก้าวของนางหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเดินเข้าหาบัลลังก์มังกรของจักรพรรดิเต๋าอย่างช้าๆ และนั่งลงอย่างนิ่มนวล นางเงยศีรษะขึ้นมองออกไปที่ลานกว้างด้านนอก
นางยังคงขมวดคิ้ว ใบหน้าซ่อนความรู้สึกสับสน ส่งผลให้ผู้คนสัมผัสได้ว่านางทำตัวไม่ถูก
วินาทีที่นางเงยหน้า สิ่งแรกที่เห็นคือหวังหลินกำลังมองนาง!
เสี้ยวพริบตานั้น สองสายตาประสานกันอยู่ในวังหลวง
หวังหลินรู้สึกจิตใจสั่นสะท้าน มันโผล่ขึ้นมาฉับพลันเกินไปราวกับสายฟ้าจำนวนมากมายระเบิดขึ้นในคราเดียว นาทีนี้ทั้งร่าง ทั้งวิญญาณดั้งเดิมและดวงวิญญาณเกิดอาการสั่นเทา ดุจสตรีผู้นี้คือส่วนหนึ่งในชีวิตเขาที่ขาดไปไม่ได้!
หวังหลินจ้องมองนางพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป หัวใจเต้นเร็วขึ้นถี่ยิบ นางทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แต่กลับถูกซ่อนไว้ด้านหลังม่านหมองหม่น หวังหลินไม่สามารถค้นถึงต้นตอของความรู้สึกนี้ได้!
‘หวานเอ๋อร์…ลี่เฉียนเหมย…โจวลี่…ผีเสื้อสีชาด…’ หวังหลินมองดวงตาของนางและมีรายชื่อใบหน้าทุกคนขึ้นมาในใจ ทว่าหวังหลินก็ยังไม่สามารถค้นเจอความคุ้นเคยนี้ได้
‘นางดูไม่เหมือนใครเลย…’ พอหวังหลินมองเข้าไปใกล้ขึ้น เขาพบว่านางไม่มีความคุ้นเคยอะไรเลยและแตกต่างอย่างยิ่งจากที่เขาคิด
“หวังหลิน!” เสียงหนึ่งที่ไม่ดังแต่เปล่งบารมีกำลังก้องอยู่ในหูหวังหลิน
“จักรพรรดินีของข้ามีอะไรให้เจ้าสนใจเช่นนั้นหรือ?” จักรพรรดิเต๋ามองหวังหลินด้วยแววตาเย็นเยียบ เขาคือจักรพรรดิและทุกคนต่างก็แค่มองคราเดียวก่อนจะถอนสายตา ทว่าหวังหลินกลับจ้องมองต่อไปจนเขารู้สึกไม่พอใจหวังหลินแล้ว คราวนี้จึงพูดเสียงเย็นเยียบออกไป
หวังหลินขบคิดเงียบๆ และตื่นขึ้นมาได้ต้องขอบคุณคำพูดของจักรพรรดิเต๋า หวังหลินเผยสายตาซับซ้อนและไม่สนจักรพรรดิเต๋า ทั้งยังมองนางต่อไป
เขาต้องการค้นหาต้นตอของความคุ้นเคยนี้ แต่พอมองไปหวังหลินก็ถอนหายใจและเผยสายตาเศร้าๆ
เขาไม่รู้จักนาง…
หวังหลินพบเจอร่องรอยของความคุ้นเคยอย่างเลือนลาง มันคือบรรยากาศของนาง บรรยากาศอันสงบนิ่งนี้ช่างคล้ายกับของลี่มู่หวานเป็นอย่างยิ่ง
‘มันไม่น่าเป็นหวานเอ๋อร์…มันแค่บรรยากาศที่คุ้นเคย เป็นแค่ภาพลวงตา…’ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนี้ หากนางคือลี่มู่หวานจริงๆ เขาสามารถบอกได้เพียงแค่ชำเลืองสายตา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่พบร่องรอยกลิ่นอายของลี่มู่หวานเลย
‘หวานเอ๋อร์อยู่ในโลงศพเลี่ยงสวรรค์ เศษเสี้ยววิญญาณของนางขาดหายไป…ข้ามิอาจตามหาเจอ…สตรีคนนี้ไม่ใช่นาง เป็นเพียงแค่คนที่มีบรรยากาศคล้ายกันในโลกนี้…’ หวังหลินหลับตาเพื่อกลบเลื่อนความเศร้าไว้ข้างใน
นางใบหน้าแดงเล็กน้อยและมีแววตาโกรธเคือง คล้ายกับไม่มีความสุขจากสายตาหวังหลิน นางไม่รู้ว่าทำไมแต่ลึกลงไปกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ไม่นานที่ความรู้สึกนี้ปรากฏ มันกลับหายไปราวกับไม่มีอยู่จริง
“ข้ากำลังถามเจ้า!” จักรพรรดิเต๋ายกแขนซ้ายขึ้นมาตบลงที่พักแขนบนบัลลังก์ เกิดเสียงดังปังแต่ไม่มีความเสียหาย
ทว่าในพริบตานั้นจิตสังหารมากกว่าสิบแห่งจับจ้องไปที่หวังหลินในจังหวะเดียวกัน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในห้องโถงราวกับหมอกควัน เพียงจักรพรรดิออกคำสั่งก็พร้อมโจมตีในทันที
อีกทั้งในตอนนี้ผู้คนในลานและบนแท่นลอยฟ้านับร้อยสังเกตถึงความผิดปกติได้ พวกเขาส่งสายตามองหวังหลินและจักรพรรดินีที่โกรธเกรี้ยวเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“นางดูเหมือนสหายเก่าข้าอย่างมาก…” หวังหลินลืมตาและเห็นความขุ่นเคืองในตานาง หวังหลินมั่นใจแล้วว่านางไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหา…
ทว่าบรรยากาศความคุ้นเคยได้กระตุ้นความเศร้าและความเจ็บปวดทิ่มแทงจิตใจของหวังหลินขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ้?” จักรพรรดิเต๋ามีแววตาเป็นประกายมิอาจตรวจจับได้ เขามองนางและจากนั้นมองหวังหลิน ทันใดนั้นเผยรอยยิ้มมิอาจเข้าใจ
จักรพรรดิเต๋าพูดขึ้น “จักรพรรดินี เจ้าจำองครักษ์ในอนาคตของอาณาเขตเต๋าได้หรือไม่?”
นางก้มหน้าและส่ายศีรษะ
‘ราชครูพูดว่าเศษวิญญาณดวงนี้เขาปิดผนึกเอาไว้และไม่มีความผันผวนกระจายออกมา แม้จะมีคนที่ใกล้ชิดที่สุดปรากฏตัวก็ไม่สามารถตรวจจับได้ แม้กระทั่งมหาชั้นฟ้าด้วยเช่นกัน เว้นแต่จะมีพลังทำนายเหนือกว่าราชครู’ จักรพรรดิเต๋ายิ้มเบาๆ
‘น่าสนใจ เป็นไปได้ว่าเศษวิญญาณดวงนี้เกี่ยวข้องกับหวังหลินจริง?’ จักรพรรดิเต๋าประหลาดใจแต่ก็ประคองรอยยิ้มเอาไว้
“บางทีเจ้าทั้งสองอาจรู้จักกันจริงๆ จักรพรรดิดีของข้า เดินลงไปหาองครักษ์ในอนาคตของอาณาเขตเต๋าสิ ให้เขาได้ดูใกล้ๆ หากเจ้าทั้งสองรู้จักกันจริงคงเป็นเรื่องน่ายินดี”
นางค่อยๆ ยืนขึ้นและมองหวังหลินก่อนจะเดินลงไปช้าๆ หวังหลินมองนางชั่วครู่ เขารู้สึกราวกับลี่มู่หวานกำลังเดินเข้ามาหา แม้แต่หัวใจและร่างกายก็กำลังสั่นไหว
นางหยุดอยู่ห่างหวังหลินสิบฟุต สายตาขุ่นเคืองยิ่งรุนแรงขึ้น หวังหลินรู้สึกเย็นเยียบแต่คุ้นเคย ทำให้เขาลืมไปว่าอยู่ในวังหลวง ลืมไปว่าอยู่ในเผ่าโบราณ ลืมไปว่าอยู่ในแผ่นดินเซียนดาราและกลับไปในโลกถ้ำ เพียงแค่ทั้งสองจ้องมองกัน ความเศร้าในตาหวังหลินคล้ายกับสามารถหลอมละลายโลกได้ทั้งใบ
นางมองเห็นความเศร้าและรู้สึกเจ็บปวดในใจ แววตาเกิดความสับสนขึ้นมาแต่ก็หายไปในเวลาไม่นานและกลับกลายเป็นความตะขิดตะขวงใจ
“เจ้า…ไม่ใช่นาง” ผ่านไปสักพัก หวังหลินเผยใบหน้าขมขื่น เขาต้องการเมาเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดและความเศร้าจากวิญญาณ เขารู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
แต่ภาพลวงตานี้ทำให้เขานึกถึงอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนและทำให้ความเศร้าทวีความรุนแรงมากขึ้น
หวังหลินก้าวถอยกลับไปอย่างลำบาก เขาไม่ได้มองนางหรือจักรพรรดิเต๋าอีก แต่ก็ไม่ได้จากไปไหน หวังหลินกลับมาที่โต๊ะและนั่งลง มองโต๊ะอยู่นานก่อนจะคว้าขวดสุราและดื่มไปอึกใหญ่
แม้สุราจะมีรสเผ็ดร้อน มันก็ไม่มากพอให้เขาเมามาย…
หวังหลินแทบไม่ค่อยร้องไห้ แต่เพียงแค่เขาเมา หยาดน้ำตากลับหลั่งใหลออกมาเป็นสาย หยดน้ำตาไหลลงไปในปากพร้อมกับน้ำสุราและรสชาติอันขื่นขม ดุจรสชาติแห่งความเศร้า
จักรพรรดินีกลับมาอยู่ข้างจักรพรรดิและสงบลง นางก้มศีรษะลงต่ำอยู่เสมอและไม่พูดสิ่งใด ใบหน้าจักรพรรดิเต๋าเผยรอยยิ้มกว้าง บางครั้งก็มองมาที่หวังหลิน สายตามีทั้งความสุขและความภูมิใจ
‘ดูเหมือนมีความเป็นไปได้ว่าหวังหลินจะรู้เรื่องเศษวิญญาณ…และความสับสนที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะหวังหลิน…น่าเสียดาย ไม่ว่าเจ้าจะมีระดับบ่มเพาะอะไร ไม่ว่าจะมีโลหิตวิญญาณมากแค่ไหน แม้จะมีซวนลั่วเป็นอาจารย์ ความเศร้าใหญ่หลวงที่สุดคือเจ้ากระทั่งจำกันไม่ได้แม้จะอยู่ตรงหน้า…แต่นี่ยิ่งทำให้ข้าตื่นเต้นมาก…’ จักรพรรดิเต๋ายกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกับคนนับแสนที่เข้ามางานเลี้ยง
ตามประเพณีของอาณาเขตเต๋า เขาควรปล่อยให้นางไป แต่เขาก็ไม่ทำและให้นางอยู่ต่อไป เขามองหวังหลินอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพึงพอใจและมีความสุขที่สุด
เนื่องจากจักรพรรดิเต๋ามาแล้ว ฝูงชนเต็มไปด้วยคำพูดยินดีอย่างมีชีวิตชีวา
ภายในความวุ่นวายที่มีชีวิตชีวานี้ หวังหลินนั่งอย่างเงียบๆ และดื่มสุราที่เดิม แววตาแห่งความเศร้าไม่อาจถูกน้ำเมาชำระล้างไปได้
“จักรพรรดินี องครักษ์หวังดูอารมณ์ย่ำแย่ลงนะ เจ้าไปดื่มกับเขาแทนข้าสิ” จักรพรรดิเต๋ายิ้มขึ้น
………………………………………………….