Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2042 วิญญาณที่สมบูรณ์!
เมืองศิลาดำยังคงเหมือนเดิม นางไม่เจอคนคุ้มกันระหว่างทาง ราวกับจ้าวเมืองได้รับคำสั่งมาแล้ว
แต่ตอนที่นางมาถึงบ้านของตัวเอง นางเห็นคนสองคนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น หนึ่งเป็นหญิงชราผมขาวและอีกคนเป็นหญิงสาวเยาว์วัย
“ป้าจาง…น้องตง…ข้ากลับมาแล้ว” ซ่งจื่อกัดริมฝีปากและเผยรอยยิ้ม
หวังหลินยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ซ่งจื่อยืนก่อนหน้านี้และมองไปที่เมืองศิลาดำ จากนั้นสักพักจึงถอนสัมผัสวิญญาณออกมา ซ่งจื่อเป็นคนน่าสงสารมาก การผสานกับวิญญาณของหวานเอ๋อร์ทำให้นางได้รับความอบอุ่นอย่างยิ่ง ความทรงจำของนางตกอยู่ในความยุ่งเหยิงจนบอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร
หวังหลินจะทำเป็นไม่สนใจนางและแยกวิญญาณของหวานเอ๋อร์ออกมาเลยก็ได้ แต่นั่นจะเกิดผลลัพธ์ที่ทำให้พลังชีวิตของนางแตกสลาย
หวังหลินบ่มเพาะมาหลายพันปี ผู้คนต่างคิดว่าเขาเป็นคนอำมหิตและเลือดเย็น แต่เขาก็ยังเป็นคน เขาไม่อยากทำแบบนี้ดังนั้นจึงใช้เวลาเกือบสองปีระหว่างทางมาที่นี่ ส่งระดับบ่มเพาะของเขาเข้าไปในร่างกายของนางเพื่อให้วิญญาณของลี่มู่หวานสามารถแยกตัวออกมาได้โดยไม่ทำอันตรายกับนาง
“นางไร้เดียงสา…แต่นางก็ทำให้ข้าได้เจอวิญญาณของหวานเอ๋อร์เช่นกัน ดังนั้นนางไม่ควรโดนทำร้ายเช่นนี้…หินหยกที่ข้าทิ้งเอาไว้นั้นมีสัมผัสวิญญาณของข้าและสามารถทำให้นางปลอดภัยได้”
“จี้ตู เจ้าต้องดูแลนางให้ดี” หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ
เกิดระลอกคลื่นด้านหลังหวังหลินและมีองค์ชายจี้ตูก้าวเดินออกมา เอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “ตามที่พ่อบุญธรรมต้องการ”
“ข้าได้รายงานจ้าวเมืองให้คุ้มครองซ่งจื่อแล้วและไม่ให้นางได้เกิดอันตรายอันใด โปรดสบายใจเถิด ข้ากระทั่งได้ส่งองครักษ์มาศัยอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องนางด้วย” องค์ชายจี้ตูรู้ว่าซ่งจื่อสำคัญต่อพ่อบุญธรรมแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรลวกๆ
องค์ชายจี้ตูเข้ามาพักอยู่ที่นี่เนื่องจากวิเคราะห์แล้วว่าหวังหลินน่าจะมาที่นี่ เขารอตั้งแต่ที่กลับมาจากอาณาเขตเต๋าและในที่สุดหวังหลินก็มาถึง
หวังหลินไม่แสดงท่าทีอันใดที่รู้ว่าจี้ตูรออยู่ ในทางกลับกันหากจี้ตูไม่ทำ นั่นแปลว่าเขาคงไม่มีประโยชน์กับหวังหลินและการที่เขาจะได้ตำแหน่งจักรพรรดิโบราณมาครองคงเป็นเรื่องยากขึ้นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ” หวังหลินชำเลืองมองไปที่เมืองศิลาดำอีกครั้ง จากนั้นก้าวเดินออกไปไกล
จี้ตูระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้และติดตามหวังหลิน
หวังหลินก้าวเดินไปข้างหน้าและพูดอย่างสงบนิ่ง “เตรียมสถานที่ไว้ให้ข้า ข้าจะปิดด่านบ่มเพาะ!”
“ลูกมีห้องลับอยู่ในวัง หากพ่อบุญธรรมไม่ชอบ ลูกจะให้คนไปสร้างขึ้นอีกแห่งทันที” องค์ชายจี้ตูรีบตอบ
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ โลกรอบตัวบิดเบือนและทั้งสองได้หายตัวไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจึงอยู่ในวังขององค์ชายจี้ตูแล้ว
“ห้องลับแห่งนี้ก็ดี หากไม่ได้รับอนุญาตจะไม่มีใครสร้างความรบกวนได้” หวังหลินส่งสายตาไปที่พระราชวังและเลือกห้องลับแห่งหนึ่งเพื่อเข้าไป
พอเห็นว่าหวังหลินกำลังก้าวเข้าไปในห้องลับ องค์ชายจี้ตูเกิดอาการลังเล เขาดูเหมืออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลัวคำตอบ
หวังหลินก้าวเข้าไปได้ครึ่งทางแต่ก็หยุดชะงักและมองมาที่องค์ชายจี้ตู “หากเจ้าต้องการกลายเป็นจักรพรรดิฉี มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนคือกุญแจสำคัญ หากเขายอมรับเจ้าให้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวได้ เมื่อนั้นทุกอย่างก็จะง่าย”
องค์ชายจี้ตูคล้ายกับช่วยไม่ได้และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ลูกไม่รู้ว่าได้ไปล่วงเกินอะไรท่านซ่งเอาไว้ ปกติแล้วตอนที่ลูกเข้าไปเจอเขา เขาจะไม่ออกมาพบ และถึงแม้จะได้เจอในวัง เขาก็เย็นชามาก”
“น้องชายข้า ฉีหมาน ใกล้ชิดกับท่านซ่งมาก เขาอาศัยอยู่บนภูเขาต้นกำเนิดและลือกันว่าท่านซ่งรับเป็นศิษย์ไปแล้ว”
“ท่านพ่อเองก็ดูห่วงใยเรื่องฉีหมานเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งอาณาเขตฉีดูแลเขาเหมือนกับเป็นจักรพรรดิคนถัดไป” จี้ตูพูดอย่างขมขื่น
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและหลังจากได้ยินเรื่องนี้จึงขบคิดไปชั่วขณะ
“มหาชั้นฟ้าแต่ละอาณาเขตสามารถแต่งตั้งจักรพรรดิแต่ละรุ่นได้โดยไม่มีข้อยกเว้น…ข้าคิดว่าเจ้าเตรียมตัวมาแล้ว” หวังหลินมององค์ชายจี้ตูอย่างละเอียด
องค์ชายจี้ตูรู้สึกเหมือนถูกหวังหลินมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งจนไม่สามารถซ่อนงำความคิดของตัวเองได้
องค์ชายจี้ตูคุกเข่าและกล่าวอย่างเคารพ “ลูกยังเตรียมการอยู่ ลูกไม่ยอมให้เกิดการล้มเหลว หากสูญเสียโอกาสในการกลายเป็นจักรพรรดิในครั้งนี้ จะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
“ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดหรือไหวพริบ ข้าดีกว่าเจ้าฉีหมานนั่น ข้าไม่อยากยอมแพ้”
“ข้าหวังว่าพ่อบุญธรรมจะช่วยข้า เมื่อได้กลายเป็นจักรพรรดิ ข้าจะตอบแทนตามข้อตกลงก่อนหน้านี้และไม่กล้ากลับไปอีก!”
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่งและเอ่ยขึ้น “นอกจากน้องชายเจ้าแล้ว ควรจะมีคู่แข่งอีกคน”
“และพี่ชายข้า…เขา…ตอนที่เขาเกิด มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลก กระทั่งทำให้มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวสนใจและมอบของขวัญมาให้”
“เขามีโอกาสได้ตำแหน่งจักรพรรดิค่อนข้างสูง!” จี้ตูยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่กังวลเรื่องการเตรียมการของเจ้า แต่ข้าสามารถไปเจอซ่งเทียนเพื่อดูว่าเขาสามารถแต่งตั้งเจ้าให้เป็นจักรพรรดิคนถัดไปได้หรือไม่!”
พอองค์ชายจี้ตูได้ยินเช่นนี้ เขายินดียิ่งแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่พยักหน้าอย่างเคารพเท่านั้น
หวังหลินมองไปยังจี้ตูด้านหน้า เขาเป็นคนที่มีความน่าเกรงขาม เป็นคนที่สามารถปกปิดอารมณ์ความรู้สึกและรู้ขีดจำกัดของตัวเอง
“เราจะพูดเรื่องนี้หลังจากข้าออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ หากไม่มีอะไรสำคัญ อย่ารบกวนข้า” หวังหลินถอนสายตาและกลับเข้าสู่ห้องลับ เพียงประตูปิดไป ที่นี่จึงเงียบสนิท
องค์ชายจี้ตูคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเคารพและเผยแววตาแห่งความสุขอย่างไม่ละอาย
‘ด้วยพลังอำนาจของพ่อบุญธรรม ท่านซ่งอาจเปลี่ยนความคิดได้จริงๆ…แต่ข้าก็จำเป็นต้องเริ่มแผนการของข้าด้วย คราวนี้ข้าต้องสู้!! เมื่อข้าทำได้สำเร็จ ในอีกสองร้อยปี ข้าจี้ตูจะได้เป็นจักรพรรดิอาณาเขตฉี!!’
จี้ตูตื่นเต้นและสูดหายใจลึกก่อนจะระงับความตื่นเต้นเอาไว้ เขาส่งคำสั่งออกไปให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามในทันที ใครที่กล้าบุกรุกเข้ามาจะต้องถูกสังหาร
เขาทั้งยังพาองครักษ์อีกหลายคนเข้ามาปกป้องที่นี่ตลอดเวลา
หวังหลินก้าวเข้าไปในห้องลับและมองดูรอบด้าน เขาสะบัดแขนและส่งเขตอาคมจำนวนมากกระจายไปทั่วห้อง ปิดผนึกห้องลับแห่งนี้เอาไว้ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินในตอนนี้ เขตอาคมที่เขาวางนั้นแม้แต่มหาชั้นฟ้าก็ไม่สามารถเข้ามาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
หวังหลินนั่งอยู่บนพื้น ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า นอกจากการส่งซ่งจื่อกลับบ้านแล้วยังมีความหมายลึกล้ำแฝงการกระทำในการมาอาณาเขตฉีและช่วยเหลือองค์ชายจี้ตูให้กลายเป็นจักรพรรดิฉี
‘โลหิตวิญญาณหนึ่งหยดไม่สามารถทำให้ร่างของหวานเอ๋อร์เข้าไปในแดนเทพบรรพกาลได้…’ ย้อนกลับไปในสำนักตะวันม่วง เขาเห็นบันทึกหลายอย่างเกี่ยวกับแดนเทพบรรพกาลมาจากชวงจื่อ
มีรายละเอียดบางอย่างอธิบายเอาไว้เกี่ยวกับแดนเทพบรรพกาล ส่วนเรื่องที่มันปรากฏขึ้นเวลาไหน ไม่มีใครรู้ แต่จากที่เขารวบรวมข้อมูลมา แรงกดดันทรงพลังสามารถพาให้คนหลบซ่อนจากการจัดการของโลกแห่งนั้นได้ ดวงวิญญาณของคนที่ตายในแดนเทพบรรพกาลจะไม่เข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ แม้กระทั่งการเกิดใหม่ก็ยังหยุดอยู่ตรงนั้น
นี่คล้ายกับที่ราชครูได้พูดเอาไว้ จึงเป็นเหตุผลที่หวังหลินยอมให้ราชครูเปิดใช้ค่ายกลต่อไปและเปิดแดนเทพบรรพกาลขึ้นมา
‘ร่างของหวานเอ๋อร์ไม่สามารถอยู่รอดในแดนเทพบรรพกาลได้ ตามที่ราชครูได้พูดเอาไว้ แม้โลหิตวิญญาณจะสามารถช่วยได้ แต่หนึ่งหยดเห็นได้ชัดว่าไม่พอ…’
‘ราชครูพยายามเปิดแดนเทพบรรพกาลขึ้นมา เขาใช้เรื่องความจริงและการเกิดใหม่ของหวานเอ๋อร์เป็นตัวล่อให้ข้าเข้าไปที่นั่น…ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป้าหมายของเขาคือการทำให้ข้าเชื่อเขา ดังนั้นอย่างน้อยเขาควรจะบอกความจริงเกี่ยวกับหวานเอ๋อร์บ้าง’
‘ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องไป!’ หวังหลินขบคิด เหตุผลใหญ่ที่สุดที่เขาจะช่วยจี้ตูคือเขาต้องการได้โลหิตวิญญาณมากขึ้น การได้มากขึ้นนั้นเขาต้องไปที่อารามบรรพชนเพื่อผ่านบททดสอบสุดท้าย!
นี่คือหนทางเดียวในการได้รับการยอมรับจากบรรพชนโบราณอีกครั้งและบางทีอาจได้โลหิตวิญญาณมากขึ้น!
“ข้าไม่สามารถกลับไปอาณาเขตเต๋าได้อีกแล้วและสิทธิ์ในการเปิดอารามบรรพชนก็ไม่ได้อยู่ในมือของมหาชั้นฟ้า แต่เป็นของจักรพรรดิคนปัจจุบัน”
‘แม้ลั่วเฉินจะได้รับการยอมรับว่าเป็นจักรพรรดิเต๋า…ข้าก็ยังไม่อยากกลับไปอาณาเขตเต๋าอยู่ดี…’ หวังหลินถอนหายใจและเผยท่าทีซับซ้อน
‘ส่วนเรื่องอาณาเขตจวี่ ข้าไม่ได้ติดต่อกับพวกนั้นมากนัก อาณาเขตฉีเหมาะสำหรับข้ามากกว่า โดยเฉพาะความทะเยอทะยานของจี้ตู เขาจะไม่กล้าขัดเจตนารมณ์ของข้า’
‘ห้าร้อยปี…เพียงห้าร้อยปี!’ หวังหลินสูดหายใจลึกและสะบัดแขน โลงศพผลึกใสปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ลี่มู่หวานหลับนิ่งอยู่ในโลงศพ หวังหลินมองนางด้วยใบหน้าอ่อนโยนขึ้น แขนซ้ายตีใส่หน้าผากตัวเอง ลำแสงสีเงินสายหนึ่งส่องประกาย
ในลำแสงสีเงินมีร่างเงาเลือนลาง ร่างเงานี้คือเศษวิญญาณของลี่มู่หวาน
“หวานเอ๋อร์ ตั้งแต่นี้ต่อไป วิญญาณของเจ้าก็จะสมบูรณ์ ข้าจะเป็นคนปลุกเจ้า…ไม่ใช่เพียงชั่วเวลาสิบปี แต่ชั่วชีวิตข้า…” หวังหลินยกนิ้วขึ้นมาส่งลำแสงเข้าหาลี่มู่หวาน เปลือกตาของนางสั่นระริกราวกับกำลังจะตื่น แต่ในไม่นานก็สงบลง
ทว่ามีหยาดน้ำตาใสๆ กำลังไหลลงมาจากมุมสายตาทั้งสองข้าง
……………………………………………….