Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2056 สมบูรณ์แบบ!
ความรู้สึกระหว่างอาจารย์และศิษย์ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แม้หวังหลินและซวนลั่วจะไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันอีกแล้ว ในใจหวังหลินนั้น ซวนลั่วคืออาจารย์เขาเสมอ
และในใจของซวนลั่ว ศิษย์คนเดียวของเขายังคงเป็นเด็กคนนี้ที่เขาพามาจากโลกถ้ำเข้าสู่เผ่าโบราณ
ภายในอารามบรรพชน แม้หวังหลินกำลังเจอกับความเจ็บปวดรุนแรง เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ สูดหายใจลึก หลับตาลงและจมความคิดเข้าไปในการแยกวิญญาณอย่างสมบูรณ์
เพียงมีอาจารย์อยู่ที่นี่ เขาไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก
พริบตาเดียวผ่านไปสามวัน ช่วงเวลาสามวันนี้หวังหลินนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ความเจ็บปวดจากการแยกวิญญาณดั้งเดิมยิ่งรุนแรงมากขึ้นราวกับพายุพัดผ่านในร่าง ขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องบนและเชื่อมต่อกับศีรษะเขา
ร่างเงานี้มีรอยแตกร้าวขึ้นทั่วร่าง รอยแตกเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งรอยแตกก็เชื่อมต่อกับรอยอื่นๆ จนเป็นภาพที่น่าตกตะลึง
เงาที่ว่านี้คือภาพฉายวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินออกมาสู่ด้านนอก
หากเป็นคนในเผ่าโบราณคนอื่น บางทีคงไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้และเลือกจะผสานวิญญาณไป ทว่าสำหรับหวังหลินนั้นนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นและยังห่างจากจุดสิ้นสุดอีกไกลมาก
อีกสามวันได้ผ่านไป ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขารู้สึกว่าวงแหวนรอบรูปปั้นนั้นอยู่นานมากกว่าปกติ
“มันอยู่มาแล้วหกวัน แค่มากกว่าปกติไม่กี่วัน ดูเหมือนท่ามกลางคนที่กำลังเผชิญกับหายนะ มีคนที่มีความมุมานะบากบั่นอยู่บ้าง!”
“หกวัน…ข้าสงสัยจริงว่าใครในกลุ่มที่อดทนอยู่ได้นานขนาดนี้ ตอนนั้นข้าอยู่ไม่ถึงสามวันด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะอดทนได้ง่ายๆ”
“ต้องเป็นคนที่คู่ควรให้ท่านซ่งคุ้มกันแน่นอน”
ทว่าถึงแม้จะเกิดความสนใจ เวลาหกวันก็ไม่ได้ยาวนานนัก ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนไปเป็นปกติ
จนกระทั่งวันที่เก้า วันที่สิบห้า วันที่สามสิบ และผ่านมาสองเดือน วงแหวนรอบรูปปั้นบรรพชนโบราณยังคงอยู่ที่เดิมรอบเมืองหลวง
คราวนี้มีหลายคนมองรูปปั้นด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้อดทนมาได้นานเกินไปหน่อย
“สองเดือนและไม่มีใครออกมาจากอารามบรรพชน เว้นแต่ว่า…เว้นแต่ว่า…”
“เว้นแต่จะมีคนเดียวที่กำลังเผชิญกับหายนะ ใครกันถึงกับทำให้ท่านซ่งเข้ามาคุ้มกัน?”
“สองเดือน เขาอดทนได้สองเดือนจริงๆ ดูเหมือนเขาเลือกเส้นทางที่ยากลำบากในการแยกวิญญาณ”
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวและผ่านไปอีกหกเดือน เพิ่มกับสองเดือนก่อนหน้านี้จึงทำให้การแยกวิญญาณครั้งแรกของหวังหลินกินเวลามาแล้วแปดเดือน!
ช่วงเวลาแปดเดือนแทบทำให้ทุกคนในเมืองหลวงต้องล้อมวงเข้ามาดูรูปปั้นบรรพชนเพื่อดูว่าวงแหวนนี้ยังอยู่ดีทุกเช้าหรือไม่
เกิดการถกเถียงขึ้นไปทั่วทั้งเมืองหลวง กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงในเมือง ผู้คนเริ่มแรกตกตะลึงจนกลายเป็นความหวาดกลัว จากนั้นความหวาดกลัวกลายเป็นความตื่นเต้น ตอนนี้ความตื่นเต้นของแต่ละคนมาถึงจุดสูงสุด
เพราะอีกแค่สี่เดือนก็จะครบปีตามข้อมูลที่บันทึกนี่จะเป็นผู้ที่อยู่ในช่วงแยกวิญญาณครั้งแรกได้นานที่สุดในอาณาเขตฉี!
“เขาจะอดทนได้ครบปีหรือไม่? ต้องบอกก่อนว่าคนที่อดทนได้นานที่สุดนั้นคือหนึ่งปี!! หากเขาไม่ตายในการแยกวิญญาณครั้งที่สอง เขาอาจได้กลายเป็นมหาชั้นฟ้าไปแล้ว!”
“แปดเดือนแล้ว เขาช่างอดทนต่อความเจ็บปวดแบบนั้นได้อย่างบ้าคลั่งจริงๆ”
“ลือกันว่าท่านซ่งในอดีตถึงกับอดทนได้สิบเอ็ดเดือนเชียวนะ!”
ขณะที่ผู้คนถกเถียงกัน หวังหลินยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่เงารอบตัวเขาแตกเป็นเศษละเอียดไปแล้ว ส่วนขาของร่างเงาได้หายไปและเหลือร่างเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ร่างนี้พร่าเลือนยิ่งราวกับสามารถสลายไปได้ทุกเวลา แม้หวังหลินยังคงหลับตาอยู่ เขากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาล วิญญาณดั้งเดิมสลายไปทีละน้อยเหมือนโดนมีดกระเทาะออกไป เขาต้องมีสติอยู่ตลอดทั้งกระบวนการ
การทุกข์ทนมาแปดเดือนไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้ เขากำลังรอให้วิญญาณดั้งเดิมสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ก่อนจะผสานกลับเข้ามา!
เสียงคำรามจากบรรพชนโบราณเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาตอนนี้
“หากข้าต้องการให้ท้องฟ้าพังทลาย มันก็จะพังทลาย หากข้าต้องการให้ปฐพีถล่ม มันก็จะถล่ม! หากข้าต้องการให้ตาย ไม่มีใครกล้าหยุดข้าได้ หากข้าต้องการไม่ให้พวกเทพเหลือรอด ใครจะกล้าช่วยพวกมัน…”
ขณะที่เขาอดทนด้วยแรงทั้งหมด เดือนที่เก้าก็มาถึง จากนั้นเดือนที่สิบ เดือนที่สิบเอ็ดผ่านไปในพริบตา
ซ่งเทียนนั่งอยู่นอกอารามบรรพชน คุ้มครองหวังหลินมาสิบเอ็ดเดือน เขาไม่ประหลาดใจที่หวังหลินสามารถอดทนจนถึงตอนนี้ได้และคาดไว้แล้วว่าหวังหลินน่าจะอยู่ได้ราวหนึ่งปี
‘ความจริง เวลาหนึ่งปีก็มากพอแล้วให้วิญญาณดั้งเดิมกลายเป็นเศษเสี้ยว มีแต่คนบ้าในอดีตเท่านั้นที่อดทนไป 28 เดือนจนเศษเสี้ยวกลายเป็นฝุ่นผง!’ ซ่งเทียนไม่ได้มองกลับมาที่อารามและคาดคำนวณเวลา
เมื่อเดือนที่สิบสองผ่านไปและผ่านไปอีกสองเดือน ทั่วทั้งอาณาเขตฉีตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งหมดมองมาที่รูปปั้นบรรพชนโบราณ สงสัยกันว่าใครกันที่อยู่ได้นานขนาดนี้!
‘สิบสี่เดือน…สมแล้วที่เป็นท่านหวัง!’ จักรรพรดิฉีถอนหายใจอยู่ในวัง
ในวันนี้เองเป็นเดือนที่สิบสี่ บนร่างเงาเหลือเพียงศีรษะอยู่เท่านั้น มันเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ขณะที่แสงระเบิดออกมาจากภายใน มันก็แตกสลาย
ราวกับไม่มีร่างเงาอยู่เหนือหวังหลินอีกต่อไปแล้ว หากใช้สัมผัสวิญญาณมองดูคงเห็นเศษเสี้ยวจำนวนมากที่ลอยอยู่กำลังพังทลาย
ตอนนี้ร่างหวังหลินไม่มีพลังชีวิตราวกับเขาตายไปแล้ว โลหิตในร่างไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเย็นเฉียบ เขาสูญเสียความคิดจิตใจราวกับตายไปจริงๆ
ที่เหลืออยู่คือเจตจำนงเพียงอย่างเดียว เจตจำนงเพื่ออดทนจนกระทั่งถึงปลายสุดและผสานกันอีกครั้ง หากเขาสำเร็จ เขาก็จะเกิดใหม่ แต่หากล้มเหลว เขาจะเลือนหายไป
“ข้าจะล้มเหลว? ไม่! ข้าจะไม่มีวันล้มเหลว!!” ในใจเขามีเสียงคำรามของบรรพชนโบราณยังคงดังกึกก้อง
เศษเสี้ยวที่มองไม่เห็นเหล่านี้ค่อยๆ แตกสลายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเวลาผ่านไปอีกสี่เดือน หวังหลินอดทนต่อการแยกวิญญาณครั้งแรกมา 18 เดือนแล้ว
คราวนี้แม้แต่ซ่งเทียนยังใจเต้น เขาหันหน้ามามองอาราม
หากเขาเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงเหล่าคนของอาณาเขตฉี เวลาสิบแปดเดือนทำให้พวกเขาคุ้นชินว่าวงแหวนจะอยู่ไปตลอด ทว่าพวกเขาเองก็รู้สึกไม่เชื่อว่าการทำให้ชินนั้นเป็นไปไม่ได้
เดือนที่สิบเก้า เดือนที่ยี่สิบ…จนกระทั่งเดือนที่ยี่สิบเจ็ด! หวังหลินอดทนมามากกว่าสองปีและในอารามบรรพชนนั้นเศษเสี้ยวที่มองไม่เห็นได้แตกสลายไปอย่างสมบูรณ์ราวแปดในสิบส่วน
เหลือเศษเสี้ยวเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่ยังแตกสลายต่อไป
เดือนที่สามสิบได้ผ่านไป ช่วงเวลาสองปีครึ่งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเทียนสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของหวังหลินอยู่ในอารามบรรพชน เขาคงคิดว่าหวังหลินตายไปแล้ว
‘คนบ้า!! การที่เขามีความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับความบ้านี่แน่นอน เขาไม่รู้หรือว่าการสลายอย่างสมบูรณ์ทำให้ตายได้?’ ซ่งเทียนลุกขึ้นแล้ว เขายืนอยู่นอกอารามด้วยท่าทีไม่แน่นอน
พอเวลาผ่านมาสามสิบเดือนได้ทำให้จิตใจจักรพรรดิฉีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วน แม้เขายังเรียกจี้ตูตามปกติ ในสายตาเขาซ่อนบางอย่างเอาไว้ ทว่ามีแต่เขานั้นที่รู้ว่าคืออะไร
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จักรพรรดิฉีไม่รู้ก็คือจี้ตูเองก็สังเกตเรื่องนี้ได้เช่นกันแต่เขาไม่สนใจ ตอนนี้เขาเคร่งเครียดมาก ไม่ใช่ในตำแหน่งจักรพรรดิ แต่เป็นความปลอดภัยของพ่อบุญธรรม
เมื่อเดือนที่สามสิบห้าผ่านเข้ามา แม้แต่ซวนลั่วที่คุ้มกันหวังหลินอยู่ในท้องฟ้าก็ยังเผยความเคร่งเครียด เขาต้องการเตือนหวังหลินแต่ก็กลัวว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ถึงเดือนที่สามสิบหก ซวนลั่วเกิดความลังเล จังหวะนั้นวงแหวนทั้งเก้าพลันส่องสว่างเจิดจ้า แสงแผ่กระจายไปทั่วทิศทางและกวาดผ่านทั่วเมืองหลวง ทั้งเมืองเงียบงันพร้อมกับเหล่าผู้คนอาณาเขตฉีมองเข้ามาที่รูปปั้นบรรพชนโบราณ
ซวนลั่วลุกขึ้นและมองเข้ามาอย่างตื่นเต้น
ซ่งเทียนอ้าปากค้าง จากนั้นถอยกลับมาหมื่นฟุตและมองเข้าไป
ภายในราชวัง จักรพรรดิฉียืนอยู่ข้างหน้าต่างด้วยความเคร่งเครียด สายตาจ้องมองไปยังอารามบรรพชน
จี้ตูมาถึงด้านนอกอารามในระยะหมื่นฟุตด้วยตัวเอง มองเข้ามาอย่างเคร่งเครียด
ภายในอารามบรรพชน แสงส่องประกายบนร่างไร้การเคลื่อนไหวของหวังหลิน ละอองแสงนับไม่ถ้วนควบแน่นอยู่บนร่างกาย ก่อตัวเป็นร่างเงาที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า มันเปล่งประกายเจิดจ้าและเปล่งแรงกดดันอันน่าตกตะลึง
เมื่อร่างเงาควบแน่นขึ้นมาได้ วงแหวนทั้งเก้ารอบรูปปั้นจึงผสานกันกลายเป็นหนึ่งเดียวทันที มันปลดปล่อยแสงเจิดจ้าและทำให้กลางคืนดูราวกับกลางวัน!
นาทีนั้นวงแหวนที่ผสานกันได้แบ่งตัวออกเป็นสิบแปดวง ลอยอยู่รอบรูปปั้นบรรพชนโบราณ!
“แยกวิญญาณครั้งแรกสมบูรณ์!”
“สามสิบหกเดือน ทั้งหมดเป็นเวลาสามปี!!”
ซ่งเทียนมองดูฉากเหตุการณ์นี้และพึมพำกับตัวเอง “สลายอย่างสมบูรณ์และผสานอย่างไร้ที่ติ…”
……………………………………………………