Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2061 ลาจาก
โลหิตสีแดงสว่างพลันเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วง จนลอยมาถึงเบื้องบนรูปปั้นบรรพชนเทพจึงย้อมรูปปั้นกลายเป็นสีม่วง!
โลหิตวิญญาณบรรพชนโบราณ เป็นโลหิตสีม่วง!
กลิ่นอายวิญญาณข้างในรุนแรงยิ่งจนทำให้ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีม่วง!
ทั่วทั้งเมืองหลวงอาณาเขตฉี รวมถึงจักรพรรดิจี้ตู ทุกคนล้วนมองมาที่โลหิตวิญญาณสีม่วงที่อยู่เหนือรูปปั้นบรรพชนโบราณ ยามนี้แสงสีม่วงได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นวงแหวนและลอยลงมาจากศีรษะรูปปั้นอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียววงแหวนสีม่วงก็เลือนหายเข้าไปในส่วนลึกของบรรพชนโบราณ
หวังหลินนั่งอยู่ข้างใน ละอองแสงสีม่วงมากมายห่อหุ้มรอบตัว ควบแน่นเข้าไปในร่างและผสานเข้ากับโลหิตวิญญาณหยดแรก
ต่อจากหายนะแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณก็เป็นคำอวยพรแห่งบรรพชนโบราณ โลหิตวิญญาณหยดนี้นับว่าได้รับการประทานพรให้โดยแท้!
ทุกคนที่ได้เห็นโลหิตวิญญาณม่วงตกลงไปถึงกับเกิดอาการตกตะลึง หลายคนไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น นี่คือโลหิตวิญญาณของบรรพชนโบราณ!
“ลือกันว่ามีโลหิตวิญญาณสามหยดก็สามารถสร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาใหม่ได้ เขาได้รับโลหิตวิญญาณระหว่างคำอวยพรแห่งบรรพชนโบราณจริงๆ!”
“เป็นไปได้ว่าหากสามารถผ่านแยกสามวิญญาณเต๋าโบราณได้อย่างไร้ที่ติ ก็จะสามารถได้โลหิตวิญญาณ!?”
เกิดความโกลาหลขึ้นไปทั่วบริเวณ จี้ตูมองรูปปั้นบรรพชนโบราณและอ้าปากค้าง แม้แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าพ่อบุญธรรมจะได้โลหิตวิญญาณของบรรพชนโบราณมาครอบครอง!
เมื่อโลหิตสีม่วงเลือนหายไป ท้องฟ้าจึงกลับคืนสู่ปกติและดูเหมือนทุกอย่างกำลังจบ นอกจากนี้พรแห่งบรรพชนโบราณก็ได้มาแล้วและสามบททดสอบเจ็ดหายนะกำลังจะจบ
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังคิดเรื่องนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างขึ้นในท้องฟ้า กระทั่งเกิดเป็นเสียงคำรามขึ้นทั่วทุกมุมของเมืองหลวง
“มันยังไม่จบ!! ดูท้องฟ้าสิ พรแห่งบรรพชนโบราณยังไม่จบ!!”
“สีม่วง สีม่วงอีกแล้ว!”
“เป็นไปไม่ได้! หรือจะมีโลหิตวิญญาณอีก?”
เกิดความโกลาหลสั่นสะเทือนสวรรค์ แสงสีม่วงที่กำลังหายไปพลันส่องแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง ตรงปลายสุดท้องฟ้าได้มีวังวนสีม่วงหมุนอย่างรวดเร็ว ใจกลางวังวนราวกับเป็นหลุมดำ
หลุมดำตรงนี้คือจุดที่แสงสีม่วงหนาแน่นที่สุด โลหิตสีม่วงหนึ่งหยดตกลงมาอย่างช้าๆ และเมื่อทุกคนได้เห็นกับตาจึงเกิดคลื่นเสียงไปทั่วเมืองหลวง!
“โลหิตวิญญาณอีกแล้ว!”
“สองหยด เขาถึงกับได้โลหิตวิญญาณไปสองหยด!!”
โลหิตวิญญาณค่อยๆ ตกลงมาและในที่สุดก็เข้าไปในศีรษะรูปปั้นบรรพชนโบราณ แสงสีม่วงพลันหายเข้าไปในอารามบรรพชน
ความปั่นป่วนจากภายนอกดำเนินต่อไป แสงสีม่วงปรากฏออกมารอบตัวหวังหลินมากขึ้น มันควบแน่นเข้าสู่ร่างเขาและเลือนหายไปข้างใน
สุดท้ายแล้วแสงสีม่วงทั้งหมดก็เข้าไปในร่างหวังหลลิน ข้างในตัวเขามีโลหิตวิญญาณอยู่ทั้งสิ้นสามหยดแล้ว หวังหลินพลันลืมตาขึ้นมา
ทันใดนั้นรูปปั้นบรรพชนโบราณจึงปลดปล่อยแสงสีม่วงทรงพลัง เพียงแสงส่องประกาย วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินซึ่งปกคลุมรูปปั้นจึงได้ลดขนาดลงกลับเข้าไปในอารามบรรพชนอย่างไร้ร่องรอย
ท้องฟ้ากลับคืนสู่ปกติอย่างช้าๆ และไม่มีแสงสีม่วงเหลืออยู่เลย รูปปั้นบรรพชนโบราณยังคงสงบนิ่งและมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาดูถูก
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ ผู้คนในอาณาเขตฉีจึงฟื้นคืนจากอาการตกตะลึง แม้จะเกิดระลอกคลื่นครั้งใหญ่ขึ้นในใจ แต่ใบหน้ายังต้องบังคับให้ตัวเองสงบลง
สายตาแต่ละคนที่มองอารามบรรพชนล้วนมีความคิดที่แตกต่าง บางคนอิจฉา บางคนชื่นชม บางคนละอายใจ…
ภายในอารามบรรพชน วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินลอยอยู่ตรงหน้าและทับซ้อนกับร่างกาย ร่างที่แห้งเหี่ยวจึงถูกเติมพลังชีวิตที่มากมายเข้าไปและฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา ร่างกายที่มีสภาพคล้ายโครงกระดูกได้มีพลังอำนาจแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างใหญ่หลวง!
หวังหลินหลับตาและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในวิญญาณดั้งเดิม ตอนนี้วิญญาณดั้งเดิมของเขาทรงพลังยิ่ง เพียงแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปไม่เพียงปกคลุมได้ทั่วทั้งเผ่าโบราณ แต่ยังครอบคลุมถึงทะเลอันกว้างใหญ่ด้วย
หวังหลินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฎ และการเคลื่อนไหวของทุกอย่างแม้แต่การไหลเวียนแห่งกาลเวลา
วิญญาณดั้งเดิมของเขาไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทรงพลังขึ้น ร่างกายที่แข็งแกร่งอยู่แล้วในตอนนี้กลับรู้สึกถึงพลังที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง คล้ายกับสามารถทำลายท้องฟ้าได้ในหมัดเดียว
“ชักสงสัยเสียแล้วว่าหากเทียบกับมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวจะเป็นอย่างไร…” หวังหลินพึมพำพลางเดินออกมาด้านนอกอารามบรรพชน
นี่คือครั้งแรกที่เขาออกมานอกอารามบรรพชนในรอบร้อยปี เพียงก้าวเท้าออกมาจึงเห็นดวงอาทิตย์ส่องสว่างและท้องฟ้าอันสดใส แต่เขากลับไม่เห็นอาจารย์ซวนลั่วแต่อย่างใด
ตอนที่โลหิตวิญญาณหยดที่สองตกลงมา ซวนลั่วตัดสินใจจะจากไปแล้ว เขาไม่ได้มาเพื่อเจอหวังหลินและออกไปจากอาณาเขตเต๋าอย่างเงียบๆ
เขามาเพื่อปกป้องหวังหลินและตอนนี้เหตุการณ์ก็จบลง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับหวังหลินว่าอย่างไรหากได้เจอกัน ดังนั้นจึงทำได้แค่จากไป
หวังหลินมองไปบนท้องฟ้าและทิศทางที่ซวนลั่วจากไป หวังหลินขบคิดเงียบๆ ด้วยสายตาที่ไม่ซับซ็อน มีเพียงสายตาที่อ่อนโยน
“ก่อนข้าจะไป ข้าต้องไปเจออาจารย์…” หวังหลินพึมพำกับตัวเอง
‘สะพานย่ำสวรรค์ ข้าจะสามารถก้าวไปบนสะพานที่สี่ได้หรือไม่! แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เวลาที่อยู่ในเผ่าโบราณจบลงแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามร้อยปีจนกว่าแดนเทพบรรพกาลจะเปิดออก ข้าไม่อยากใช้เวลานี้อยู่บนแผ่นดินเซียนดารา ข้าอยากกลับบ้าน…’
‘ข้าจะพาหวานเอ๋อร์กลับบ้าน’ หวังหลินถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้าและก้าวเดินเข้าสู่วัง
เขาสัญญากับจี้ตูไว้ว่าจะเป็นสักขีพยานในการกลายเป็นจักรพรรดิ!
ภายในวังหลวงไม่มีความปั่นป่วนอะไรเกิดขึ้น แต่หวังหลินปรากฏร่างออกมาภายใต้สายตาของคนมากมาย หวังหลินมองจี้ตูด้วยรอยยิ้ม
และพูดขึ้น “เจ้าจะเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยม!”
จี้ตูจ้องมองหวังหลิน เขาสัมผัสได้ว่าพ่อบุญธรรมตัดสินใจที่จะไปแล้ว
“จงเป็นจักรพรรดิที่ดี และนำประชาชนไปสู่ความรุ่งโรจน์!” หวังหลินยื่นมือขวาออกไปและมงกุฎบนบัลลังก์ลอยเข้าสู่ฝ่ามือ
เขาสะบัดแขนให้มงกุฎลอยไปยังจี้ตู มันวางอยู่บนศีรษะของจี้ตู ตอนนี้เขากลายเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง!
หวังหลินยิ้ม หันร่างกลับและก้าวเดินออกไป เลือนหายไปจากเมืองหลวง หายไปจากสายตาของทุกคนที่นี่และหายไปจากสายตาของจี้ตู
“พ่อบุญธรรม!” จี้ตูส่งเสียงตะโกนไปยังทิศทางที่หวังหลินจากไป เขารู้สึกเศร้าต่อการลาจาก เขาไม่มีวันลืมว่าทุกอย่างที่เขาได้มานั้นเป็นเพราะหวังหลิน
หวังหลินจากไปแล้ว
เขาออกไปจากอาณาเขตฉีและมองไปยังเผ่าเทพ มองไปยังทิศทางของสำนักเจ็ดเต๋า หลังจากขบคิดเพียงชั่วครู่จึงก้าวเดินเข้าสู่วังหลวงอาณาเขตเต๋าที่เขาจากมาเมื่อสองร้อยปีก่อน
ภายในเมืองหลวงอาณาเขตเต๋า ไม่มีใครนอกจากซวนลั่วที่สังเกตการมาถึงของหวังหลินได้ ทางด้านหวังหลินก็เห็นซวนลั่วอยู่ในบ้านพักหลังภูเขาภายในอารามเต๋า
ศิษย์และอาจารย์ครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่นานก่อนซวนลั่วจะเผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้ากลับมาแล้ว”
“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์”
หวังหลินค้นพบความอบอุ่นจากสองร้อยปีก่อนในบ้านหลังนี้ เขาลืมไปแล้วว่าตนเองแข็งแกร่งพอกับกุ้ยต้าว ในสายตาหวังหลินนั้นซวนลั่วคืออาจารย์และเขาก็คือศิษย์
หวังหลินพักอยู่ในบ้านหลังภูเขาของอารามเต๋าเป็นเวลาสามปี
เวลาสามปีนับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีพร้อมกับควบคุมความแข็งแกร่งได้มากขึ้น หวังหลินอยู่กับซวนลั่วเพราะซวนลั่วล้มเลิกการไปเกิดใหม่ หลังจากผ่านไปสามปีซวนลั่วก็มองดูหวังหลินจากไป
ซวนลั่วมองดูศิษย์ของตนเอง เขารู้ว่าเมื่อหวังหลินจากไปในครั้งนี้ ครั้งต่อไปที่จะได้เจอกันอีกอาจจะเป็นสามร้อยปีข้างหน้า
ร่างหวังหลินเลือนหายไปจากบริเวณและปรากฏตัวบนแอ่งน้ำเบื้องหน้าภูเขาลึกใกล้กับทะเลอันกว้างใหญ่ ระดับบ่มเพาะในตอนนี้คือขีดสูงสุดแล้ว หวังหลินตัดสินใจที่จะเข้าสู่สะพานย่ำสวรรค์อีกครั้ง!
เขาสามารถทะลวงคอขวดได้ทุกเมื่อ สามารถไปในโลกมายาเพื่อเผชิญกับการย่ำสวรรค์ได้ตลอดเวลา
หลายวันถัดมา ระลอกคลื่นแผ่กระจายออกมาจากภูเขา ก่อเกิดเป็นแรงกดดันที่แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังยืนต้านได้ยากยิ่ง หวังหลินปรากฏตัวเบื้องหน้าสะพานย่ำสวรรค์อันคุ้นเคย!
ท้องฟ้ายังคงพร่าเลือน พื้นดินปกคลุมไปด้วยสายหมอกจนเขามองเห็นได้ไม่ไกล เบื้องหน้าคือสะพานทั้งหกแห่ง สะพานถัดไปมีขนาดใหญ่กว่าสะพานก่อนหน้า และด้านหลังสะพานแห่งสุดท้ายมีภาพเลือนลางที่หวังหลินคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
ด้านหลังเขาคือสะพานสามแห่งที่ข้ามผ่านมาแล้ว
ตอนนี้หวังหลินยืนอยู่เบื้องหน้าสะพานที่สี่ ซึ่งเขาหยุดลงเมื่อร้อยปีก่อน
ผ่านไปสักพัก หวังหลินถอนสายตาออกมาจากภาพมายาด้านหลังสะพานแห่งที่เก้า สายตามองสะพานที่สี่ก่อนจะยกเท้าขึ้นและก้าวออกไป!
………………………………………………………