Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2067 หานางไม่เจอ
ขณะที่จิ่วตี้และคนอื่นกำลังใช้วิชาลับเพื่อชมการต่อสู้ หวังหลินก็มาถึงเผ่าเทพทางทิศเหนือ เขามองแผ่นดินอันคุ้นเคยและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึก
‘หลายร้อยปีก่อน ข้าจากที่นี่ไปและมุ่งหน้าไปยังเผ่าโบราณ…ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว’ หวังหลินถอนหายใจและกวาดสายตา แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณเข้าหา 72 แคว้น ชั่วจังหวะนั้นสัมผัสวิญญาณจึงได้ปกคลุมทุกแคว้นได้ทั้งหมด
หวังหลินค่อยๆ ผุดรอยยิ้มบนใบหน้า ด้วยระดับบ่มเพาะก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถใช้วิธีที่ใช้อยู่เพื่อตามหาสหายเก่าได้เลย
แต่ตอนนี้ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา เขาจึงทำได้
‘ระดับบ่มเพาะของโจวยี่และฉิงชวงเพิ่มขึ้น…น่าสงสัยว่าทั้งคู่เก็บยานั้นไว้หรือไม่…’ หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณไปแต่ไม่หยุดชะงัก
รอยยิ้มหวังหลินกว้างขึ้นราวกับเห็นบางอย่าง ‘นี่มัน…ซือถู…’
‘อีกคนน่าจะเป็นปรมาจารย์หงซาน…หลังจากมาเกิดใหม่ เขาก็ยังเหมือนเดิม’
‘โจวลี่…เด็กคนนี้ไม่ได้ก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกเซียน ข้าไม่รู้ว่าที่ผ่านมาหลายร้อยปีนางได้เกิดใหม่ไปแล้วกี่ครั้ง…’ หวังหลินมองออกไปไกลด้วยสายตาอ่อนโยน
‘ฉือซาน…เขายอดเยี่ยมอยู่เสมอและมีระดับบ่มเพาะเก่งกล้า จากที่ดูตอนนี้เขาก็รวดเร็วมากแล้ว…’
‘จงเฟยเจิน ผู้น่าสงสารจากโลกถ้ำที่ใช้ความโหดเหี้ยมของตัวเองปิดบังจิตใจอันเปราะบาง ที่นี่เขาก็ยังเหมือนเดิม…’
‘นี่มัน…เฉินกงฮู่? เขากลายเป็นจ้าวสำนัก!’ หวังหลินตกตะลึงเล็กน้อย
‘นางคนนั้นคือผีเสื้อสีชาดใช่หรือไม่…รอยนั่นไม่ผิดแน่…’
‘ฉิงหลิน…เขาเลือกที่จะไม่บ่มเพาะและวนเวียนเกิดใหม่เหมือนคนธรรมดา…’
‘ศิษย์พี่ฉิงชุ่ย…เอ๋?’ สายตาหวังหลินแหลมคมยิ่งขึ้นและเพ่งสายตาไปทางทิศตะวันตก เขารู้สึกเหมือนฉิงชุ่ยอยู่ที่นั่นแต่อักขระบนร่างกายเบาบางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะระดับของหวังหลินสูงส่งกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้หวังหลินคงไม่สามารถตรวจจับได้
“หากอักขระบนศิษย์พี่ฉิงชุ่ยเลือนหายไปหมด เช่นนั้นถึงข้าจะกวาดสัมผัสวิญญาณใส่ทุกคนก็คงไม่สามารถตามหาเจอได้…โชคดีที่อักขระของเขายังอยู่”
หวังหลินพึมพำพลางค้นหาทั่วแคว้น 72 แห่งในเผ่าเทพต่อไป เขาทำแบบเดียวกันในเผ่าโบราณแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของสหายคนใด
ในใจหวังหลินมีร่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนเกินอธิบาย เงานี้เป็นศิษย์ผู้มีนามว่าลี่เฉียนเหมย
‘ไม่มี…’ หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณผ่าน 72 แคว้นทีละแห่ง เขาเจอเกือบทุกคนยกเว้น…นาง
‘ยังไม่มี…’ หวังหลินจำไม่ได้ว่าค้นหาไปแล้วกี่ครั้ง เขาค้นต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของลี่เฉียนเหมย
เหมือนกับตอนที่เขาค้นในเผ่าโบราณ เขาไม่เจอนางที่นั่นเช่นกัน…
‘ไม่มีเบาะแสเลย เป็นไปได้อย่างไร?’ หวังหลินไม่อาจสงบจิตใจลงได้และระเบิดสัมผัสวิญญาณออกมา ไม่เพียงแต่จะปกคลุมทั่วเผ่าเทพ ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้สามารถปกคลุมได้ทั้งทะเลและเผ่าโบราณด้วยเช่นกัน
เขาค้นอีกครั้ง กวาดสัมผัสวิญญาณออกไปอีกครั้งแต่ก็ไม่เจอเบาะแสของลี่เฉียนเหมย
หวังหลินหน้าซีด เขาไม่เจอนางไปได้อย่างไร
‘เป็นไปได้ว่าระหว่างการเกิดใหม่…นางอาจเจออุบัติเหตุ…’ หวังหลินรู้สึกตะหงิดอยู่ในใจ เขาไม่มีทางลืมสตรีผู้มีนามว่าลี่เฉียนเหมย รวมถึงใบหน้าและแววตาอ่อนโยนของนาง
นางมาที่แผ่นดินเซียนดาราก็เพื่อเขา นางทิ้งพ่อตัวเองและมาที่นี่ตัวคนเดียว รอคอยชายผู้ที่นางรักออกมาตามหาและปลดปล่อยความทรงจำ
‘เป็นไปไม่ได้!’ หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาตลอดทั้งวัน สัมผัสวิญญาณกวาดไปทุกตารางนิ้วของแผ่นดินเซียนดาราแต่ก็ไม่พบ…เขายังไม่ค้นพบอะไร
หวังหลินเอามือกดทับหน้าอกและให้เกิดความเจ็บปวด เขามองท้องฟ้าและหัวเราะออกมา ทว่าเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โกรธเกรี้ยวต่อสรวงสวรรค์!
“เจ้าให้ข้าได้เจอวิญญาณของลี่มู่หวานแต่ทำให้ข้าสูญเสียลี่เฉียนเหมย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา!!? หรือสวรรค์กำลังกลั่นแกล้งข้า!?!”
“ข้าไม่เชื่อ ข้าจะตามหานางให้เจอ!” หวังหลินคำรามใส่ท้องฟ้าดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
‘ด้วยการช่วยเหลือจากอาจารย์ โอกาสเจอเรื่องผิดปกติถือว่าต่ำมาก ในเมื่อข้าหานางไม่เจอ โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือนางฟื้นคืนความทรงจำเร็วกว่าศิษย์พี่ฉิงชุ่ยและอักขระเลือนหายไป…’ หวังหลินหลับตา หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ เขาแทบจะมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว
พอหลับตาลง หวังหลินมองเห็นสตรีชุดขาวอย่างเลือนลาง นางมองมายังท้องฟ้าพร้อมกับน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย
นางจำเรื่องในชีวิตก่อนหน้าได้นานแล้วแต่ก็หลีกเลี่ยงเขา…หรือบางทีนางไม่ต้องการเจอหวังหลิน
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมนลงพร้อมกับหวังหลินยืนอยู่ในอากาศและลืมตาขึ้นมา สายตาเผยความเศร้าและสับสน เขาขบคิดเงียบๆ พลางก้าวเดินต่อและหายไปในความมืด
………..
เผ่าเทพ แคว้นหยุนต้าวแห่งทิศตะวันตก
ทางทิศเหนือของแคว้นแห่งนี้มีสำนักอยู่แห่งหนึ่ง สำนักนี้ไม่ใหญ่มากและถือว่าเป็นสำนักขนาดเล็กในแคว้นหยุนต้าว ยามเช้านี้มีศิษย์หลายคนกำลังบ่มเพาะอยู่ในสำนัก ภายในห้องลับหลังภูเขามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
ชายผู้นี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและมีกลิ่นอายเย็นเยียบ เขาสวมชุดสีดำพลางหลับตาบ่มเพาะ รอบกายเต็มไปด้วยระลอกคลื่นแผ่กระจายออกมาจากร่าง ห่อหุ้มรอบบริเวณ เผยระดับบ่มเพาะของเขาออกมาอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสองและห่างจากขั้นที่สามเพียงก้าวเดียว
ในฐานะคนที่มีระดับบ่มเพาะรวดเร็วที่สุดในช่วงพันปีของสำนักเตาหลอมทองคำ เขามีชื่อเสียงโด่งดังมาก เขามีตำแหน่งสูงในสำนักและได้รับการสั่งสอนจากหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นการส่วนตัว
ไม่เพียงแต่ระดับบ่มเพาะสูงส่งเขายังเป็นคนเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยม ถึงกับมีชื่อเสียงในแคว้นหยุนต้าวว่าสังหารคนที่เพิ่งบรรลุขั้นที่สามได้จนทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันอีกหลายสำนัก
โดยเฉพาะการต่อสู้ที่มีความรุนแรงมากของเซียนขั้นที่สาม ใครที่สู้กับเขามักจะตายด้วยน้ำมือเขาในสัดส่วนเก้าถึงสิบครั้ง
การฆ่าสังหารเช่นนี้ทำให้เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่รุ่นเยาว์ แม้แต่ผู้อาวุโสทั่วไปยังตกตะลึงกับจิตสังหาร
ชื่อเขาคือหวังฉี “ฉี” ที่แปลว่า “หิน”
เขาเป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้ว่าครอบครัวอยู่ไหน เขาถูกผู้อาวุโสเต๋ารับมาเลี้ยงและเติบโตในสำนัก สิ่งที่รู้คือเมื่อเขาฝึกฝน มักจะเห็นแผ่นหลังของร่างหนึ่ง แผ่นหลังนี้ใหญ่มากและทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของร่างนี้ได้
แรกเริ่มแม้แต่แผ่นหลังยังพร่ามัว และขณะที่ระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นแผ่นหลังก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เขารู้สึกว่าหากสามารถบรรลุขั้นที่สามได้ เขาก็จะเห็นร่างนี้ชัดเจน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่ง!
“หวังฉี!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากห้องลับ จากนั้นลำแสงสายหนึ่งทะยานมาเบื้องหน้า เปลี่ยนกลายเป็นภาพมายารูปร่างชายชรา
หวังฉีลืมตามองดูชายชราอย่างเคารพ จากนั้นยืนขึ้นและโค้งคำนับ
“ขอทักทาย หัวหน้าผู้อาวุโส”
“เจ้ายังไม่ยอมเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’…” ร่างในภาพมายาถึงกับขมวดคิ้ว ศิษย์ผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง เขาต้องการรับเป็นศิษย์แต่หวังฉีมักจะเงียบและไม่ยอมรับ เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่พอเวลาผ่านไป ระดับความเร็วการเพิ่มเพาะของหวังฉีทำให้เขายิ่งสนใจมากขึ้น เขาไม่สนเรื่องที่หวังฉีไม่ยอมรับเขาเป็นอาจารย์และสั่งสอนวิชาของตัวเองให้
ตอนนี้ผ่านมาได้แล้วหลายปีและทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ กระนั้นหวังฉีก็ไม่เคยเรียกเขาว่า “อาจารย์” เลยสักครั้ง
หวังฉีเองก็ไม่รู้เหตุผล แต่เขามักจะรู้สึกมาเสมอว่าคนตรงหน้าไม่ใช่อาจารย์ แต่ใครควรจะเป็นอาจารย์นั้นเขาก็สับสน
“ช่างมันเถอะ เตรียมตัวให้พร้อมและมุ่งหน้าลงเขาในอีกสามวัน ไปที่สำนักต้าวหยุนเพื่อส่งของขวัญแสดงความยินดีแทนข้า” ร่างมายาส่ายศีรษะและเลือนหายไป
หวังฉีพยักหน้าอย่างเคารพ หลังจากร่างหายไป แววตาเขาเต็มไปด้วยความสับสน ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ หลังจากกลับไปบ่มเพาะอีกครั้งพลันมีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังออกมาจากด้านหลัง
เสียงถอนหายใจเกิดขึ้นฉับพลันเกินไปและทำให้หวังฉีสั่นเทา แต่เขาไม่ได้หันกลับมาอย่างวู่วาม เขารู้ว่าคนผู้นี้มาที่นี่โดยไม่ให้เขาหรืออาจารย์รู้ได้แบบนี้ต้องมีระดับบ่มเพาะสูงส่งยิ่ง
หวังฉีพูดขึ้นอย่างตั้งใจ “ท่านเป็นใคร?”
“บอกข้ามาว่าทำไมเจ้าถึงชื่อ ‘หวังฉี’ ใครเป็นคนมอบชื่อนี้ให้เจ้า?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากด้านหลัง จากนั้นหวังฉีรู้สึกจิตใจสั่นไหวและรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง เหมือนมความทรงจำบางอย่างกำลังตื่นขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะสับสนแต่ก็ตอบคำถามโดยไม่รู้ตัว
“ข้า…ข้ากำพร้าและข้าตั้งชื่อตัวเอง…ข้ารู้สึกว่าข้าควรชื่อ ‘หวัง…’ ”
เกิดเป็นความเงียบลำดับต่อมา หวังฉีมีแววตาเปล่งประกายและใช้โอกาสนี้หันกลับไป เขาเห็นชายหนุ่มชุดขาวเรือนผมสีขาวผู้หนึ่งกำลังมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน นี่คือสายตาของผู้อาวุโสที่กำลังมองศิษย์ตัวเอง
เพียงเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้ ร่างหวังฉีถึงกับสั่นเทา จิตใจตกอยู่ในความปั่นป่วน ร่างในความฝันปรากฏขึ้นมาและค่อยๆ ทับซ้อนกับคนผู้นี้
“ท่าน…ท่าน…” แววตาสับสนรุนแรงยิ่งขึ้น
หวังหลินถอนหายใจและชี้ไปที่หน้าผากหวังฉี เพียงเท่านี้จิตใจหวังฉีถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและเกิดเสียงดังปัง ความทรงจำพลันฟื้นคืนกลับมาทันที!
“อา…อาจารย์!! ฉือซานขอคารวะอาจารย์!!” หยาดน้ำตาไหลลงจากดวงตาสองข้างพลางคุกเข่าให้หวังหลินโดยไม่ลังเล ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
………………………………………………………………..