Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2071 รุ้งในสายฝน
‘การเกิดใหม่…การเกิดใหม่คืออะไรกันแน่…ข้าคิดว่ามันคือสวรรค์แต่ความจริงการเกิดใหม่ยิ่งกว่าเป็นสวรรค์เสียอีก’ หวังหลินเดินทางผ่านท้องฟ้าและการได้เจอโจวลี่ ซือถูหนานและเหลียนต้าวเฟยทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นในใจ
‘ตัวเลือกของเหลียนต้าวเฟยอาจไม่ใช่การเกิดใหม่ แต่โจวลี่และซือถูหนานเลือกการเกิดใหม่…พวกเขาไม่ได้เลือกจากมาแต่เลือกที่จะผสานกับชีวิตที่นี่ ทั้งสองมีความผูกพันธ์มากมายที่ไม่อาจละทิ้งไปได้’
‘โจวลี่ไม่สามารถละทิ้งครอบครัวและคนรักในชีวิตนี้ ซือถูไม่สามารถละทิ้งชีวิตเหล่าทหารที่ติดตามเขาได้ การเกิดใหม่คือหนึ่งช่วงชีวิตและหนึ่งชีวิตนี้มีอีกหลายชีวิตผูกพันธ์ จะไปตัดทั้งหมดได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?’
‘นี่สินะคือพลังของการเกิดใหม่…มันสามารถทำให้คนไม่สามารถเป็นอิสระได้ หรือไม่อยากเป็นอิสระเอาเสียเอง’ ภายในแววตาหวังหลินเกิดความสงสัย คล้ายกับกำลังเกิดความเข้าใจมากขึ้น
‘การเกิดใหม่คือสวรรค์และเป็นกระจกเช่นกัน ตัวเองในกระจกคือการเกิดใหม่’
แววตาสงสัยของหวังหลินค่อยๆ หายไปและถูกแทนที่ด้วยความชัดเจน ความเข้าใจต่อการเกิดใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงหลังจากได้เจอโจวลี่และซือถูหนาน ถนนด้านล่างค่อยๆ แคบลงจนเหมือนเส้นยาวที่แทงทะลุถึงสวรรค์
‘ข้าสงสัยเสียแล้วว่าตัวเลือกของคนอื่นจะเป็นอย่างไร…’ หวังหลินทอดสายตามองออกไป ถอนหายใจและก้าวเดินต่อ
ณ เทือกเขาแห่งหนึ่งทางแคว้นทิศเหนือของเผ่าเทพ ที่นี่อุดมไปด้วยป่าทึบและอันตรายยิ่ง
พื้นที่มีเพียงเหล่าสัตว์และนกหลายพันธุ์ ทว่าเมื่อหลายปีก่อนมีถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นที่นี่และไม่มีสัตว์ตัวใดกล้าเข้ามาในป่าอีกเลย
ถ้ำแห่งนี้หรูหรามากและมีไข่มุกราตรีมากมายก่อเกิดแสงส่องสว่าง อย่างไรก็ตามเพราะความเงียบของมันจึงทำให้พื้นที่บริเวณเกิดความรู้สึกหนาวเย็น
ตอนนี้มีเซียนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องใหญ่ของถ้ำ
เซียนคนนี้ไม่ได้ดูแก่ชราและมีร่างกายเหมือนคนแคระ ศีรษะเขาใหญ่โตจนร่างเล็กลงถนัดตา
เซียนศีรษะโตผู้นี้มีท่าทีมืดมนและยิ่งบ่มเพาะยิ่งทำให้ทั้งถ้ำหนาวเย็นขึ้นไปอีก
“จงเฟยเจิน…” ขณะที่เซียนผู้นี้บ่มเพาะ เสียงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาดังกึกก้องอยู่ในถ้ำ
จิตใจของเขาสั่นเทาและพลันลืมตาขึ้นมา เขาแบ่งลำแสงสีเขียวออกมาทะยานเข้าหาร่างสีขาวที่ปรากฏขึ้นในถ้ำโดยทันที
หวังหลินเผยสีหน้าประหลาดใจ แสงสีเขียวนี้คือตะขาบและอ้าปากพุ่งหาเขา หวังหลินเพียงชี้ใส่ก็ทำให้มันแข็งค้างอยู่ในอากาศ
เซียนศีรษะโตตกตะลึง ตะขาบตัวนี้ถูกหลอมในวิญญาณดั้งเดิม ซึ่งแม้แต่คนที่แข็งแกร่งกว่าก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ทำให้เขามีเวลาพอหลบหนีหรือโจมตีได้
แต่กลับถูกคนเบื้องหน้าแช่แข็งได้ง่ายๆ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายใช้วิชาอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หม่าต้าว เจ้าจะสังหารข้า!?” จงเฟยเจินร้องคำราม ร่างกายส่งเสียงดังสนั่นและมีสายหมอกจำนวนมากกระจายออกมา เขากำลังจะหนี
“หม่าต้าว?” หวังหลินตกตะลึงและชี้ไปที่สายหมอก ลำแสงแทงทะลุหมอกและร่อนลงกลางหน้าผากเซียนศีรษะโตตอนที่เขาพยายามหนี
ร่างของจงเฟยเจินสั่นสะท้าน แววตาเกิดความสับสน ความทรงจำหลายอย่างผุดขึ้นในใจ ขณะเดียวกันหวังหลินยื่นแขนออกมาส่งผลให้พื้นที่รอบภูเขาควบแน่นในมือกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กหนึ่งเล่ม
กระบี่เล่มนี้ถูกสร้างขึ้นจากพลังอำนาจแห่งโลกและสร้างจากวิชาแห่งศรัทธาของหวังหลิน ดังนั้นมันจึงเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดา!
เพียงโยนออกไป กระบี่เล่มนั้นจึงลอยทะยานเข้าไปในสายหมอกและปักลงไปในกำแพง ลึกเข้าไปในสายหมอกมีจงเฟยเจินที่กำลังฟื้นคืนความทรงจำ หวังหลินเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางสะบัดแขนเสื้อให้พลังแห่งโลกรวมกันเปลี่ยนกลายเป็นเม็ดยาจำนวนมากเข้าไปในน้ำเต้า เขาวางน้ำเต้าไว้บนพื้นและจากไป
ผ่านไปสักพัก สายหมอกจึงเลือนหาย จงเฟยเจินก้าวเดินออกมาด้วยสีหน้าซับซ้อนและตกอยู่ในภวังค์ เขานั่งอยู่ตรงนั้นมองถ้ำอันว่างเปล่าอยู่นานก่อนจะเงยหน้าและพึมพำ
“นายท่าน…” พอเห็นกระบี่และน้ำเต้า หยาดน้ำตาไหลลงสองแก้มในทันที
ณ แคว้นทิศเหนือเช่นเดียวกันแต่อีกหนึ่งแคว้น ลำแสงหลายสิบสายทะยานผ่านท้องฟ้าและมีลำแสงผลึกหนึ่งสายพุ่งผ่านไป เหล่าเซียนหลายคนต่างก็คาดไม่ถึง
ไม่มีใครสังเกตว่าตอนที่แสงผลึกหายไป มันเข้าไปยังจุดกลางหน้าผากของเด็กชุดดำท่ามกลางพวกเขา
เด็กคนนั้นสั่นเทาพร้อมกับความทรงจำที่ปิดผนึกได้รับการปลดปล่อยอย่างช้าๆ
เหล่าเซียนสงสัยอยู่ชั่วขณะและหลังจากถกเถียงกันพวกเขาก็มุ่งหน้าต่อไปอีก สายตาของเด็กชุดแดงเต็มไปด้วยความสับสน หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงในกลุ่มก็พักอยู่บนภูเขา แววตาสงสัยของเด็กหนุ่มหายไปและถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
‘ข้าคือ…ปรมาจารย์หงซาน…’ เด็กหนุ่มชุดแดงมองไปยังท้องฟ้าและเผยรอยยิ้ม เขาสูดหายใจลึกพลันมองแผ่นดินเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
ณ แผ่นดินทิศตะวันออก แคว้นหนานนี่ หวังหลินผ่านสำนักเล็กแห่งหนึ่งไป ในสำนักแห่งนี้ไม่ได้มีเซียนมากนักและมีประมาณพันคน ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่ได้ดีมากและมีพลังปราณไม่หนาแน่น
ขณะที่มีคำสั่งจากมหาชั้นฟ้าให้เตรียมตัวเรื่องการเปิดแดนเทพบรรพกาล คลื่นใต้ถ้ำได้เริ่มไหลไปทั่วแคว้น จนทำให้สำนักเล็กๆ ไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้และต้องพึ่งพาสำนักที่ใหญ่กว่าเพื่อการอยู่รอด
สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นและสำนักเล็กแบบนี้คงอยู่รอดต่อไปได้ยากในสงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณ
เฉินเปียวเป็นจ้าวสำนักแห่งนี้และมีระดับบ่มเพาะยอดเยี่ยม เขาวิตกกังวลมากเนื่องจากไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไรหรือสำนักของเขาจะยังอยู่หรือไม่หลังสงครามในอีกหลายร้อยปี
เขาใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในการไต่เต้าจากตำแหน่งในอดีตจนกลายเป็นจ้าวสำนัก เขาไม่อยากยอมแพ้แต่ทว่าตอนนี้หนทางเดียวสำหรับเขาคือการยอมต่อพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง
ทว่าพลังอำนาจที่เขาสามารถเลือกได้ก็ยังนำพาผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกัน ทั้งหมดจึงเกิดความเคร่งเครียด เหล่าผู้อาวุโสของสำนักยังมีความคิดเห็นแตกต่างกับเขาอีกจนมีสัญญาณการแบ่งแยก
ขณะที่เฉินเปียวเคร่งเครียด ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งได้มายังด้านนอกสำนักและก้าวเดินเข้ามา
หวังหลินพบเฉินเปียวและไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็จากไป
เฉินเปียวยืนอยู่นอกห้องโถง สายตามองท้องฟ้าด้วยความสับสน จากนั้นสักพักความสับสนจึงหายไปและเปลี่ยนกลายเป็นความมุ่งมั่น
ช่วงเวลาเหล่านี้หวังหลินได้พบเจอสหายเก่าเกือบทั้งหมดจากโลกถ้ำ บางคนหวังหลินปลดปล่อยความทรงจำ บางคนก็มอบอำนาจให้ตัดสินใจ
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ลงเอยเช่นไร หวังหลินก็จะทิ้งบางอย่างให้ปกป้องพวกเขาเพราะพวกเขามาจากโลกถ้ำเดียวกัน พูดให้ชัดคือทุกคนคือคนของสำนักเจ็ดเต๋า
สำนักตะวันจันทรา สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นเทียนฟ่าง สำนักสาขาแต่ละแห่งมีสมาชิกมากกว่าแสนคนและอยู่ในกลุ่มเก้าสำนักสิบสามกองกำลังของแผ่นดินทิศตะวันออก
ภายในสำนักตะวันจันทรามีอัจฉริยะหลายคนแต่ไม่มีใครเทียบกับสตรีนามฉิงฮวงไปได้ พรสวรรค์ของนางถือได้ว่าหมื่นปีจะมีสักคน!
หลายร้อยปีก่อนนางกลายเป็นศิษย์ของสำนักตะวันจันทรา เพียงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงพันปีนางก็บรรลุขั้นที่สามและอยู่ในระดับสวรรค์ดับสูญขั้นสูงสุด นางห่างจากขั้นวิญญาณดับสูญเพียงแค่ก้าวเดียว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสำนักตะวันจันทราที่ช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่แต่ก็แสดงให้เห็นด้วยว่านางสำคัญต่อสำนักแค่ไหน
หัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเป็นระดับผู้สูงส่งชั้นทองและปิดด่านบ่มเพาะตลอดทั้งปี ลือกันว่านางบรรลุระดับพลังผู้สูงส่งชั้นฟ้าแล้วแต่ไม่เคยเข้าบททดสอบชั้นฟ้า
หัวหน้าผู้อาวุโสเป็นคนรับฉิงฮวงเป็นศิษย์ด้วยตัวเองและทุกสองสามปีนางจะออกมาชี้แนะให้ศิษย์ บางครั้งก็จะพานางเข้าปิดด่านบ่มเพาะไปด้วยกัน
นางถูกเรียกว่าเทพธิดาของสำนักตะวันจันทรา หลายคนต่างก็มองนางเป็นตัวอย่างและเพราะความงดงามจึงกลายเป็นที่รักของศิษย์หลายต่อหลายคน
แต่นางโดดเด่นเกินไปและมีนิสัยเย็นชาอย่างยิ่ง ตลอดหลายร้อยปีนางไม่เคยเลือกคู่ฝึกฝนเต๋าเลย แต่ยิ่งนางเป็นแบบนี้ยิ่งกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของศิษย์ร่วมสำนัก
โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ของผู้อาวุโสและพวกศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีพอ ต่างก็ไม่เคยหยุดยั้งไขว่คว้าให้กลายเป็นคนรักของนาง
ในวันนี้ฉิงฮวงได้ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ ก้อนเมฆด้านนอกมืดครึ้ม ท้องฟ้าส่งเสียงดังราวกับฝนกำลังจะตก เสียงนั้นทำให้นางจิตใจไม่สงบราวกับมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
นางยืนอยู่นอกถ้ำของตัวเองพลางมองก้อนเมฆสีดำและเห็นแสงสีแดงแกมม่วงบนดวงอาทิตย์ ทันใดนั้นสายตาเกิดความสงสัยชั่วขณะ
ผีเสื้ออันงดงามบินออกมาจากสถานที่อันไกลแสนไกลพร้อมกับเผชิญสายลมรุนแรง มันลอยเบื้องหน้านางและทำให้นางเกิดความสนใจ
นางชอบสีแดงและผีเสื้อ ผู้คนในสำนักรู้แต่นางชอบสีแดงแต่ไม่มีใครรู้ว่านางชอบผีเสื้อ
พอเห็นผีเสื้อกำลังบิน แววตาสงสัยและสับสนยิ่งรุนแรงมากขึ้น
นางรู้สึกมาตลอดว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเป็นคนเฉยชาต่อทุกสิ่ง
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นและสายฝนตกลงมากระทบพื้นดิน กลายเป็นม่านสายฝนขึ้นทันตา
นางสวมชุดราตรีสีแดง มองไกลๆ ราวกับผีเสื้อสีแดงตัวนั้น นางยืนอยู่พร้อมกับผีเสื้อตรงหน้าและดูเหมือนกำลังจะตามสายลมและสายฝนออกไปยังที่ไหนสักแห่ง
“ผีเสื้อสีชาด…” น้ำเสียงเบาๆ ดังออกมาจากด้านหลังของนาง
…………………………………………………….