Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2075 ข้อตกลง
“จ้าววิญญาณสีชาด…” หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น ตอนนี้เขาสังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านนอกแดนสวรรค์ได้อย่างชัดเจน เขาเห็นใบหน้าของจ้าววิญญาณสีชาดและชายหนุ่มที่เขาสัมผัสถึงสายใยโลหิตได้อย่างเบาบาง เขายังเห็นค่ายกลด้านนอกแดนสวรรค์กำลังโดนแสงโลหิตกัดกร่อนอีกด้วย
พอเห็นว่าค่ายกลโดนกัดกร่อนไปมากแค่ไหน มันน่าจะหายไปภายในเวลาสองวัน
ตอนที่จ้าววิญญาณสีชาดถูกหวังหลินปลดปล่อยออกมา แม้จะอ่อนแอแต่เขาก็ยังทรงพลังเกินไปสำหรับหวังหลิน ตอนนี้อีกฝ่ายฟื้นคืนมาสู่จุดสูงสุดแล้ว กระนั้นเบื้องหน้าหวังหลินในตอนนี้ก็ยังอ่อนแอดุจมดปลวก
มดตัวนี้เพียงแค่เขาชี้นิ้วก็สามารถบดขยี้ได้นับหมื่นครั้ง
หวังหลินพ่นลมหายใจพลางก้าวทะยานและเลือนหายจากดาราจักรทุกชั้นฟ้า จากนั้นประตูแสงก็หายไปราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้น
หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งภายในแดนสวรรค์อันคุ้นเคย ไม่มีใครสังเกตถึงการมาถึงของเขา
คงไม่ต้องพูดถึงจ้าววิญญาณสีชาดที่อยู่ด้านนอก
ท้องฟ้าในแดนสวรรค์ไม่เป็นสีครามเหมือนก่อนอีกแล้วแต่กลายเป็นสีโลหิต มันให้ความรู้สึกกดดันและหนักหน่วง แต่นอกจากสีของท้องฟ้าแล้ว ตำหนักมากมาย ภูเขาและแม่น้ำก็ยังขับความงดงามของแดนสวรรค์ออกมาได้อย่างเด่นชัด
เทียบกับตอนที่หวังหลินจากไป บางแห่งก็คุ้นเคยแต่ที่อื่นก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หวังหลินมองไปรอบๆ พลันสะบัดแขนขวาปรากฏลำแสงออกมาสามสาย กลายเป็นคนสามคนอยู่ตรงหน้าหวังหลิน
ทั้งสามคือฉวี่ลี่กั๋ว หลิวจินเปียวและศิษย์คนเดียวที่ติดตามหวังหลินกลับมายังโลกถ้ำ ฉือซาน
ฉือซานไม่ธรรมดา พอมองรอบด้านและเห็นหมอกโลหิตจึงสับสนไปชั่วขณะแต่ก็สงบนิ่งได้ในเวลาไม่นาน เขาโค้งให้แก่หวังหลินและยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน
สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินเซียนดาราหรือโลกถ้ำ ตราบใดที่อยู่กับอาจารย์ อย่างอื่นก็ไม่ต่างกัน
ทว่าหลิวจินเปียวและฉวี่ลี่กั๋วกลับมีสีหน้าแปลกประหลาด หลังจากมองไปรอบๆ ทั้งคู่มองหน้ากันเองด้วยสายตาที่มีความคิดชั่วร้าย หวังหลินมองออกว่าทั้งสองคนนี้รู้สึกภูมิใจและคิดว่าตนเองสูงส่ง
ราวกับคนลาจากบ้านนอกไปยังสถานที่อันยิ่งใหญ่และกลับมาด้วยความรู้สึกสูงส่งอย่างยิ่ง
ใบหน้าทั้งสองเหมือนเขียนไว้ว่า “ดูสิ ข้าไปแผ่นดินเซียนดารามาแล้ว! ที่นั่นข้ามีตำแหน่งใหญ่โต”
หวังหลินมองบนท้องฟ้าและพูดขึ้นมา “เราอยู่บ้านแล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ข้าจะไปเจอสหายเก่าเสียหน่อย” จากนั้นหวังหลินก็ทะยานออกไป
ตอนที่เขาเข้ามาในแดนสวรรค์ หวังหลินได้กวาดสัมผัสวิญญาณใส่ทุกคนแล้ว เขาสัมผัสได้หลายคนรวมถึงมู่ปิงเหมย
มู่ปิงเหมยกำลังยืนอยู่บนภูเขา ราวกับนางกำลังถูกสายลมพัดปลิวออกไป นางกัดริมฝีปากอยู่นานจากนั้นถอนหายใจ สะบัดกระบี่ผลึกในมือและเผยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมเหมือนตัดสินใจไว้แล้ว
นางกระชับกระบี่ในมือพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีโลหิตและหันตัวกลับ แต่จังหวะนั้นเองมู่ปิงเหมยถึงกับตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง นางมองเห็นร่างที่กำลังมองมาที่นางด้วยสายตาไม่เชื่อ
นั่นเป็นชายหนุ่มผมขาวและสวมชุดสีขาว มีกลิ่นอายแห่งความคุ้นเคยในความไม่คุ้นเคย
ทั้งสองมองหน้ากันภายใต้ท้องฟ้าสีแดงโลหิต ฉากหลังเป็นภูเขา บรรเลงเพลงด้วยสายลม ท้องฟ้าเป็นที่ยึดทุกอย่างเข้าด้วยกัน
ยามที่หวังหลินมองสตรีที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยนั้น เขาเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน เป็นความรู้สึกที่อยู่กับเขามานาน
สำนักเหิงยั่วฉายขึ้นตรงหน้า ตามมาด้วยหญิงสาวผู้มีความสดใส จากนั้นในสุสานซูซาคุก็เป็นร่างสตรีที่งดงามจนแทบลืมหายใจ
ร่างนี้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วเวลาหนึ่งในดาราจักรทุกชั้นฟ้า หวังผิงส่งเสียงคำรามออกมาอย่างขมขื่นจนหายไปในตอนที่หวังหลินออกจากโลกถ้ำ เขาเห็นความทรงจำของตัวเองเหมือนภาพวาด
ในวันนั้น สายฝนตกอย่างเบาบางบนแดนสวรรค์ ท่ามกลางสายฝนมีหญิงสาวชุดขาวทะยานขึ้นมาดุจใบไม้แห้ง
ท่ามกลางสายฝนมีสตรีสุดสวยกำลังถือร่ม นางมีเรือนผมสีดำยาวและงดงามเหมือนภาพวาด การมาถึงของนางทำให้บริเวณนั้นเงียบสงัดและมีเพียงเสียงแห่งสายฝน บรรยากาศรอบด้านคล้ายมีพลังที่แปลกประหลาดทำให้คนผู้หนึ่งลืมเลือนทุกสิ่งยกเว้นหญิงสาวผู้นี้
“หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะกลับมา…” หวังหลินมองหญิงสาวตรงหน้า ร่างของนางทับซ้อนความทรงจำของเขาและหลอมละลายภายในใจอย่างช้าๆ
มู่ปิงเหมยไม่กล้าเชื่อว่านางกำลังเห็นอะไร นางตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง ภายในภวังค์นั้นร่างผมขาวของหวังหลินได้ครอบคลุมหัวใจของนางมากขึ้นจนผสานเข้ากับความทรงจำและหลอมละลายหัวใจนางไปด้วยกัน
พริบตาเดียวนั้นนางเหมือนได้เห็นสำนักเหิงยั่วเมื่อหลายพันปีก่อน ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อ่อนไหวกับความงดงามของนาง
นางได้เห็นร่างที่นางใช้วิชาหยุดเอาไว้ในสุสานซูซาคุและจ้องมองนางอย่างเย็นชา
และในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ชายผู้ปล่อยเสียงคำรามอย่างโหยหวนหลังจากรู้ว่าร่างอวตารของนางตายไป อีกทั้งสายตาของเขายังเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
สุดท้ายแล้วภาพทุกอย่างจบลงตอนที่ชายคนนั้นออกไปจากโลกถ้ำ สายฝนที่ตกในวันนั้นนำพาความรู้สึกของการลาจากเข้ามาด้วย
ท่ามกลางสายฝนนั้นร่างหวังหลินช่างดูแปลกประหลาดจนถึงจุดที่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจ นางเห็นท่าทีไม่แยแสของเขากลายเป็นความอ่อนโยน นางรู้ว่าเป็นเพราะทั้งสองกำลังแยกจากกันและบางทีเขาอาจจะไม่ได้กลับมา
“หากข้ายังมีช่วิต ข้าจะมาเจอท่าน…” มู่ปิงเหมยกัดริมฝีปากพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลลงมุมสายตา หลังจากหวังหลินออกไปจากโลกถ้ำแล้วนางก็ไม่เผยความอ่อนแอนี้ออกมาเลย
หวังหลินมองหญิงสาวงดงามตรงหน้าและเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาถอยหายใจจากนั้นก้าวเข้าไปหามู่ปิงเหมย ทั้งคู่มองท้องฟ้าสีแดงโลหิตด้วยกัน
หวังหลินพูดขึ้นเบาๆ “หลังจากออกมาจากโลกถ้ำ ตอนที่ข้าอยู่บนแผ่นดินเซียนดารา มีสิ่งหนึ่งที่ต้องการพูดมาตลอด ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว เจ้าอยากฟังหรือไม่”
มู่ปิงเหมยพยักหน้า หัวใจของนางกำลังสั่นเทา นางยังรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลิน นางจึงกังวลยิ่ง เรื่องแบบนี้นับว่าพบได้ยากกับคนที่เป็นคนเอาแต่ใจเหมือนนางผู้ครั้งหนึ่งเป็นเซียนสตรีฟ้ากระจ่างและตอนนี้เป็นเซียนสตรีแห่งแดนสวรรค์ ราวกับนอกจากหวังหลินแล้วไม่มีชายใดจะทำให้นางรู้สึกประหม่าเหมือนตอนนี้
บางทีหากจะมีอีกสักคน ก็คงเป็นหวังผิง
มือขวาจับกระบี่ มือซ้ายจับปลายเสื้อผ้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือกำลังซีดขาว
“หลิวเหมย…” หวังหลินถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้าและพูดขึ้นกับมู่ปิงเหมยเบาๆ
“อย่าพูดนะ ข้าไม่อยากฟัง!!” มู่ปิงเหมยร่างสั่นเทาและหน้าซีดทันที นางถอยกลับมาพร้อมกับทำกระบี่ในมือหล่นวูบ วินาทีนั้นนางดูเปราะบางเพียงแค่สายลมพัดก็ทำให้ปลิวได้แล้ว
หยาดน้ำตาไหลออกมาบนใบหน้า เผยจุดอ่อนออกมาอย่างน่าตกใจ
“ข้าไม่อยากฟัง หวังหลิน ข้า…ข้าไม่อยากฟัง…” น้ำตาไหลออกมามากขึ้นจนไหลมาบนแก้มและตกไปบนเสื้อผ้า
หวังหลินมองมู่ปิงเหมย ร่างอันเปราะบางและแววตาสับสนนั้นทำให้หวังหลินถอนหายใจ
“นอกจากการพบสหายเก่า ข้ากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจัดการเรื่องระหว่างเรา ข้าค้นพบหนทางชุบชีวิตหวานเอ๋อร์ และเมื่อข้าจากไปแล้วข้าจะไปชุบชีวิตนาง”
มู่ปิงเหมยมีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ด้วยไหวพริบของนาง ทำไมจะไม่รู้ว่าหวังหลินอยากพูดอะไร? ใบหน้าซีดเซียวของนางเผยอาการขมขื่น
“หลิวเหมย ปล่อยอดีตให้เป็นอดีต…ข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบในความผิดพลาดครั้งนั้น…ปล่อยให้ความทรงจำของเรากลายเป็นฝุ่นไปเถอะ…เจ้าบอกข้าว่าเจ้าอยากเจอหวังผิง…”
หวังหลินมองมาที่มู่ปิงเหมยและพูดขึ้นเบาๆ “ข้ากลับมาครั้งนี้เพื่อขจัดเรื่องในใจเจ้า หวังผิงต้องการแม่ ข้าจะสร้างเต๋าแห่งความฝันขึ้นมาที่มีเจ้า ข้าและหวังผิงเพื่อสานต่อวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่จนจบ…การทำแบบนี้ผิงเอ๋อร์จะได้เห็นแม่ ให้เจ้าไม่มีอะไรต้องเสียใจ และให้ข้า…ไม่มีอะไรเสียใจเช่นกัน”
มู่ปิงเหมยครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นสักพักนางจึงปาดน้ำตา มองหวังหลินด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก และพยักหน้า
“ท่านจะอยู่กับข้าไปชั่วชีวิต ใช้เวลาร้อยปีในโลกแห่งความฝันเพื่อแก้ไขปัญหาทุกอย่าง…ดังนั้นตอนนี้ท่านคือสามีข้า ใช่หรือไม่?” มู่ปิงเหมยพึมพำ
หวังหลินหลับตา พอลืมขึ้นมาอีกครั้งจึงพยักหน้า
มู่ปิงเหมยเผยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่มีคราบน้ำตา นางก้าวเดินเข้าหาหวังหลิน กอดเขาและตกอยู่ในอ้อมกอด
หวังหลินกอดมู่ปิงเหมยอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมจากร่างกายของนางช่างมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้กอดกันจริงๆ เป็นครั้งแรกที่วางความรู้สึกซับซ้อนทั้งหมดทิ้งไปเพื่อใช้เวลาร้อยปีในการแก้ไขความผิดพลาดหรือความสัมพันธ์ที่อาภัพ
ทั้งสองสวมกอดกันบนภูเขาภายใต้ท้องฟ้าสีแดงโลหิต กาลเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นหนึ่งวันสีโลหิตก็ยิ่งเข้มขึ้น ถึงจุดนี้รอยแตกบางๆ ปรากฏอยู่บนค่ายกล ส่งสัญญาณว่ามันพร้อมจะพังทลายแล้ว หวังหลินจึงออกไปจากภูเขาพร้อมกับมู่ปิงเหมย
………………………………………………………