Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2079 เมื่อเจ้าลืมตาอีกครั้ง
ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้แห้งพัดปลิวสู่ท้องนภาและลอยล่องไปราวกับต้องการตามหาบ้าน
ท้องฟ้าสีครามสดใสทอดยาวถึงหมื่นลี้ช่างดูงดงามยิ่ง ยามเช้ามีควันลอยขโมงออกมาจากสิ่งที่เหมือนบ้านสวน
สถานที่แห่งนี้คือแคว้นจ้าว หลายคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มักจะไม่เคยออกไปไกลจากการทำไร่ทำสวนของตัวเอง คงไม่ต้องพูดถึงสถานที่ห่างไกลเช่นหมู่บ้านเล็กๆ ตรงตีนเขา
ยามสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดปลิวมาในยามเช้า เสียงกรอบแกรบดังขึ้นในหมู่บ้าน เหล่าเด็กน่ารักกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นและหัวเราะไปด้วยกัน
รถม้าสีแดงคันหนึ่งได้ถูกชาวบ้านรุมล้อมและหยุดเบื้องหน้าลานสนามหญ้าแห่งหนึ่ง เสียงดังเอะอะบ่งบอกว่าครอบครัวแห่งนี้กำลังต้อนรับเจ้าสาว
ลือกันว่าบรรพบุรุษของตระกูลแห่งนี้คือช่างไม้ แต่มีลูกหลานช่วงหนึ่งกลายเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบของทางการ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่ได้ไปที่เมืองหลวงและกลับมาที่นี่
สิบปีผ่านไปบัณฑิตกลายเป็นชายวัยกลางคน เขามีลูกชายที่เติบใหญ่ขึ้น ในวันนี้คือวันแห่งความสุขของเด็กที่มีนามหวังหลิน
หวังหลินเติบโตขึ้นที่นี่ ดังนั้นชาวบ้านข้างเคียงจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี เด็กคนนี้มีโชคชะตาอาภัพเพราะเป็นใบ้ เขามักจะทอดสายตามองออกไปไกลอย่างเงียบงันและไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อเสียงแห่งความมีชีวิตชีวาดังขึ้นถึงที่สุด ม่านรถม้าจึงเปิดออกเป็นหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงก้าวเดินออกมา หวังหลินกุมมือนางและทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในสนามหญ้า
ทางด้านสตรีนั้นเหล่าผู้เยาว์ในหมู่บ้านทุกคนต่างก็ชื่นชอบนาง นางเป็นลูกสาวคนที่สองของตระกูลหลิว ตระกูลที่ร่ำรวยในแถบนี้ ตั้งแต่ที่นางเป็นเด็กมักจะชอบอยู่กับหวังหลินมาเสมอ ทั้งสองคนกลายเป็นหวานใจกันตั้งแต่วัยเด็ก
ตอนนี้พอทั้งคู่ได้เติบโตขึ้น ไม่มีใครประหลาดใจที่ได้แต่งงานกันแต่หลายคนก็ยังมีความอิจฉา
งานพิธีแห่งความสุขในหมู่บ้านมักจะไม่ใหญ่โตเท่าในเมือง พวกเขาเรียบง่ายมาก เจ้าบ้านจัดงานเลี้ยงเชิญทั้งหมู่บ้านมาร่วมแสดงความยินดี พอตะวันตกดินก็จบงาน
ช่วงเวลาที่เหลือต่อมาเป็นของคู่บ่าวสาว
ภายในบ้านหลังใหม่ หวังหลินเปิดผ้าคลุมหน้าของภรรยาขึ้นมาอย่างเรียบง่ายและจริงใจ เขาเห็นใบหน้างดงามจนแทบลืมหายใจตรงหน้า
นางมีชื่อว่าหลิวเหมย
นางมองหวังหลินด้วยแก้มแดงๆ และหัวเราะ
สายตาของทั้งคู่คล้ายกับได้ทะลุผ่านห้วงเวลา ราวกับผ่านการเกิดใหม่มาหลายครั้งจนสายตาที่สบกันกลายเป็นนิรันดร์
วันต่อมาหลังจากแต่งงาน หลิวเหมยนั่งอยู่ในสนามหญ้า ตรงข้ามนางคือหวังหลินที่กำลังแกะสลักไม้ด้วยมือตัวเอง เขากำลังแกะสลักช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของภรรยา
ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้เปล่งสัมผัสแห่งความอบอุ่น หลังจากผ่านไปสองปีทั้งคู่ก็มีลูกชาย ชื่อว่าหวังผิง
เด็กชายเป็นคนมีไหวพริบดีเยี่ยมและช่างพูด จากนั้นครอบครัวก็มีชีวิตอย่างอบอุ่นและดูสมบูรณ์แบบ
หวังหลินเลือกที่จะไม่ศึกษาต่อแต่กลับกลายเป็นช่างไม้ วิชาชีพนี้ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น เขาตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ภูเขาเล็กๆ แห่งนี้
ภรรยาเขา หลิวเหมย นางรู้สึกรักลูกเป็นอย่างยิ่ง นางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหวังผิง ปรุงอาหารในยามเช้า เล่นกับเขาระหว่างวัน อ่านนิทานกล่อมนอนให้ยามดึก
จากนั้นสิบปีเมื่อหวังผิงอายุย่างสิบห้า เขาตัดสินใจที่จะออกศึกษา เขาออกไปจากหมู่บ้านและมุ่งหน้าไปสอบในเมือง
พอเขาจากไป เขาเห็นแม่ตนเองนั่งอยู่ในสนามหญ้ามองดูพ่อที่กำลังแกะสลักไม้ที่เป็นรูปแม่ ไม้แกะสลักนี้ยังคงงดงามเป็นอย่างยิ่ง
หวังผิงผ่านการสอบได้สำเร็จและทั้งครอบครัวก็ได้ย้ายเข้าสู่เมืองในอีกหลายปีต่อมา หวังหลินและหลิวเหมยอยู่เคียงคู่กันและใช้ชีวิตในเมือง
วันเวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน เส้นผมหวังหลินและหลิวเหมยเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว หวังผิงสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในเมืองและค้นพบเส้นทางของตัวเอง
ถึงตอนนี้หวังผิงก็ได้แต่งงาน ภรรยาของเขามีชื่อว่าฉิงยี่ นางเป็นหญิงงามที่มาจากตระกูลร่ำร่วยในเมือง
นางกตัญญูต่อหวังหลินและหลิวเหมยเป็นอย่างยิ่งและทำให้ทั้งคู่พึงพอใจแต่ก็อ่อนไหวเช่นกัน เพราะนั่นแปลว่าหวังผิงกำลังจะออกไปมีครอบครัวของตัวเองเหมือนนกที่บินออกจากรัง เขาคงจะบินขึ้นสูงในท้องฟ้า บางทีคงไม่กลับบ้านอีกนาน
หวังหลินและหลิวเหมยเลือกที่จะจากไป ทั้งคู่ออกมาจากเมืองและกลับมายังหมู่บ้านใกล้ภูเขาเพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกัน
หลังจากกลับมาบ้านหลังเก่า หวังหลินแกะสลักหลิวเหมยเป็นครั้งที่สาม การแกะสลักครั้งนี้มีร่องรอยแห่งกาลเวลาหลงเหลืออยู่แต่ก็ยังคงความงดงามเอาไว้
ชีวิตสงบนิ่งและไม่มีสิ่งใดพิเศษ หวังหลินมีความสุขในแต่ละวันอย่างมาก แม้จะไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดชีวิตนี้ พวกเขายังได้ดูตะวันขึ้นและตกดินอย่างสม่ำเสมอ มีทั้งความอบอุ่นและจำนวนเส้นผมสีขาวที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด
วันเวลาผ่านไปอย่างอบอุ่น ในปีนี้เมื่อใบไม้แห้งปลิวลอยขึ้นไปในท้องฟ้า หวังหลินและหลิวเหมยได้แก่ชรา หวังผิงมักจะกลับมาเยี่ยมนานๆครั้ง แต่ไม่เคยอยู่ยาวและรีบจากไป
สองคนแก่นั่งอยู่ข้างกันในสนามหญ้า หลิวเหมยยิ้มและมองหวังหลิน ด้านหนึ่งหวังหลินก็ถือไม้แกะสลักในมือ เขามองหลิวเหมยและกำลังแกะสลักไม้ชิ้นสุดท้ายในชีวิตนี้
ไม้แกะสลักค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างในมือหวังหลิน รูปร่างของหลิวเหมยปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทว่านี่ไม่ใช่หลิวเหมยผมขาวในปัจจุบันแต่เป็นหลิวเหมยวันหลังจากแต่งงาน ซึ่งงดงามเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ารู้ว่าถึงแม้ท่านไม่เคยพูดเลยทั้งชีวิต แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นใบ้…” หลิวเหมยมองหวังหลินที่กำลังแกะสลักอย่างช้าๆ สายตาของนางช่างอ่อนโยน
หวังหลินมองหลิวเหมยและเผยรอยยิ้ม เขาส่ายศีรษะและยังไม่พูดอยู่อย่างนั้น
พอวันที่สามการแกะสลักก็เสร็จสิ้น หลิวเหมยรู้สึกป่วย นางนอนบนเตียงด้วยใบหน้าที่ยังคงความงดงามเหมือนเคย นางกุมมือหวังหลินและไม่ยอมปล่อย
“ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้เป็นใบ้…”
“ข้ายังจำตอนที่เราเจอลูกได้ ท่านมองไปบนท้องฟ้า ข้าเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมท่านถึงมองท้องฟ้า ดังนั้นข้าจึงเข้าไปใกล้เพื่อมองกับท่านด้วย”
“แต่ข้าไม่เห็นสิ่งใด ตอนที่ข้าออกมา ท่านกลับพูดขึ้น สิ่งแรกที่พูดกับข้าคือ…ท่านจำได้ ข้าก็จำได้เช่นกัน…” หลิวเหมยมองหวังหลิน สายตาอ่อนละมุนดุจสายน้ำ
“ท่านพูดกับข้าว่าข้าคือภรรยาของท่าน…ท่านคือสามีข้า…นี่คือโชคชะตาของเรา” หลิวเหมยพึมพำ รอยยิ้มกลายเป็นความอ่อนโยนยิ่งขึ้น นางมองหวังหลินราวกับจมไปในความทรงจำของตัวเอง
หวังหลินหัวเราะเช่นกัน เขากุมมือของนางและไม่ปล่อยไปไหน
ทั้งสองมองหน้ากันเช่นนี้ หลิวเหมยพูดต่อไปเรื่อยๆ นางพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต พูดถึงชีวิตวัยเยาว์ พูดถึงตัวเองหลังจากแต่งงาน พูดเรื่องราวหลังจากมีหวังผิง
“ผิงเอ๋อร์เป็นเด็กดี แต่เขาเติบโตและมีเส้นทางของตัวเอง…เราไม่สามารถให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดได้…เมื่อข้าจากไป ท่านก็จะอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ” หลิวเหมยพึมพำ
หวังหลินส่ายศีรษะ เขามองหลิวเหมยด้วยสายตาอ่อนโยน
หลิวเหมยพูดต่อไปจนกลางคืนผันผ่านและอาทิตย์ยามเช้ามาเยือน สายลมใบไม้ร่วงพัดผ่านมานำเอาใบไม้สีเหลืองปลิวอย่างสวยงามในท้องฟ้า สายตาหลิวเหมยพลันเต็มไปด้วยความสับสนและจับมือหวังหลินให้แน่นขึ้น
ใบหน้าที่มีริ้วรอยของนางกลายเป็นสีแดง ราวกับกาลเวลาได้หวนคืน ร่างกายอ่อนแอของนางถูกเติมด้วยพลังชีวิต
“ข้าเห็นมัน…หวังหลิน ข้าเห็นมัน…” นางพยายามลุกขึ้น ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข นางชี้ออกไปนอกหน้าต่างและรีบพูดกับหวังหลิน
“ข้าเห็นกับตาจริงๆว่าตอนที่เรายังเด็กมันมีท้องฟ้าสีดำ ข้าเห็นมันจริงๆ! ในท้องฟ้ามีท่านและข้า…”
“ข้าเห็น…เราเป็นเซียน…ข้า…ข้า…” หลิวเหมยพลันหยุดกึกและมีน้ำตาไหลออกมา นางเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้นางเจ็บปวดหัวใจ
“ข้า…เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…” หยาดน้ำตาไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
หวังหลินดึงหลิวเหมยไปข้างกายและพูดประโยคแรกตั้งแต่ทั้งคู่แต่งงานกันมา “ทั้งหมดเป็นอดีต…” น้ำเสียงแหบพร่าแต่อ่อนโยน
คืนนั้นหวังผิงกลับมาพร้อมกับภรรยาเนื่องจากลาออกจากงานเพื่อจะได้กลับมาบ้านและอยู่กับครอบครัว ภายในห้องเขาเห็นพ่อและแม่ดูเหมือนกำลังหลับใหลอย่างมีความสุข ทั้งคู่ได้จากไปแล้ว
เขายืนอยู่เบื้องหน้าพ่อและแม่อยู่นานก่อนจะมีน้ำตาไหลทั่วใบหน้า…ใบหน้าของครอบครัวและความทรงจำวัยเด็กผุดขึ้นในใจ
เขาฝังศพพ่อและแม่เอาไว้ หวังผิงและฉิงยี่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าจนกระทั่งหลายปีผ่านไป กระทั่งทั้งสองแก่ชราและลาจากโลกนี้ไปเช่นกัน
ภายในถ้ำนั้น ฉือซานคุ้มครองหวังหลินและหลิวเหมยที่กำลังนั่งหลับตาอยู่กันทั้งคู่ ระหว่างทั้งสองมีลูกปัดหนึ่งเม็ด มันเปล่งแสงคล้ายกับเชื่อมต่อสองคนเข้าด้วยกัน
ในวันนี้หวังหลินลืมตาขึ้นมา มองสตรีข้างๆ อยู่พักใหญ่
ดวงตาของนางสั่นเทาและมีหยาดน้ำตาไหลริน นางลืมตามองหวังหลิน สายตาทั้งคู่ผสานกันเหมือนในเต๋าแห่งความฝันและคงอยู่ไปชั่วชีวิต
“มันจบแล้ว…” มู่ปิงเหมยพึมพำ
“มันจบแล้ว หลับตาลง เมื่อเจ้าลืมขึ้นอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเริ่มใหม่…” หวังหลินกระซิบ เขารู้ว่าสตรีตรงหน้ามีความรู้สึกที่ซับซ้อนและพิเศษต่อเขา ทว่าความรู้สึกนี้นางไม่สามารถปล่อยมันไปได้
มู่ปิงเหมยจ้องมองหวังหลิน นางไม่รู้ว่าหวังหลินหมายความว่าอะไรแต่นางก็หลับตาอย่างเชื่อฟัง ซึ่งทำให้หยาดน้ำตาของนางหยุดไหล
“ลืมตาเถิด…” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังออกมาตรงหน้า
เมื่อนางลืมตาอีกครั้งจึงได้เห็น
…………………………………………………….