Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 2082 การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึง
ณ เผ่าเทพ กองกำลังจากหลายสำนักได้จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อให้มาถึงขอบทะเล
ทางฝั่งเผ่าโบราณ เหล่าทหารนับไม่ถ้วนนำทัพโดยจักรพรรดิโบราณทั้งสามก็ได้เดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าสงครามครั้งนี้จะเริ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าฝั่งไหนจะได้มหาชั้นฟ้าคนใหม่หรือมหาชั้นฟ้าคนใดจะปีนป่ายไปได้สูงกว่า
สิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญต่อสงครามที่กำลังจะเริ่ม!
หากสมดุลคงอยู่ก็คงดี แต่หากสมดุลพังทลาย สงครามครั้งนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเผ่าเทพคาดการณ์ได้แล้วว่ามหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวไม่สามารถออกมาจากเผ่าโบราณได้
เว้นแต่เผ่าโบราณจะล่าถอยและไม่กล้าสู่นอกระยะของกุ้ยต้าว!
ไม่มีใครรู้ว่าแดนเทพบรรพกาลมีมาตั้งแต่ตอนไหน ดูเหมือนมันเก่าแก่ยิ่งกว่าแผ่นดินเซียนดาราเสียอีก แม้แต่บรรพชนเทพและบรรพชนโบราณที่ถือกำเนิดมาจากมิติว่างก็ยังไม่รู้เรื่องแดนเทพบรรพกาลมากนัก
หวังหลินนั่งอยู่ใกล้กับพายุ มองดูประตูที่สร้างจากเสาขนาดใหญ่หลายต้น ประตูปิดอย่างแน่นหนาและกำลังจะเปิดในอีกไม่นาน
หวังหลินไม่รีบ เขารอมาหลายร้อยปีแล้ว แค่ไม่กี่เดือนจึงไม่เป็นกังวล
อย่างไรก็ตามมีคำถามหนึ่งอยู่ในใจ
‘ข้าชักสงสัยเสียแล้วว่าแดนเทพบรรพกาลจะเป็นแบบไหนถ้าข้าไม่ได้เริ่มแผนการบ้าๆ ในอารามบรรพชนอาณาเขตฉี…’ หวังหลินครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ
หวังหลินรอคอยให้แดนเทพบรรพกาลเปิดออกจนเหลือเวลาหนึ่งเดือนก่อนเปิด ลำแสงสามสายโผล่ออกมาจากฝั่งเผ่าโบราณ นั่นคือมหาชั้นฟ้าสามคนจากเผ่าโบราณ
ซ่งเทียน ซวนลั่วและมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่ผู้ลึกลับ
ลำแสงทั้งสามสายเข้าใกล้และเปลี่ยนกลายเป็นร่างสามคนเบื้องหน้าหวังหลิน ซ่งเทียนมองหวังหลินด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน คำนับฝ่ามือให้หวังหลินและเอ่ยด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
“ซ่งเทียนขอคารวะท่านหวัง”
มหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่เองก็ขบคิดเงียบๆ และคำนับฝ่ามือให้แก่หวังหลินเช่นเดียวกัน
พวกเขาได้รู้แล้วตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อนว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราไม่ใช่มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวอีกต่อไป แต่เป็นคนชื่อหวังหลินที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้
หลังจากเป็นพยานรู้เห็นการต่อสู้ครั้งนั้นเมื่อสามร้อยปีก่อน พวกเขาก็ไปถามมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวเป็นการส่วนตัวและได้รับคำตอบแบบเดียวกับที่เห็น
ซวนลั่วแก่ชราลงกว่าก่อนหน้านี้ไปเยอะมาก แต่บนใบหน้าก็ยังเผยรอยยิ้ม เขามองอดีตศิษย์ของตัวเองและรู้สึกมีความสุขที่หวังหลินแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
เขากำลังจะคำนับฝ่ามือพร้อมกับซ่งเทียน นอกจากนี้บนแผ่นดินเซียนดารา ความแข็งแกร่งเป็นเรื่องที่น่าเคารพ
แต่ขณะที่พวกเขามาถึง หวังหลินก็ได้ยืนขึ้น หากมีเพียงซ่งเทียนและมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่เข้ามา เขาคงไม่ทำเช่นนี้ แต่มีซวนลั่วมาด้วย หวังหลินจึงโค้งคำนับซวนลั่วก่อนโดยไม่ลังเล
“หวังหลินขอคารวะท่านอาจารย์”
เมื่อซ่งเทียนและมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่เห็นแบบนี้จึงเกิดความตกตะลึง พวกเขาเห็นศิษย์อาจารย์หลายคู่ที่มีศิษย์ทรยศอาจารย์ บ่อยครั้งที่ศิษย์แข็งแกร่งขึ้นและไม่เคารพอาจารย์อีกต่อไป แม้มีให้เห็นอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงผิวเผิน
อย่างไรก็ตามความจริงใจของหวังหลินทำให้ทั้งสองคนสัมผัสได้อย่างเด่นชัด ในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดารา เป็นธรรมดาที่ซวนลั่วจะโค้งคำนับให้หวังหลิน ทั้งสองยังตัดขาดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ตอนที่อยู่วังอาณาเขตเต๋าด้วยซ้ำ
หวังหลินมองมาที่ซวนลั่ว มองมาที่อาจารย์ซึ่งแก่ชราขึ้นกว่าเดิม เขาจะให้อาจารย์โค้งคำนับตัวเองได้อย่างไร? แม้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเซียนดาราและอาจจะแข็งแกร่งขึ้นอีกในอนาคต เขาก็ไม่สามารถทำตัวอกตัญญูได้และไม่ยอมให้ซวนลั่วคำนับเขาอย่างแน่นอน
ซวนลั่วอ้าปากราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายสุดก็ยิ้มและพยักหน้าให้หวังหลิน
เนื่องจากหวังหลินเคารพซวนลั่ว หลายวันต่อมาซ่งเทียนและมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่จึงปฏิบัติต่อซวนลั่วแตกต่างจากเดิม พวกเขาควรจะเท่าเทียมกันแต่ตอนนี้กลับเกิดความเคารพซวนลั่วขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงกับทำให้หวังหลินผู้แข็งแกร่งที่สุดและเอาชนะกุ้ยต้าวได้แต่ก็ยังเรียกเขาว่าอาจารย์ แค่นี้ก็มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
ในวันที่สิบห้าก่อนแดนเทพบรรพกาลจะเปิด ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับพายุ พายุขยายตัวออกไปหลายเท่าและเกิดเสียงดังอึกทึกมากพอที่จะสังหารคนธรรมดาและเซียนที่อ่อนแอจนไม่สามารถทนไหว คนที่จิตใจอ่อนแอจะเกิดอาการบาดเจ็บ บางรายถึงกับร่างระเบิดอย่างสาหัส
ทุกครั้งที่แดนเทพบรรพกาลเปิดออก ไม่มีเซียนอ่อนแอคนใดเสี่ยงเข้าไป อันเนื่องมาจากเสียงดังรุนแรงเช่นนี้
ยิ่งเวลาผ่านไปมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็มากพอที่จะสังหารทุกคนใต้ระดับขั้นสามด้วยซ้ำ
แม้แต่สมบัติป้องกันก็ไม่มีผลที่นี่
ในวันสุดท้าย เสียงดังอึกทึกทรงพลังมากพอที่จะกำจัดทุกคนที่ต่ำกว่าขั้นวิบากดับสูญ ดังนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงมีจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นแสงเก้าสีแทงทะลุผ่านพายุ พุ่งเข้าไปในท้องฟ้าและห่อหุ้มพื้นปฐพี แสงเก้าสีเปลี่ยนกลายเป็นกลิ่นอายคล้ายคมมีดและกวาดผ่านไปทั่วบริเวณ
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาเห็นประตูกำลังคลายตัวออกอย่างชัดเจน เกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากประตูที่กำลังเปิด
ราวกับมีพลังอันแข็งแกร่งกำลังกระแทกประตูเพื่อจะพุ่งออกมา
ซวนลั่วมองพายุและเอ่ยขึ้นกับหวังหลินช้าๆ “มีบางอย่างผิดพลาด…”
“ครั้งล่าสุดที่แดนเทพบรรพกาลเปิด มันก็รุนแรงขนาดนี้ก่อนเปิดหนึ่งสับดาห์ แต่คราวนี้มันเร็วกว่าหนึ่งสัปดาห์…” ซวนลั่วขมวดคิ้ว
“เป็นผลให้เสียงคำรามแห่งแดนเทพบรรกาลคงอยู่ได้ยาวนานยิ่งกว่าเดิมและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…แม้แต่คนที่มี 27 ดาวและผสานกับพลังทั้งสามเผ่าโบราณก็ไม่สามารถเข้ามาได้…” ซวนลั่วเผยความเป็นกังวล
หวังหลินมองพายุในท้องทะเล เขาอาศัยอยู่ในเผ่าโบราณมานานจึงรู้ว่าสมาชิกเผ่าที่มี 27 ดาวซึ่งได้ผสานกับพลังทั้งสามสายเทียบได้กับผู้สูงส่งชั้นทอง
ในอดีตตอนที่แดนเทพบรรพกาลเปิดออก ทั้งสองฝ่ายได้ส่งผู้สูงส่งขั้นวิบากดับสูญจำนวนมากเข้าไปทดสอบโชควาสนาของตนเอง
อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นไม่สำคัญ คนที่สำคัญคือเหล่าผู้สูงส่งชั้นทอง ผู้สูงส่งชั้นฟ้าและกลุ่มคนที่สำคัญที่สุดคือผู้สูงส่งชั้นเทวะ
ทว่าเสียงดังสนั่นที่มาเร็วกว่าหนึ่งสัปดาห์นี้…นั่นแปลว่าอาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นนับตั้งแต่นี้? ซวนลั่วค่อนข้างกังวล
หวังหลินถอนสายตาออกมาจากพายุ มองกลับมาและสัมผัสได้ถึงเหล่าคนในเผ่าโบราณหลายร้อยที่กำลังพุ่งเข้ามา จากความเร็วของแต่ละคนแล้วทั้งหมดน่าจะมาถึงในอีกสามวัน
วันเวลาผ่านไปในแต่ละวัน พอถึงวันที่สอง ความรุนแรงก็เพิ่มขึ้น พอถึงวันที่สามก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เสียงดังสนั่นครั้งนี้ทำให้พื้นที่โดยรอบเกิดความไม่มั่นคง ซ่งเทียนและมหาชั้นฟ้าอาณาเขตจวี่ถึงกับมืดมนและกระวนกระวาย
ยามบ่ายของวันที่สาม เหลือเพียงสิบสองวันก่อนแดนเทพบรรพกาลเปิดออก หวังหลินเอ่ยเสียงสงบนิ่งแต่ชัดเจนเข้าหูของกลุ่มซ่งเทียน
“มหาชั้นฟ้าของเผ่าเทพได้มาถึงแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นานอีกฝั่งของพายุ มีลำแสงสามสายเข้ามาถึง มีเพียงจิ่วตี้ หวู่เฟิงและต้าวยี่เท่านั้นที่มา ส่วนชวงจื่อไม่ได้มาที่นี่ นางเลือกที่จะอยู่ในเผ่าเทพ
สิ่งที่ล่อลวงในแดนเทพบรรพกาลไม่ได้ส่งผลต่อชวงจื่อมากนัก นางคิดมานานแล้วและเลือกที่จะเป็นกองหนุน
ส่วนเหลียนต้าวเฟยที่ได้กลายเป็นจักรพรรดิเทพ เขาเองก็เลือกที่จะไม่มาเช่นกัน
หลังจากกลุ่มของจิ่วตี้มาถึง พวกเขาสังเกตได้ว่าเสียงคำรามในวันนี้แตกต่างจากอดีต คิดไปสักพักสีหน้าแต่ละคนจึงมืดมน พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นเดียวกับกลุ่มของซวนลั่ว
ทั้งสามมองหน้ากันเองและเดินตามพายุเข้ามาจนเห็นกลุ่มของซวนลั่วพร้อมกับหวังหลินที่มีความสงบนิ่ง
“ต้าวยี่ขอคารวะท่านหวัง” ต้าวยี่คำนับฝ่ามืออย่างไม่ลังเล
“ขอคารวะ ท่านหวัง” หวู่เฟิงมีท่าทีสงบนิ่ง ราวกับช่วงเวลาสามร้อยปีทำให้เขายอมรับความเป็นจริง
จิ่วตี้ลังเลก่อนจะถอนหายใจและคำนับฝ่ามือให้หวังหลินเช่นกัน ทว่าเขาไม่ได้พูดอะไร
หวังหลินพยักหน้าและยิ้มให้หวู่เฟิง
“ไม่เจอกันนาน”
“เพียงไม่กี่ร้อยปี ข้าไม่คิดว่าระดับบ่มเพาะของท่านหวังจะบรรลุได้ถึงเพียงนี้…” พอหวู่เฟิงเห็นหวังหลินมีท่าทีแบบนี้ จิตใจจึงอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ลำแสงหลายร้อยสายปรากฏขึ้นในท้องฟ้าด้านหลังซวนลั่ว เหล่าลำแสงเคลื่อนที่เร็วมาก พวกเขาคือคนที่เลือกจะเข้าไปในแดนเทพบรรกาล
ขณะเดียวกันค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ปรากฏด้านหลังจิ่วตี้และมีร่างอีกหลายร้อยคนก้าวออกมา หวังหลินเคยเห็นคนส่วนใหญ่เหล่านี้ที่บททดสอบชั้นฟ้า
เพียงพวกเขาปรากฏตัวขึ้นไม่นาน ราวกับกลิ่นอายแต่ละคนทำให้สถานที่แห่งนี้เกิดความไม่มั่นคง เสียงดังสนั่นจากท้องทะเลยิ่งรุนแรงมากขึ้นราวกับโลกกำลังสั่นเทาและพร้อมจะพังทลาย แม้แต่รอยแยกอวกาศยังปรากฏขึ้นมาและหายไปในบริเวณนี้
ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของมหาชั้นฟ้าหกคนต้องเปลี่ยนไป
……………………………………………………