You Cannot Afford To Offend My Woman ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ! - ตอนที่ 161
GG:บทที่ 161 – ความร้ายกาจของชายเสื้อคลุมดำ
ชิงหยาคิดว่าเย่จีจี้จะต้องติดเธอแจแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ เพียงแค่พบเจอน้องสาวของเธอ เย่จีจี้ก็ทิ้งเธอไปเพราะเสื้อผ้าสวยๆ แค่ไม่กี่ชุด แล้วแบบนี้จะไม่ให้ชิงหยารู้สึกเจ็บแปลบได้อย่างไร
จังหวะนั้น เย่ฮัวเดินเข้ามาหาชิงหยาและกระซิบว่า “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คุณรอรับผลที่จะตามมาให้ดีเถอะ”
พูดจบ เย่ฮัวก็เดินเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำ
ดูเหมือนตอนนี้ชิงหยาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเย่ฮัวถึงมีหน้าตาดูเป็นกังวลนัก ดูจากลักษณะน้องสาวของเธอแล้ว เย่จีจี้ย่อมเกิดความรู้สึกอิจฉาที่ไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่บ้าง และความอิจฉาริษยานั้นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเด็กน้อยอย่างชัดเจน
ชิงหยาถอนหายใจออกมาในขณะที่เดินเข้าสู่ห้องนอน ขณะนั้น เย่ฮัวกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่อยากพูดคุยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนคู่แต่งงานเก่าๆ ที่มักจะมีความลับต่อกันเสมอ
“ทำไมไม่อยู่เล่นเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพวกเด็กๆ ไปล่ะ?”
“ก็รอให้คุณไปดูแลเธอไง”
“ในเมื่อคุณเป็นคนขอให้เย่จีจี้พักอยู่ที่นี่ คุณก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเธอสิ” เย่ฮัวพูดเสียงเบาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ชิงหยาถอนหายใจออกมายาวแรง ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนขอบเตียง และยกมือกุมใบหน้า ดูเหมือนว่าเย่จีจี้จะไม่ได้เป็นเพียงเด็กน้อยน่ารักธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกเสียแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น ห่างออกมาทางตอนเหนือ ณ คฤหาสน์ตระกูลไป๋
ไป๋สือชิงกำลังถือเจดีย์เก้าปีศาจอยู่ในมือ ดวงตาของเธอจ้องมองมันอย่างระมัดระวัง หมอกควันสีดำค่อยๆ ลอยออกมาจากเจดีย์จำลองเก้าชั้นล้อมรอบมืออันสวยงามของไป๋สือชิงเอาไว้
หวังต้าเป่าและไป๋ฉียืนดูอยู่ด้านข้าง
“ที่รัก ระวังด้วยนะ” หวังต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ไป๋สือชิงส่ายศีรษะกระซิบตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงไม่นานหมอกควันสีดำก็ลอยกลับไปในเจดีย์จำลองหมดสิ้น
“เมื่อมีเจดีย์เก้าปีศาจอยู่ในมือแบบนี้ ตระกูลไป๋ของเราก็สามารถก้าวขึ้นเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!” ไป๋สือชิงวางเจดีย์เก้าปีศาจลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า ดวงตาที่สวยงามของเธอเป็นประกายระยิบระยับ
“ยินดีด้วยนะครับพี่” ไป๋ฉีพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
หวังต้าเป่าก็ทำเช่นเดียวกัน “ยินดีด้วยนะที่รัก”
ไป๋สือชิงหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่ตระกูลไป๋ของเราฝ่ายเดียวสักหน่อย พวกตระกูลเสี่ยวก็มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในมือเช่นกัน แต่ผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์เหลือที่ว่างแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น”
“พี่ครับ ถ้าเป็นแบบนี้ เราฆ่าพวกตระกูลเสี่ยวดีไหม?” ไป๋ฉีเสนอความคิดเห็น
ไป๋สือชิงยกถ้วยน้ำชาร้อนอุ่นขึ้นมา เป่าให้หายร้อนเล็กน้อย แล้วจึงจิบเข้าไปอึกหนึ่ง
“ฉันก็อยากทำเหมือนกัน แต่มันมีกฏอยู่ ตอนนี้เสี่ยวยี่กำลังอ่อนแอ ถือว่าเป็นโอกาสดีเสียด้วยสิ”
หวังต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ให้ผมลองไปหยั่งเชิงกับมันดูดีไหม?”
“ไม่เป็นไร เราอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นกันดีกว่า ก้าวแรกของเราคือการมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในครอบครอง เป้าหมายของเรานอกจากจะได้เข้าสู่การเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรายังอยากโค่นล้มสามผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย”
เมื่อพูดถึงสามผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ หวังต้าเป่าและไป๋สือชิงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ก่อนอื่นพวกเขาต้องมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในการครอบครองเสียก่อน จะมีการประเมินคุณสมบัติของตระกูลที่จะได้กลายเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ 5 ปี แต่เดิมแล้ว ตระกูลเสี่ยวยึดครองตำแหน่งหนึ่งในตระกูลศักดิ์สิทธิ์อย่างเหนียวแน่น แต่ถ้าเกิดตระกูลอื่นมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ในมือบ้าง ก็จะต้องเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งอย่างแน่นอน
สำหรับตำนานของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามีความเป็นมาลึกลับแล้ว แต่สามผู้ยิ่งใหญ่ผู้อยู่เหนือตระกูลศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล กลับมีความลึกลับมากกว่านั้น
เนื่องจากสามผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น จนถึงขณะนี้ จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมีความแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด
แต่สิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ทุกตระกูลศักดิ์สิทธิ์ให้ความเคารพสามผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างสูง ไม่อย่างนั้นก็คงเกิดสงครามแย่งชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณกันไปนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ สามผู้ยิ่งใหญ่จึงออกกฎว่า ผู้ที่มีสถานะเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ จะสามารถครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณได้เพียงตระกูลละหนึ่งชิ้นเท่านั้น และห้ามใช้อาวุธเหล่านั้นมาเข่นฆ่าทำลายล้างตระกูลศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเด็ดขาด
จากจุดนี้เอง การที่ถังหวูฉั่วเชิญเย่เสี่ยวมาจึงถือเป็นความเสี่ยงไม่ใช่น้อย แต่ก็โชคดีที่เย่เสี่ยวถอนตัวกลับไปในที่สุด
ไป๋สือชิงวางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วพูดออกมาแผ่วเบาว่า “คุณคะ คนฝั่งใต้เลือกข้างกันแล้วใช่ไหม? แบบนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้น คุณก็กลับไปเหยียบฝั่งใต้ไม่ได้อีกแล้วสิ”
“ที่รัก คุณแน่ใจได้เลยว่าศูนย์บัญชาการของเมืองเกาไห่ ยังไงก็อยู่ในกำมือเราแน่นอน” หวังต้าเป่าตอบกลับมาทันทีด้วยความมั่นอกมั่นใจ
ไป๋สือชิงถึงกับต้องชื่นชมออกมาว่า “สามีของฉันไม่เลวเลยจริงๆ เพียงเท่านี้อนาคตของเราก็ถูกเตรียมการไว้อย่างมั่นคงแล้ว”
“ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณไงล่ะ ที่รัก”
“แล้วคราวนี้คุณได้ประสบการณ์อะไรมาบ้างคะ” ไป๋สือชิงพูดก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ
หวังต้าเป่าถึงกับหยุดชะงักไปทันที
ไป๋ฉียืนตัวตรงแหน่ว อยากรู้ว่าผู้เป็นพี่เขยจะตอบว่าอย่างไร
หวังต้าเป่าไอออกมาเล็กน้อยและเริ่มต้นกล่าวว่า “ภายใต้การนำทางของที่รักผู้ฉลาดหลักแหลมของผม เราถึงทำได้สำเร็จอย่างง่ายดายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้ความสามารถของคุณ ผมคงทำงานนี้ได้ไม่ราบรื่นอย่างที่มันเป็นแน่นอน”
ไป๋สือชิงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “คุณยกยอฉันมากเกินไปแล้วนะคะ แบบนี้ฉันเขินแย่เลย”
“ก็มันเป็นความจริงนี่นา” หวังต้าเป่ายิ้มกว้าง เหมือนเด็กน้อยรอรับขนม
แต่แล้วรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าไป๋สือชิง เธอถามด้วยน้ำเสียงเอางานเอาการว่า “เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างคุณเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ ขอแบบรายละเอียดทุกจุดเลยนะ ห้ามขาดตกจุดไหนไปเด็ดขาด”
“ได้สิ”
ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา หวังต้าเป่าก็จบเรื่องเล่าวีรกรรมของเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ในเรื่องเล่า เขาเป็นเหมือนวีรบุรุษผู้เก่งกล้าไร้เทียมทาน ราวกับตนเองได้ครอบครองเจ็ดคาบสมุทรก็ไม่ปาน!
“พี่เขยผมสุดยอดอะไรอย่างนี้ หลอกตระกูลอื่นจนหัวหมุนไปเลยสินะ” ไป๋ฉีคิดมาตลอดว่าพี่เขยของตัวเองเป็นตัวโง่งม แต่ในความจริงแล้ว ก็ยังนับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
หลังจากฟังจบแล้ว ไป๋สือชิงก็ลุกขึ้นยืนไม่พูดอะไร สีหน้าของเธอบอกชัดเจนว่ากำลังใช้ความคิด “คุณบอกว่าตอนที่คนใส่เสื้อคลุมสีดำโผล่ออกมา คุณกำลังพาแม่เฒ่าหยุนซงไปหาเจ้าสำนักฟ่าง แต่สุดท้ายทุกคนก็วิ่งหนีไปหมดใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ผมก็แปลกใจเหมือนกัน อยู่ดีๆ พวกเขาก็โผล่มา น่าจะมาเพราะอยากได้อาวุธโบราณนี่แหละ แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายกลับวิ่งหนีไปแบบนั้น” หวังต้าเป่าไม่เข้าใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“ภาพลักษณ์ของเจ้าสำนักฟ่างไม่เคยเสียหายมาตลอด แต่คนที่ใส่เสื้อคลุมดำคนนี้ กลับล่อให้เธอออกมา และทำให้เธอหวาดกลัวจนหนีไปได้งั้นเหรอ? แต่จะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?” ไป๋สือชิงพึมพำอย่างปวดหัว
“ผมแน่ใจว่าเดี๋ยวพี่ต้องคิดออก” ไป๋ฉีกล่าว หวังต้าเป่าเลือกที่จะเงียบ ไม่อย่างนั้นเขาก็อดใจไม่ไหว ต้องถามคำถามอีก
ไป๋สือชิงพูดต่อว่า “ถึงฉันจะไม่เคยเจอคนใส่เสื้อคลุมสีดำคนนี้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดา นี่น่าจะเป็นฝีมือของใครบางคนที่ต้องการกวนน้ำให้ขุ่น และใช้โอกาสนี้ตามล่าตัวเจ้าสำนักฟ่าง เพราะแบบนี้ไงล่ะ ชายเสื้อคลุมดำถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เขาตั้งใจหลอกใช้ทุกคน ให้ออกตามหาเจ้าสำนักฟ่างแทนเขา!”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าของหวังต้าเป่าก็เข้มครึมขึ้นทันที “ไอ้เจ้าเสื้อคลุมดำนั่นมันน่ากลัวจริงๆ วางแผนได้แยบยลอะไรขนาดนี้!”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงในโลงศพนั่นล่ะ?” ไป๋สือชิงถาม
หวังต้าเป่าส่ายหน้าตอบว่า “ผมไม่รู้ พอได้เจดีย์เก้าปีศาจมาแล้ว ผมก็วิ่งหนีมาเลย ไม่ได้กลับไปสนใจศพเธออีก”
“แล้วผู้ชายคนนั้น ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเป็นใครกัน?”
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีเส้นสายอยู่กับคนฝั่งเหนือไม่ใช่น้อย” หวังต้าเป่าตอบ
“แล้วคนที่คุณพาไปด้วยล่ะ?” ไป๋สือชิงถามต่อ
“ยังติดต่อไม่ได้สักคน แต่ได้ข่าวว่าอาเฟิง หูเจินไห่ และอาไค คงไม่รอดกลับมาอีกแล้ว”
ไป๋สือชิงสูดหายใจลึก “คุณคะ ไป๋ฉี ฉันว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ตอนนี้เราต้องระวังตัวให้ดี อย่างเมื่อคืนก็เห็นแล้วว่าฝั่งใต้ไม่ยอมแพ้ พวกเขาคงเตรียมตัวตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงแน่นอน ไป๋ฉี ฝากนายจัดการเรื่องนี้ด้วยนะ”
“ได้เลยครับ” ไป๋ฉีพูดจบก็เดินออกไปเป็นคนแรก
“แล้วผมล่ะ?” หวังต้าเป่าถามพร้อมกับยิ้มกว้าง
ไป๋สือชิงเดินเข้ามากุมมือผู้เป็นสามีอย่างแช่มช้าและกล่าว “คุณทำงานหนักมาตลอดทั้งคืนแล้ว สมควรได้รับรางวัลตอบแทนค่ะ”
และแล้ว ตอนสำคัญก็มาถึง
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในห้องนอน ไป๋สือชิงก็มองหวังต้าเป่าด้วยสายตาหวานเยิ้ม “ที่รักคะ วันนี้ฉันซื้อเกล็ดน้ำตาลเป๊าะแป๊ะรสออกใหม่มาด้วย เห็นว่าเป็นรสเผ็ดจัดจ้าน รับรองว่ากินพร้อมกับน้ำเย็น ต้องซู่ซ่าแน่นอน”
หวังต้าเป่านั่งลงบนขอบเตียง กลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยความตื่นเต้น