บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1223: ช่วงเวลาสามปี
ตอนที่ 1223: ช่วงเวลาสามปี
พรุ่งนี้?
จิ่งหัง จิ่นขุยและคนอื่น ๆ ล้วนตะลึงอึ้ง
แม้พวกเขาจะรู้แล้วว่าท่านอาจารย์จะออกสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวในสักวัน ทว่าเมื่อรู้ว่าเป็นพรุ่งนี้ เหล่าศิษย์ก็ยังตั้งตัวไม่คิดกันอยู่ดี
“ข้าบอกไปกี่หนแล้วหนอว่าหากลัวความเป็นความตายไม่ มิมีค่าให้กังวลหรอก”
ซูอี้แย้มยิ้ม
กาลต่อมา เขาก็กล่าวเรื่องบางอย่างกับพวกจิ่งหังเป็นขั้นตอน
การกลับชาติครั้งก่อนเกิดขึ้นอย่างรีบเร่ง ทำให้เกิดเหตุมิคาดฝันพลิกผันมากมาย
ครานี้ ซูอี้จะไม่ทำผิดซ้ำรอยอดีต
“สมบัติส่วนใหญ่ที่ข้ารวบรวมมาในอดีตไร้ประโยชน์สำหรับข้าแล้ว ข้าจึงจะให้พวกมันทั้งหมดกับพวกเจ้า”
ซูอี้เอ่ยสั่ง “เรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของจิ่งหัง”
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์ จะมิทำให้ผิดหวังขอรับ”
จิ่งหังรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
“ส่วนถุงผ้าแพรสามใบนี้ ให้จิ่นขุยเก็บไว้”
ซูอี้กล่าวพลางส่งถุงผ้าแพรให้จิ่นขุยสามถุง “หากภายหน้าเจ้าประสบเรื่องที่ไม่อาจแก้ไข ให้เปิดสามถุงนี้ออกตามลำดับ”
จิ่นขุยรีบรับมันไป และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะดูแลมันอย่างดีเจ้าค่ะ”
หวังเชวี่ยอดอยากรู้มิได้ “ท่านอาจารย์ มีความลับใดซ่อนอยู่ในถุงพวกนี้หรือขอรับ?”
ซูอี้แย้มยิ้ม หาอธิบายไม่ ก่อนจะกล่าวเพียงว่า “อย่าได้ใช้มันเลยเป็นดีที่สุด”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวกับเย่ลั่วว่า “ในภายหน้า หากสหายเก่าทั้งหลายของข้าประสบปัญหาการฝึกฝน ขึ้นกับพวกเจ้าจะแก้ไขแล้ว”
“ขอรับ!”
ซูอี้หันมองเสวียนหนิง “เสวียนหนิง เจ้าช่วยข้าปกป้องสำนักด้วย”
เสวียนหนิงรับคำอย่างจริงจัง
“ท่านอาจารย์ แล้วข้าล่ะขอรับ?”
ไป๋อี้อดถามไม่ได้
“เจ้าหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วแหย่เย้า “ขอเพียงเจ้าไม่สร้างปัญหา ข้าก็โล่งใจแล้ว”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกคนก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะไหว
ไป๋อี้อดฉีกยิ้มไม่ได้
หลังพูดคุยสักพัก ซูอี้ก็ส่งกลุ่มศิษย์ออกไป
ส่วนตัวเขาก็นั่งดื่มกับตนเองตามลำพัง
พรุ่งนี้ เขาจะจากจรสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว หัวใจของซูอี้เองก็เต็มไปด้วยคลื่นกระเพื่อมอันห่างหายไปแสนนาน
การรวมเป็นหนึ่งกับประสบการณ์และความทรงจำของทัศนาจารย์ก็ทำให้ซูอี้มีความรู้ความเข้าใจ และความรู้สึกของทัศนาจารย์ที่มีต่อส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวด้วยเช่นกัน
ชั่วชีวิตของเขาละล่องทัศนาผ่านภูมิดารานับร้อยพัน สัญจรผ่านสุขาวดีมากมาย เคลื่อนผ่านสารพัดโลกเร้นลับ เข้าใจเคล็ดปริศนาอันมิเป็นที่ล่วงรู้
และผลกรรมของเขาก็มีอยู่ทั่วเช่นกัน
ต่อให้หลับตาลง เงาของผู้ล่วงลับในกาลก่อน ศัตรูร้ายที่เขาสยบปราบ ประสบการณ์เดิมพันเป็นตาย… ทุกสิ่งในอดีตล้วนสะท้อนในใจราวกับขี่ม้าพินิจบุปผา
ช่างกระจ่างชัดและคุ้นเคย มิแปลกตาแต่อย่างใด
บ่อยครั้งเก้าในสิบ ชีวิตไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
ไม่ต่างอันใดกับวิถีมนุษย์
แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยเป็นเจ้าผู้ทัศนาโลกหล้าผู้ใช้หนึ่งดาบสยบส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ทว่าอดีตชาตินี้ เขาก็ประสบเหตุพลิกผันและบททดสอบมากมาย
เขาไม่ได้เป็นข้อยกเว้นต่อความอาลัย เสียดาย อาวรณ์ ผิดหวัง สุขใจเหมือนเช่นคนอื่นทั่วไป
ทุกสิ่งในกาลก่อนล้วนมีอดีตของมัน
เมื่อยามนี้เขากำลังจะออกเดินทางสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว เขาย่อมต้องเข้าพัวพันกับผลกรรมนี้
ทว่า ซูอี้หาได้รังเกียจหรือปฏิเสธขัดขืนใด ๆ ไม่
วิถีฝึกตนนั้น เดิมคือการปลดพันธนาการ ฝ่าอุปสรรค และเผชิญหน้าท้าทายสวรรค์
หากไร้ผลกรรม จะฝึกฝนเช่นไร?
ยามนี้ ซูอี้ค่อย ๆ เรียบเรียงอดีตของเขา และเตรียมการออกเดินทาง
นับแต่ลืมตาตื่นและฝึกฝนในโลกหล้า เรืองอำนาจขึ้นจากมหาทวีปคังชิง พิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิในภูมิมืดมิด หวนคืนเพื่อสะสางความขุ่นแค้นในมหาแดนดิน และยามนี้เมื่อเขาได้เป็นราชันแห่งภูมิก็ผ่านไปเพียงห้าปีเท่านั้น
ทว่าห้าปีนี้สำหรับซูอี้ มันล้ำค่า
เพราะทุกการแปรเปลี่ยนขอบเขตนั้นเหนือล้ำเกินอดีตชาติไปไกลโข!
เมื่อยามนี้ไล่เรียงเรื่องราวในอดีต ซูอี้จึงอดรำพันมิได้ หากไร้วัฏสงสาร เขาซูเสวียนจวินคงมิอาจสร้างความสำเร็จได้เช่นทุกวันนี้
“ผู้ใด?”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ตื่นจากภวังค์ครุ่นคิด คิ้วขมวดเล็กน้อย
“หืม เพิ่งผ่านไปปีเดียวเอง เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้เลยหรือ?”
เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากนอกถ้ำพำนักของซูอี้
ซูอี้ลุกขึ้นเดินออกนอกถ้ำพำนัก และพบคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
นางสวมอาภรณ์สีเทา สวมรองเท้าแตะสาน ใบหน้าถูกบดบังด้วยหน้ากากสำริด เผยเพียงดวงตาสีม่วง
สตรีถือหอกลึกลับผู้นั้น!
ทว่าทันใดนั้น ซูอี้ก็สังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติ “นี่คือเจตจำนงของเจ้าหรือ?”
“ถูกต้อง”
สตรีถือหอกพยักหน้าอย่างสุขุม “ไม่นานมานี้ ข้ากำลังจะมาสู้กับเจ้าเพื่อตัดสินแพ้ชนะ แต่ก็พบเรื่องบางอย่างเข้า ร่างจริงของข้าจึงต้องจากไปก่อน”
ในใจของซูอี้รู้สึกพรั่นพรึง
เป็นเพียงเจตจำนง แต่สามารถทะลวงผ่านการคุ้มกันที่แน่นหนาของถ้ำเสวียนจวินมาถึงหน้าถ้ำพำนักของเขาได้!
สตรีผู้นี้ต้องแข็งแกร่งเพียงไร?
เขาสงบใจลงและกล่าวว่า “งั้นหนนี้เจ้ามาทำอันใดกัน?”
“เรียนรู้บางอย่างจากเจ้า”
สตรีถือหอกกล่าว “เมื่อปีก่อน ข้าออกสำรวจเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และได้พบสระเวียนวัฏ แต่กลับพบว่าข้าไม่อาจเปิดเส้นทางเวียนวัฏได้ด้วยกำลังของข้าเลย มันผิดคาดจริงแท้ ข้าจึงอยากรู้ว่าเจ้าทำได้เช่นไร”
ซูอี้ถามหยั่งเชิง “หากข้าบอกว่าข้าทำเป็นขึ้นมาเอง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
สตรีถือหอกตะลึงไป “เจ้าหาว่าข้าโง่อยู่หรือ?”
ซูอี้ “…”
สตรีถือหอกพึมพำ “ช่างเถอะ แม้เคล็ดเวียนวัฏสงสารจะถูกมองว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ผลกรรมที่ผูกติดกับมันใหญ่หลวงเกินไป แม้ข้าจะใคร่รู้ แต่ข้าก็มิอยากพัวพันกับพลังเช่นนี้”
กล่าวจบ นางก็กล่าวกับซูอี้ว่า “เจ้ารู้พันธสัญญาแห่งเทพหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า
เขารู้เพียงว่ายามฉินชงซูข้ามธารกาลเวลา อีกฝ่ายอ้างนามพันธสัญญาแห่งเทพ ว่าไม่มีผู้ใดในโลกหล้าได้รับอนุญาตให้เวียนวัฏอีก!
ยิ่งกว่านั้น เสี้ยววิญญาณของฉินชงซูยังเคยตวาดบอกว่าเขาผู้ควบคุมวัฏสงสารจะกลายเป็นศัตรูร่วมของเทพมารทั่วภพภูมิแน่!
“งั้นเจ้าต้องระวังตัวไว้”
สตรีถือหอกกล่าวต่ออีกว่า “การมีอยู่ของวัฏสงสารคือสิ่งต้องห้ามสำหรับมหาอำนาจแห่งทุกยุคสมัย และในภายหน้า เกรงว่าเจ้าคงต้องเผชิญกับการล่าสังหารและปัญหาที่มิคาดฝันมากมาย”
เมื่อกล่าวถึงยามนั้น ดวงตาของนางก็ฉายประกายสงสาร “ดังนั้น อย่าได้คิดว่าการควบคุมวัฏสงสารช่างเลิศล้ำใด ๆ มันอาจนำมาซึ่งอำนาจเหนือจินตนาการ แต่ก็จะนำพาหายนะที่เกินคาดหยั่งมาด้วย”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เจ้ามาหาข้า เพียงเพื่อจะบอกเรื่องนี้หรือ?”
“แน่นอนว่าไม่”
สตรีถือหอกกล่าว “ข้าแค่กล่าวย้ำเตือนเจ้าเท่านั้น กังวลอยู่ว่าหากเจ้าเป็นอันใดไป ข้าจะมาทวงแค้นในภายหน้าได้หรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพักแล้วก็เข้าใจ
มิต้องสงสัยเลยว่าสตรีถือหอกผู้นี้ยังคงคิดไม่ตกกับการพ่ายแพ้ยามต่อสู้ในขอบเขตที่เท่าเทียมกัน!
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ไม่ต้องห่วง ชีวิตของข้า คนแซ่ซูยากลำบากอยู่เสมอ”
ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนประเด็น “ขอใช้โอกาสนี้ให้เจ้าพูดกับข้าเรื่องพันธสัญญาแห่งเทพได้หรือไม่?”
สตรีถือหอก “อยากรู้หรือ?”
ซูอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง “ถูกต้อง”
สตรีถือหอกยกมือขึ้นชี้ตนเอง “ยามร่างจริงของข้ากลับมา เราจะประลองกันด้วยขอบเขตที่เท่าเทียมกัน หากเจ้าชนะ ข้าจะบอกเจ้า”
ซูอี้ “…”
เมื่อเห็นสีหน้าของซูอี้ มุมปากของสตรีถือหอกก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อย่าห่วงเลย ภายในสามปี ร่างจริงของข้าจะกลับมาแน่นอน”
“สามปี? แปลกแท้ ไยทุกสิ่งล้วนแต่เป็นสามปีกัน…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ระลึกขึ้นได้ว่าลั่วเหยาผู้เป็นเจ้าของกระดูกมือข้างนั้น ก็กล่าวเช่นกันว่านางจะหวนคืนในสามปี!
สตรีถือหอกกล่าวอย่างแปลกใจ “เคยมีผู้บอกเจ้าว่าจะกลับมาในสามปีหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
สตรีถือหอกเห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นความใคร่รู้ จึงถามออกมาว่า “อีกฝ่ายคือผู้ใด? มีนามเช่นไร? บุรุษหรือสตรี?”
ซูอี้ใจเต้นกระตุก “หากเจ้าตอบคำถามข้า ข้าก็จะแถลงไขให้”
สตรีถือหอกพลันหัวเราะกล่าว “หากไม่บอกก็ช่างเถอะ ข้าก็พอสรุปได้ว่าคนที่เจ้าว่าต้องไม่ใช่คนของจักรดาราตงเสวียน และน่าจะไม่ใช่คนของยุคสมัยนี้เท่านั้น”
ซูอี้หรี่ตาลงน้อย ๆ “ไยจึงคิดเช่นนั้น?”
สตรีถือหอกกะพริบตา “ความลับสวรรค์ห้ามแพร่งพราย”
ซูอี้ “…”
เขาพลันรู้สึกอยากปราบสตรีผู้นี้และทรมานนางเสียจริง
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะขุดความลับออกมาจากปากนางมิได้เลย
“เจ้าอยากลองหรือ? ลองได้นะ”
สตรีถือหอกกอดอก เชิดคางน้อย ๆ พลางมองซูอี้อย่างท้าทาย
ซูอี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา “ข้ายังคงรังเกียจจะรังแกร่างเจตจำนง ยามร่างจริงของเจ้ากลับมา ข้าจะเอาชนะเจ้าอีกเช่นกาลก่อน”
สตรีถือหอก “…”
นางดูจะจดจำบางอย่างที่มิอาจรับไหวขึ้นมา ดวงตาคู่งามสีม่วงพลันฉายแววอับอาย “ได้! ยามนั้นเดี๋ยวก็รู้ว่าผู้ใดปราบผู้ใดกันแน่!!”
น้ำเสียงของนางดุดัน
ซูอี้เสสรวลกล่าว “สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะกังวลก็คือคำขู่เข็ญจากผู้อื่นนี่แหละ”
อกของสตรีถือหอกกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วงชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นในครู่ต่อมา “งั้นเจ้าก็ต้องอยู่รอข้ากลับมาให้ดีล่ะ!”
กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
ทว่าไม่นานนัก นางก็ชะงักอีกครั้ง กล่าวโดยมิได้หันกลับมา “ในสามปี เขตแดนสมรภูมิจะเวียนปรากฏ ศึกแรกเยือนจะบังเกิด หากเจ้าผ่านมันไปได้ เจ้าจะได้โอกาสปลดเปลื้องตนออกจากยุคสมัยนี้โดยแท้จริง”
เมื่อกล่าวจบ สตรีถือหอกก็หายลับสู่อากาศธาตุไปโดยไม่รีรอปฏิกิริยาของซูอี้
ในสามปี เขตแดนสมรภูมิจะหวนคืน!
ศึกแรกเยือน!
ปลดเปลื้องตนออกจากยุคสมัยนี้?
ซูอี้อดสะท้านสะเทือนในใจมิได้
วาจาก่อนจากของสตรีถือหอก ทุกถ้อยคำล้วนซุกซ่อนความลับอันมิอาจล่วงรู้!
“ในสามปี ลั่วเหยาผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเซียนจะหวนคืน ร่างจริงของสตรีถือหอกเองก็จะกลับมา กระทั่งเขตแดนสมรภูมิซึ่งหายไปนานหลายพันปีก็จะเปิดขึ้นอีกครั้ง…”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง “ไยเรื่องทั้งหมดนี้จึงเกิดขึ้นในอีกสามปีให้หลัง? มีความลับใดซุกซ่อนอยู่กันแน่?”
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้พลันแย้มยิ้ม “ส่วนลึกแห่งจักวาลพร่างดาวชักน่าสนใจขึ้นทุกทีแล้ว…”
เช้าถัดมา
ตะวันเพิ่งคล้อยลง ทุกสิ่งเรืองประกายวับวาว
ณ นอกประตูถ้ำเสวียนจวิน
เหล่าศิษย์นำโดยจิ่งหัง รวมถึงเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น หนิงซือฮวาและคณะมารอส่งซูอี้อยู่แล้ว
“กลับไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือพลางสาวเท้าจากไป
ข้างกายเขา ชิงหว่านดูไม่เต็มใจมาก นางหันมองพวกเหวินหลิงเสวี่ยเป็นระยะ
ครานี้ ซูอี้คิดพานางไปยังหอเก้าสวรรค์ที่อยู่ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว!
เมิ่งฉางอวิ๋นติดตามอยู่เบื้องหลังซูอี้เสมอ ดุจบ่าวเฒ่าตามรอยเท้านาย
ไม่นานนัก ร่างของพวกซูอี้ก็หายลับนภากว้างไปภายใต้สายตาทุกคู่
ปีที่ 503 ศักราชใหม่ของแดนเทวามหาแดนดิน วันที่สิบเอ็ด เดือนหกกลางคิมหันต์ฤดู
ม่านแห่งยุคสมัยใหม่ของภูมิดาราฟ้าดินเพิ่งแง้มเปิด โลกหล้ายังปั่นป่วนพลุ่งพล่าน ขณะที่ซูอี้ผู้ถูกถือเป็นตำนานหนึ่งในโลกหล้าได้เดินทางสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวเงียบ ๆ
………………..