ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด - ตอนที่ 347 สัตว์ยักษ์เซินยวน
“ข้าเพียงแค่ลองเรียกค่ายกลเท่านั้น” ตำราค่ายกลที่อาจารย์ปู่ให้มาบอกเอาไว้ ค่ายกลที่ซ้อนทับค่ายกลปิดบังเอาไว้ไม่อาจสัมผัสได้ถึงคลื่น หากคิดจะค้นหาค่ายกล ต้องกระตุ้นให้มันปรากฏขึ้น
ชายแก่ฟังไม่เข้าใจเหมือนเคย เขาเพิกเฉยก่อนจะถามคำถามต่อไป “เจ้าหนู ค่ายกลเหล่านี้เจ้ารู้จักหรือไม่ เป็นค่ายกลขนส่งจริงหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวเดินเข้าไปยังค่ายกลที่ใกล้ที่สุด นางมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ค่ายกลเหล่านี้ซับซ้อนเกินไป ราวกับรวมค่ายกลทับซ้อนจำนวนมากเข้าด้วยกัน ตอนนี้ข้ายังมองไม่ออกว่ามันมีประโยชน์อะไร แต่ด้านในมีบางส่วนใช้เพื่อขนส่ง” เพียงแต่นางไม่รู้ว่าขนส่งไปยังที่ใด
“ตอนนี้ทำอย่างไร” ชายแก่มองค่ายกลตรงหน้า “เข้าไปหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ไปเถิด!” พวกนางมาเพื่อหาของ ชั้นนี้ไม่มีอะไรแม้แต่น้อย ไม่อาจอยู่แต่ชั้นนี้ได้
ทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในค่ายกล เย่เจียนเถียนที่อยู่ด้านหลังรีบกระโดดตามมา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับทั้งสามคนเดินเข้าค่ายกล ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนไป พวกเขามาถึงสถานที่อีกแห่ง แตกต่างจากความมืดด้านบน สถานที่แห่งนี้มีแสงสว่าง บริเวณรอบด้านปรากฏหมอกขาวหลายชั้น การมองเห็นต่ำมาก ราวกับภาพทิวทัศน์ตอนเช้าในหุบเขา เพียงแต่ขาดกลิ่นอายความสดชื่นไปเท่านั้น อากาศบริเวณรอบด้านให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ชายแก่ ยันต์ติดตาม!” อวิ๋นเจี่ยวเตือน “อย่าเดินหลง”
“อ่อ” เขารีบหยิบยันต์สองใบออกมา ใบหนึ่งส่งให้อวิ๋นเจี่ยว ในขณะที่จะยัดอีกใบในกระเป๋า เขาก็หันไปเห็นเย่เจียนเถียนที่ทำหน้าตื่นเต้น ปากของเขากระตุกเล็กน้อย ลังเลอยู่สักพักถึงยื่นยันต์ในมือให้นาง “ถือไว้ หากเดินหลงไปพวกข้าไม่ตามหานะ”
เย่เจียนเถียนผงะ นางเงยหน้ามองชายแก่ ไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด
“ไม่เอาก็ช่างเถิด!” ชายแก่ทำท่าจะเก็บกลับมา นางจึงรีบเอื้อมมือออกมารับ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
ชายแก่หยิบออกมาอีกใบวางไว้บนตัวของตนเอง
“ไปดูด้านหน้า” อวิ๋นเจี่ยวเดินตรงไปยังภายในหมอกควัน เนื่องจากวิสัยทัศน์ไม่ดีมาก พวกเขาจึงเดินไม่เร็วนัก ตามหลักแล้วใช้คาถาวายุในการขับไล่หมอกควันเหล่านี้จะสะดวกมากกว่า แต่ไม่รู้เหตุใด อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าการกระทำนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นนอกจากยันต์ติดตาม นางจึงไม่ได้ใช้วิชาเวทหรือยันต์วิเศษอื่น
สองคนหนึ่งปีศาจเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนาอยู่สักพัก ก่อนที่หมอกควันรอบด้านจะค่อยๆ สลายไป จากตอนแรกที่มองไม่ชัดแม้จะอยู่ในรัศมีหนึ่งเมตรก็เริ่มมองเห็นได้ไกลขึ้น
พวกเขาดีใจอย่างมาก ดูท่าทางพวกเขาเดินออกมาแล้ว
“เจ้าหนู พวกเรา…” ชายแก่กำลังคิดจะถามถึงขั้นต่อไป อวิ๋นเจี่ยวที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดกลับหยุดชะงัก เขาหยุดไม่ทันเกือบจะชนเข้าไป “เกิดอะไรขึ้น”
เขาถามด้วยความสงสัย แต่พบว่าอวิ๋นเจี่ยวไม่มีการตอบรับ เพียงแต่มองไปด้านหน้านิ่ง เขาถึงได้มองไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายจ้องมอง ก่อนจะพบว่าบริเวณไม่ไกลนักมีก้อนสีดำก้อนหนึ่ง ก้อนสีดำนั้นโดดเด่นอย่างมาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่ราวกำแพงหิน เขาเงยหน้าขึ้นมองตามกำแพงหินสีดำ อยากจะดูว่ามีขนาดใหญ่เพียงใด แต่ยิ่งเงยยิ่งสูง ยิ่งเงยยิ่งสูง…
จนกระทั่งร่างกายเริ่มเอนเอียงไปด้านหลังก็ยังไม่พบจุดสิ้นสุดของก้อนสีดำตรงหน้า ราวกับมันทะลุขึ้นไปบนฟ้า เขายังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด ก็ได้ยินเสียงดังปังเกิดขึ้น ราวกับเสียงกระโดดของอะไรบางอย่าง กำแพงหินตรงหน้าพองออกมาด้านนอกกว่าหลายสิบเมตร ราวกับถูกดันออกมา ก่อนจะค่อยๆ หดกลับไป
ในเวลาเดียวกันลมพายุกลุ่มหนึ่งพัดผ่านลงมา โหมกระหน่ำราวกับจะพัดพาคนปลิวตามไปด้วย หมอกควันรอบด้านกลับมาหนาขึ้นอีกครั้ง
ชายแก่ใจเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งที ราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ฮะ…”
เขายังไม่ได้พูดออกมา อวิ๋นเจี่ยวก็รีบปิดปากของเขาเอาไว้ พร้อมทำท่าทางอย่าส่งเสียง จากนั้นรีบหยิบยันต์ตัวเบาออกมา พร้อมพูดเสียงต่ำ “ไป!”
พูดจบก็เหาะขึ้นไปด้านบน มุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงข้าม เย่เจียนเถียนที่ตามอยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย แต่นางก็ยังคงกลายร่างเป็นควันดำลอยตามสองคนไป
ทั้งสามคนกลับเข้ามาท่ามกลางหมอกควันอีกครั้ง พวกเขาแทบจะใช้พลังลมปราณทั้งร่างกายในการเหาะกลับมา เหาะราวครึ่งชั่วยามพวกเขาถึงได้ออกจากหมอกควันนั้นได้ บริเวณรอบด้านกระจ่างขึ้นในทันที แต่พวกเขาก็ไม่กล้าหยุดลง เหาะต่อไปอีกสองเค่อถึงได้ลงมาด้านล่าง
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น” เย่เจียนเถียนถาม
ชายแก่หอบหายใจเหนื่อย ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางที่พวกเขาจากมา
เย่เจียนเถียนหันหลังมองไปยังทิศทางที่เขาชี้ ทันใดนั้นดวงตาเบิกกว้าง เหงื่อผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุด เมื่อออกห่างนางถึงมองได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงแต่สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น
สิ่งนั้นมีขนาดใหญ่จนคนไม่อาจจินตนาการได้ ถึงจะแค่หมอบอยู่ ร่างกายของมันก็สูงทะลุฟ้าแล้ว อีกทั้งยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ตัวของมันดำสนิทมองไม่เห็นลักษณะที่แท้จริง มันราวกับกำลังหลับใหล ร่างที่ขดอยู่นั้นพองขึ้นลงตามการหายใจ ทุกครั้งที่หายใจก่อให้เกิดลมพายุที่รุนแรง ก่อนจะกลายเป็นหมอกควัน
หมอกสีขาวที่พวกเขาทะลุผ่านไปก่อนหน้านี้คือลมหายใจของมัน?! สีหน้าของเย่เจียนเถียนซีดเผือดในทันที นี่…นี่คือสัตว์ประหลาดอะไรกัน
อวิ๋นเจี่ยวและชายแก่เองก็คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสิ่งนี้อยู่ มันมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าอสูรกลืนกินนภาหลายร้อยเท่า เพียงแค่มองมัน ทั้งสามคนก็ปรากฏความรู้สึกเป็นดั่งมดตัวเล็กขึ้นมา ต่อหน้าสัตว์ประหลาดยักษ์นี้ พวกเขาก็คงเป็นมดตัวเล็กเท่านั้นจริงๆ
“ตอน...ตอนนี้…ทำอย่างไร” เสียงของเย่เจียนเถียนสั่นเทา ภายในใจปรากฏความหวาดกลัวอย่างมหาศาล เป็นความหวาดกลัวที่มีต่อพลังที่ไม่รู้แม้แต่น้อย
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย ช่วงที่มันยังไม่ตื่น พวกเรารีบไปจากตรงนี้” อวิ๋นเจี่ยวพูด
อีกสองคนไม่มีความคิดเห็น เพียงแต่พักผ่อนเล็กน้อย ก่อนจะหนีไปอีกทิศทางด้วยความรวดเร็ว
อาจเป็นเพราะทั้งสามคนโชคดี ระหว่างทางนั้น สัตว์ประหลาดยักษ์ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้น เมื่อพวกเขาห่างออกมาไกลจนมองไม่เห็นร่างของอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสามคนจึงหยุดลง ไม่ใช้พลังลมปราณให้สิ้นเปลือง
“ตกใจหมด เจ้าหนู มันคืออะไรกัน” ชายแก่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะถามด้วยใจที่หวาดผวา
“ไม่รู้” อวิ๋นเจี่ยวก็เหน็ดเหนื่อยอย่างมาก นางส่ายหัวพร้อมพูด “ไม่เคยได้ยินมาก่อน” นางไม่เคยพบเนื้อหาที่เกี่ยวกับสิ่งนั้นบนตำราเล่มไหนแม้แต่น้อย อีกทั้งมันแตกต่างจากอสูรกลืนกินนภาในตอนนั้นอย่างมาก อสูรกลืนกินนภาถึงแม้จะมีรูปร่างใหญ่ แต่ตอนนั้นนางไม่เคยมีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่นางพบเจอเมื่อครู่ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า หากทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันก็คงจะเป็นการต่อสู้ที่แสนจะลำบาก