การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 351 ปลอบโยน
บทที่ 351 ปลอบโยน
บทที่ 351 ปลอบโยน
เห็นท่าทางโกรธจัดของถังซวงแล้ว โม่เจ๋อหยวนพูดขึ้นอย่างอดห่วงไม่ได้ “ซวงเอ๋อร์ อย่าโกรธไปเลยนะ แค่ไม่ให้คน ๆ นั้นมาเจอหน้าป้าเกออีกก็พอแล้ว”
ถังซวงพยักหน้ารับก่อนจะตอบว่า “ค่ะ หลิวก่วงซิ่วไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ป้าเกออีกแน่นอน หากเขากล้าจะฝ่าฝืน เขาจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม… ฮึ่ม คนแบบนี้สมควรถูกเฆี่ยนให้ตาย”
เปาลี่ผิงพูดขึ้นอย่างมีไหวพริบ “ท่านผู้นำครับ ผมจะส่งคนติดตามหลิวก่วงซิ่วเอาไว้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้คุณทราบทันที”
“ค่ะ อย่างนั้นรบกวนด้วยนะคะ”
เปาลี่ผิงรีบโบกมือก่อนจะตอบรับ “ท่านผู้นำไม่ต้องสุภาพมากหรอกครับ ผมยินดีช่วย”
ถังซวงพูดคุยกับเปาลี่ผิงอีกสักพักก่อนจะออกไปพร้อมกับโม่เจ๋อหยวน
เมื่อถังซวงกลับมาถึงบ้าน เธอนึกถึงเรื่องของหลิวก่วงซิ่วอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจบอกกล่าวเรื่องนี้กับจิงเจ้อหรง “พ่อคะ ตอนที่พวกเราไปรับป้าเกอ เราเจอคนที่เข้ามาสร้างปัญหาด้วยล่ะค่ะ” เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดก่อนจะพูดต่อ “หลิวก่วงซิ่วคนนี้มาจากตระกูลหลิวในเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับลุงหลิวเชาไหม”
หลิวเชาเป็นเพื่อนสนิทของจิงเจ้อหรง ถ้าหลิวก่วงซิ่วมีความสัมพันธ์กับหลิวเชาจริง ๆ คงจะเป็นการดีกว่าหากแจ้งอีกฝ่ายให้ทราบเรื่องนี้ไว้
จิงเจ้อหรงไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
“เรื่องนี้พ่อเองก็ไม่แน่ใจ เอาไว้เดี๋ยวพ่อจะถามหลิวเชาทีหลังแล้วกันนะ แต่ถึงหลิวเชาจะรู้จักกับหลิวก่วงซิ่วคนนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นคนมีเหตุผล แยกแยะถูกผิดได้ และเรื่องนี้มันก็เป็นปัญหาของหลิวก่วงซิ่ว”
ได้ยินอย่างนั้นถังซวงจึงพยักหน้ารับก่อนจะกล่าวตอบ “ค่ะพ่อ แต่ทางที่ดีเราไม่ควรให้คนอื่นรู้เรื่องของป้าเกอ หนูกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบกับเธอน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องกังวล พ่อจะไม่พูดเรื่องนั้นออกไป”
ถังซวงเชื่อมั่นในตัวของจิงเจ้อหรง ในเมื่อเขารับปากอย่างนั้นเธอก็ยิ้มกว้างก่อนจะตอบว่า “ค่ะ หนูจะรอฟังข่าวดีจากพ่อนะคะ”
“อืม”
จิงเจ้อหรงพยักหน้า ก่อนจะถามหาโม่เจ๋อหยวน “เจ๋อหยวนกลับไปแล้วหรือ?”
“ค่ะ พี่โม่มีธุระต้องไปทำ ก่อนหน้านี้เราอ่านหนังสือด้วยกัน แต่เขามีงานกองใหญ่ต้องรับผิดชอบเลยไม่ค่อยมีเวลาน่ะค่ะ วันนี้พอไม่ได้อ่านหนังสือ พี่โม่เลยถือโอกาสกลับไปจัดการงานที่ค้างไว้”
เมื่อจิงเจ้อหรงรู้ว่าช่วงนี้ถังซวงกับคนรักกำลังอ่านหนังสือด้วยกัน ก็ถามขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ ลูกกับเจ๋อหยวนได้ยินข่าวเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือยัง? ทั้งสองคนอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อหรือเปล่า? แล้วนี่จะสอบเข้าพร้อมกันเลยใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะพ่อ”
ได้ยินคำยืนยันของถังซวงแล้ว จิงเจ้อหรงยกยิ้ม เอ่ย “ในเมื่อลูกตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าลูกจะทำอะไร พ่อกับแม่จะคอยสนับสนุนเสมอนะ”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
แม้จิงเจ้อหรงจะไม่ใช่บิดาผู้ให้กำเนิด แต่ถังซวงก็สัมผัสได้ถึงความรักของพ่อจากชายคนนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเสี่ยวเซวี่ยถึงชอบเขามาก เพราะอีกฝ่ายมองทั้งสองเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของเขาจริง ๆ
ถังซวงมองจิงเจ้อหรงก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พ่อทำงานไปเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปหาแม่”
“จ้ะ”
ถังซวงมาหาเฮ่อหลาน และเห็นว่าถังเซวี่ยอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
“ซวงเอ๋อร์ ไปไหนกับเจ๋อหยวนมาหรือ แม่เห็นพวกลูกหายไปหลังจากทานข้าว”
“หนูกับพี่โม่ไปเดินเล่นนิดหน่อยค่ะแม่”
เมื่อลูกสาวคนโตตอบอย่างนั้น เฮ่อหลานจึงไม่ถามอะไรอีก หนุ่มสาวกำลังมีความรัก ย่อมต้องการใช้เวลาร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ถังเซวี่ยหันมองถังซวง เธอดึงพี่สาวออกมาหลังจากพูดคุยกับแม่ต่ออีกสองสามคำ พอมาถึงห้องของตัวเอง คนเป็นน้องก็ถามเสียงแผ่วเบาว่า “พี่คะ พี่ออกไปข้างนอกเพราะเรื่องป้าเกอใช่ไหม?”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เสี่ยวเซวี่ยของพี่เก่งจริง ๆ เลย”
ได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้นแล้ว ถังเซวี่ยเลยคว้าตัวของพี่สาวเอาไว้พร้อมกับยิงคำถามรัว ๆ “พี่คะ พี่ไปถามเรื่องของหลิวก่วงซิ่วคนนั้นมาแล้วหรือ? เป็นยังไงบ้างคะ พบอะไรแปลก ๆ ไหม?”
เห็นใบหน้าเป็นกังวลของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงเล่าเรื่องที่ได้รู้มาก่อนหน้า ไม่ลืมกล่าวกำชับภายหลังว่า “อย่าเพิ่งบอกแม่เรื่องนี้นะ ตอนนี้แม่กำลังท้องอยู่ อารมณ์ไม่ควรแปรปรวนหรือมีเรื่องอะไรให้กระทบกระเทือนจิตใจ”
ถังเซวี่ยพยักหน้ารับ และสัญญา “พี่ไม่ต้องกังวล ฉันไม่บอกแม่แน่นอน จะไม่พูดแม้แต่คำเดียวเลยด้วย”
จบประโยคใบหน้าของถังเซวี่ยก็เผยความเกรี้ยวกราดออกมา
“คนอย่างหลิวก่วงซิ่วน่ารังเกียจจริง ๆ เมื่อไหร่ที่ฉันนึกถึงเขา ฉันรู้สึกคลื่นไส้ยังไงไม่รู้”
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของถังเซวี่ย “เอาล่ะ ไม่ต้องโกรธไป ยังไงซะ ดูจากท่าทีของป้าเกอแล้ว ฉันว่าป้าเกอก็เกลียดหลิวก่วงซิ่วคนนั้นเหมือนกัน รับประกันเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้ป้าเกออีก”
ได้ยินถังซวงพูดอย่างนั้นแล้ว ถังเซวี่ยถึงผ่อนคลายลงได้
อีกด้านหนึ่ง เกอชิงเหม่ยเพิ่งตื่น เธอรู้สึกสดชื่นมากขณะเดินออกจากห้อง และกำลังมุ่งตรงไปหาเฮ่อหลาน ทว่าบังเอิญพบกับซ่างสยงเยี่ยเสียก่อน
“คุณชายซ่าง ตื่นแล้วหรือคะ หลับสบายดีไหม?”
ซ่างสยงเยี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “หลับสบายมากเลยครับ”
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างนั้นก็เดินไปข้างหน้า เกอชิงเหม่ยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “คุณชายซ่างคะ คุณบอกว่าคุณมาที่เมืองหลวงก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน มาคุยงานหรือคะ?”
ซ่างสยงเยี่ยส่ายหัวแล้วตอบกลับ “ไม่ใช่เรื่องงานหรอกครับ แต่เป็นเรื่องส่วนตัว ผมเข้าเมืองหลวงเพราะมาตามหาญาติน่ะ ไม่รู้ว่าจะหาพวกเขาพบไหม”
เกอชิงเหม่ยแปลกใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าซ่างสยงเยี่ยเข้าเมืองหลวงเพื่อเจรจาธุรกิจ ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะมาตามหาญาติ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณมีเบาะแสอะไรบ้างไหมคะ ลองถามอาเจ้อดูได้นะคะ เขาอยู่ในเมืองหลวงมานาน น่าจะคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่า”
“ครับ ผมก็ว่าจะถามคุณจิงอยู่เหมือนกัน”
หลังทานมื้อเย็นเสร็จ ซ่างสยงเยี่ยก็พูดคุยเรื่องนี้กับจิงเจ้อหรง ว่าเขาต้องการตามหาลุงของตน “จากที่พ่อของผมเล่า ลุงน่าจะอายุประมาณหกสิบสองปีแล้ว ผมได้ข่าวว่าเขามาอยู่ที่นี่ แต่ปักกิ่งนั้นใหญ่มาก ผมเองไม่รู้จะเริ่มตามหาเขาจากที่ไหน เลยอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณจิงน่ะครับ”
จิงเจ้อหรงตอบกลับอย่างยินดี
“คุณซ่างไม่ต้องกังวล ผมจะให้คนช่วยตามหาเขาอีกแรงครับ”
“ครับ ขอบคุณคุณจิงมากนะครับ”
ซ่างสยงเยี่ยยกยิ้มก่อนจะดื่มไวน์กับจิงเจ้อหรงต่อครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มอบสิ่งที่ตระกูลเฮ่อฝากมาให้เฮ่อหลาน “หลังจากมื้อกลางวัน ผมก็ไปนอนพัก เลยลืมหยิบสิ่งนี้ให้น่ะครับ นี่เป็นของที่ผู้เฒ่าเฮ่อฝากมาให้คุณเฮ่อหลานน่ะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณซ่าง”
เฮ่อหลานรับของนั้นไว้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะรีบเปิดดู และพบว่าด้านในคืออาหารเสริมพร้อมด้วยเสื้อผ้าเล็ก ๆ หลายชุด เธอชอบมันตั้งแต่แรกเห็น
แม้ซ่างสยงเยี่ยจะขอความช่วยเหลือจากจิงเจ้อหรงเรื่องตามหาญาติแล้ว แต่เขาก็ไม่ละเลยที่จะออกตามหาด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วย ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่พบเบาะแสอะไรเลย
ซ่างสยงเยี่ยกลับมาด้วยสีหน้าผิดหวัง เกอชิงเหม่ยบังเอิญพบเขาที่หน้าประตู เห็นสีหน้าดูไม่ดีของซ่างสยงเยี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ “ไม่พบหรือคะ?”
“ครับ ยากมากเลย”
ซ่างสยงเยี่ยส่ายหัวด้วยความหดหู่
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังโศกเศร้า เกอชิงเหม่ยจึงพูดขึ้น “คุณชายซ่าง เอาอย่างนี้พรุ่งนี้ฉันจะพาคุณไปเดินเล่นในเมืองหลวงและเลี้ยงอาหารค่ำ บางทีหลังจากได้ผ่อนคลายแล้วอาจจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นก็ได้นะคะ”
ได้ยินเกอชิงเหม่ยพูดอย่างนั้น ซ่างสยงเยี่ยรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังปลอบโยนเขา จึงเลือกที่จะไม่ปฏิเสธคำชวนนั้น “ตกลงครับ”