การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 426 ไม่ยอมเด็ดขาด
บทที่ 426 ไม่ยอมเด็ดขาด
บทที่ 426 ไม่ยอมเด็ดขาด
จิงเจ้อหรงมองหลักฐานตรงหน้าก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่เคยมีใครสืบหาภูมิหลังของตู้หรงหมิงเลยสินะ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งก็มีเรื่องฉาวโฉ่มากมาย และทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องร้ายแรงทั้งนั้น”
ถังซวงหันศีรษะกลับมาถามว่า “พ่อคะ เราจะส่งหลักฐานนี้เลยไหม?”
“แน่นอน แต่เราต้องไปที่บ้านตระกูลตู้ก่อน”
ถังซวงและคนอื่น ๆ ยิ้มรับ “ค่ะ”
เมื่อจิงเจ้อหรงจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาพาถังซวง โม่เจ๋อหยวน เฟิงเยี่ยหานไปที่บ้านตระกูลตู้
ตู้หรงหมิงที่โดนพักงาน ได้รับแจ้งว่าให้พักผ่อนต่อไปไม่มีกำหนด เขาถึงรู้ได้ว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังย่ำแย่ แม้เขาจะรักลูกชายคนเล็กมากแค่ไหน แต่คราวนี้ความโกรธมันมากเกินไปจนไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้
“ตู้จ้งเหลียน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันจะถูกพักงานโดยไม่มีกำหนดได้ยังไง”
อาการบาดเจ็บของตู้จ้งเหลียนหายดีแล้ว และตอนนี้เขาสามารถขยับตัวได้ เมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นเขารู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว “พ่อครับ ตอนนั้นพ่อก็เห็นด้วยกับผมนี่ ทำไมตอนนี้กลับมาตำหนิผมล่ะ”
“นี่แก…”
ตู้หรงหมิงนึกถึงท่าทีของเขาตอนนั้น และไม่สามารถโต้แย้งอีกฝ่ายได้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหงุดหงิดกับสิ่งที่ลูกชายของเขาทำพลาด
“ใช่ เราเห็นด้วยที่จะให้แกเป็นฝั่งเป็นฝากับถังเซวี่ย แต่ตอนที่แกทำเรื่องแบบนั้นแกไม่ได้บอกพวกเราด้วยซ้ำ ถ้าแกพูดออกมาสักนิดเราอาจจะช่วยให้แกวางแผนทุกอย่างให้รอบคอบ แต่นี่แกกลับลงมือคนเดียวโดยไม่บอกพวกเรา ครอบครัวเราทั้งหมดกำลังชดใช้กรรมที่แกก่อเอาไว้ ตระกูลตู้ของเรากำลังเดือดร้อน และทั้งหมดมันเป็นเพราะแกคนเดียว!”
ตู้จ้งเหลียนจ้องมองพ่อของตนเองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“พ่อครับ ถ้าผมทำสำเร็จ พ่อคงจะชื่นชมใช่ไหม? แต่ตอนนี้ผมทำพลาด พ่อก็เลยโทษว่าเป็นความผิดผมทั้งหมด นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือครับ?”
“ฉันพูดมากไปตรงไหน? ทั้งหมดคือความจริงทั้งนั้น”
“มันมากเกินไป!”
เวลานี้ชีวิตของตู้จ้งเหลียนไม่ราบรื่นอีกต่อไป อีกทั้งอาการบาดเจ็บของเขาก็หายแล้ว เขาทะเลาะกับพ่อทุกวันจนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
พ่อลูกทะเลาะกันได้สักครู่หนึ่ง
โหยวอี้หงก็กลับมาเห็น เธอจึงตะคอกด้วยความโกรธ “นี่มันอะไรกัน ทั้งสองคนยังคิดทะเลาะกันอีกงั้นหรือ? ช่วยเอาเวลามาหาวิธีแก้ไขปัญหาในตอนนี้ดีกว่าไหม?”
“แล้วจะให้แก้ยังไง? อีกฝ่ายคือตระกูลจิง เราไม่สามารถเทียบได้กับเศษเล็บของพวกเขาด้วยซ้ำ แล้วเธอจะให้ฉันแก้ปัญหายังไง?” ตู้หรงหมิงคำรามลั่นหลังได้ยินโหยวอี้หงพูดอย่างนั้น
โหยวอี้หงเห็นตู้หรงหมิงเป็นอย่างนี้ แววตาของเธอถึงกับเผยความผิดหวัง
เพราะสามีของเธอได้เลื่อนตำแหน่งรวดเร็ว เธอจึงไม่เคยพบเจอกับปัญหาแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าความจริงเขาไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น และไม่มีอำนาจที่จะต่อต้านตระกูลใหญ่ ๆ ได้เลยสักนิด
“คุณตู้ ฉันจะบอกคุณให้นะ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นตระกูลจิง แต่การที่พวกเขาใช้อำนาจข่มเหงเราอย่างนี้ก็ถือว่าผิดเหมือนกัน เราสามารถฟ้องร้องพวกเขาได้”
ตู้หรงหมิงหันมามองโหยวอี้หงก่อนทำหน้าเย้ยหยัน “เธอจะไปรู้อะไร? ถึงเราจะฟ้องร้องไปก็ไม่สะเทือนไปถึงตระกูลจิงหรอก ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือความผิดของเรา แล้วอย่างนี้ยังมีหน้าไปฟ้องตระกูลจิงอีกหรือ?”
“คิดว่ายังไงล่ะ?”
สีหน้าของโหยวอี้หงสิ้นหวัง เวลานี้เธอกลับมามีสติก่อนจะหันมองตู้หรงหมิงด้วยแววตาแน่วแน่ “คุณตู้ จ้งเหว่ยสนิทกับคุณชายจิงไม่ใช่หรือ? ให้เขาไปขอความช่วยเหลือกับคุณชายจิงไม่ได้หรือคะ? ยังไงเขาก็กำลังคบหากับลูกพี่ลูกน้องของลูกสาวตระกูลจิงนี่ คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น”
“ฮึ่ม… เธอคิดว่าฉันไม่คุยเรื่องนี้กับจ้งเหว่ยหรือไง ถึงฉันจะตะโกนใส่มัน มันก็ไม่เปลี่ยนใจ และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ และไม่ไปรบกวนคุณชายจิงเด็ดขาด”
ใบหน้าของโหยวอี้หงยิ่งบูดเบี้ยว
“แล้วเขาจะปล่อยพวกเราเป็นแบบนี้หรือ? ยังไงเขาก็เป็นคนตระกูลตู้ เขาควรจะช่วยเราหาทางออกสิ”
เวลานี้ ตู้จ้งเหลียนยอมรับแล้วว่ามีเพียงตู้จ้งเหว่ยเท่านั้นที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เขาพูดขึ้นทันทีว่า “ผมจะไปหาพี่” เขาตรงไปที่ห้องของตู้จ้งเหว่ยทันที
ตู้จ้งเหว่ยพูดไว้แล้วว่าเขาจะไม่ยุ่งเรื่องนี้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจตู้จ้งเหลียนและไม่มีแผนการใด ๆ จะช่วยเหลือน้องชายต่างแม่คนนี้
แต่ว่าตู้จ้งเหลียนกลับคาดหวังว่าตู้จ้งเหว่ยจะช่วย เขาจึงพยายามบีบบังคับตู้จ้งเหว่ย
“ไปซะ”
ตู้จ้งเหว่ยมองตู้จ้งเหลียนอย่างเย็นชา “เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว ถ้าแกไม่มีวิธีจัดการกับเรื่องที่จะตามมา แกจะสร้างเรื่องทำไม”
“พี่ครับ มีแค่พี่ที่ช่วยครอบครัวเราได้ ได้โปรดไปคุยกับคุณชายจิงเถอะนะครับ มิตรภาพระหว่างพี่กับคุณชายจิงก็แน่นแฟ้น เขาจะต้องปล่อยครอบครัวของเราไปแน่”
ตู้จ้งเหว่ยยิ้มเย็นชาก่อนจะกล่าวต่อว่า “แกคิดผิดแล้ว คุณจิงเคยพูดไว้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยครอบครัวของเราไปเพราะเห็นแก่ฉัน หยุดเพ้อฝันได้แล้ว”
“แต่ถึงคุณจิงจะพูดอย่างนั้น พี่ก็ควรไปถามเขาอีกที บางทีเขาอาจจะยอมเพราะมิตรภาพของพี่”
“ไม่มีทาง ฉันไม่ไปหรอก”
“พี่…”
ตู้จ้งเหลียนเห็นว่าตู้จ้งเหว่ยปฏิเสธทุกวิถีทาง เขาจึงกล่าวด้วยความโกรธ “ตู้จ้งเหว่ย พี่มัวใจเย็นอย่างนี้อยากเห็นพ่อตกงานหรือไง?”
ขณะสองพี่น้องกำลังโต้เถียงกัน โหยวอี้หงก็เดินเข้ามา
เธอได้ยินว่าสองพี่น้องคุยอะไรกัน ตู้หรงหมิงหันมองตู้จ้งเหว่ยอย่างอึดอัดแล้วถามออกไปว่า “จ้งเหว่ย แกไม่คิดจะช่วยพ่อหน่อยหรือ?”
“ไม่ครับ”
ตู้จ้งเหว่ยกล่าวอย่างไม่ลังเล
ตู้หรงหมิงได้ยินอย่างนั้นก็นึกเสียใจ ทั้งผิดหวัง และโกรธ “ไอ้ลูกไม่รักดี”
“เฮ้อ… นี่มัวแต่เถียงอะไรกันน่ะ วุ่นวายจริง ๆ แล้วทำไมไม่พูดให้พวกฉันได้ยินด้วยล่ะ?”
ได้ยินเสียงนั้น พวกตู้หรงหมิงหันศีรษะไปมองทันที และเห็นจิงเจ้อหรงพาถังซวงและคนอื่น ๆ มา สีหน้าของทุกคนถึงกับเปลี่ยนไป
ตู้หรงหมิงพูดขึ้นก่อน “คุณจิง วันนี้ว่างหรือครับถึงมาที่นี่ได้ ถ้าไม่รังเกียจเชิญนั่งลงก่อนครับ”
แต่จิงเจ้อหรงไม่สนใจคำพูดนั้น เขาตรงไปนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่ให้เกียรติ “ผมมาหาคุณโดยเฉพาะ… ตู้หรงหมิง”
ได้ยินอย่างนั้น ตู้หรงหมิงก้มศีรษะลงก่อนจะเอ่ยปากอย่างสุภาพ “ถ้าคุณจิงต้องการให้ผมทำอะไร แล้วผมสามารถทำได้ ผมจะทำแน่นอนครับ”
“คุณทำได้แน่นอน แค่ลาออกจากตำแหน่งปัจจุบันเอง”
“อะ…อะไรนะ…”
แม้ตอนนี้ตู้หรงหมิงจะถูกสั่งให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะลาออก เขาส่ายศีรษะโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ “ไม่มีทาง”
“จะทำให้เรื่องยากไปทำไมล่ะ หนทางนี้น่าจะง่ายที่สุดแล้วนะครับ”
ก่อนที่จิงเจ้อหรงจะพูดจบ โหยวอี้หงรีบก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยปากถาม “ทำไมคุณตู้ของพวกเราต้องลาออกด้วยล่ะคะ? เป็นเพราะตระกูลจิงมีอำนาจแล้วจะข่มเหงใครก็ได้งั้นหรือ? ฉันจะบอกให้ว่าคุณตู้ของพวกเราจะไม่มีวันลาออกเด็ดขาด”